[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 228
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๔
๙. ติสสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระติสสเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 228
๙. ติสสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระติสสเถระ
[๑๗๖] ได้ยินว่า พระติสสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุรุษถูกแทงด้วยหอก หรือถูกไฟไหม้ที่กระหม่อม แล้วรีบรักษาฉันใด ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติเว้นรอบ เพื่อละความกำหนัด ยินดีในกามฉันนั้น.
อรรถกถาติสสเถรคาถา
คาถาของท่านพระติสสเถระ เริ่มต้นว่า สตฺติยา วิย โอมฏฺโ. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
ได้ยินว่า แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เข้าไปสั่งสมบุญ อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ไว้ในภพนั้นๆ นำใบไม้เก่าๆ ที่โคนไม้อันเป็นที่ตรัสรู้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ติสสะ ออกแล้วชำระสะสางจนสะอาด. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นโอรสของพระปิตุจฉา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระนครกบิลพัสดุ์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยนาม มีชื่อว่า ติสสะ.
ท่านบวชตามพระผู้มีพระภาคเจ้า อุปสมบทแล้วอยู่ในราวป่า อาศัยพระชาติ มีการถือตัว มากไปด้วยความโกรธ และความคับแค้น และมากไปด้วยการยกโทษเที่ยวไป ไม่ทำการขวนขวายในสมณะธรรม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 229
ครั้นในวันหนึ่ง พระศาสดาทรงเล็งเห็นท่านนอนหลับ อ้าปากอยู่ ในที่พักกลางวัน ด้วยทิพยจักษุ เสด็จจากพระนครสาวัตถีไปทางอากาศ ประทับยืนอยู่ในอากาศนั่นเอง เบื้องบนของพระเถระ แผ่โอภาสไปแล้ว ยังสติให้เกิดแก่พระเถระผู้ตื่นแล้ว ด้วยโอภาสนั้น เมื่อจะประทานพระโอวาท ตรัส พระคาถาว่า
บุรุษถูกแทงด้วยหอก หรือไฟไหม้ที่กระหม่อม แล้วรีบรักษาฉันใด ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติเว้นรอบ เพื่อละความกำหนัดยินดีในกาม ฉันนั้น ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺติยา นี้ เป็นหัวข้อเทศนา. อธิบายว่า ได้แก่ ศาสตราที่มีคมข้างเดียวเป็นต้น. บทว่า โอมฏฺโ แปลว่า ประหารแล้ว. อธิบายว่าเครื่องประหารมี ๔ อย่างคือ โอมัฏฐะ ๑ อุมมัฏฐะ ๑ มัฏฐะ ๑ วิมัฏฐะ ๑.
ในบรรดาเครื่องประหาร ๔ อย่างนั้น เครื่องประหารที่ตั้งอยู่ข้างบน ให้หน้าคว่ำลง ชื่อว่า โอมัฏฐะ. เครื่องประหารที่ตั้งอยู่ข้างล่าง ให้หน้าหงายขึ้น ชื่อว่า อุมมัฏฐะ. เครื่องประหารที่แทงทะลุไปดุจลิ่มและเข็ม ชื่อว่า มัฏฐะ. เครื่องประหารที่เหลือแม้ทุกอย่าง ชื่อว่า วิมัฏฐะ.
แต่ในที่นี้ ทรงหมายถึง เครื่องประหารชื่อว่า โอมัฏฐะ อธิบายว่า เครื่องประหารชื่อ โอมัฏฐะนั้น ทารุณกว่าทุกๆ อย่าง เป็นหอกที่ถอนขึ้นได้ ยาก แก้ไขเยียวยาได้ยาก มีโทษในภายในทำให้น้ำเหลืองและเลือดตกใน. น้ำเหลืองและเลือดที่ไม่ไหลออกจะ (จับเป็นก้อน) ปิดปากแผล แล้วตั้งอยู่. ผู้ประสงค์จะเอาน้ำเหลืองและเลือดออก ต้องมัดตัวติดกับเตียงให้นอนห้อยหัว. สัตว์ทั้งหลายย่อมถึงตาย หรือทุกข์ปางตาย. บทว่า ฑยฺหมาเน แปลว่า อันไฟเผาอยู่. บทว่า มตฺถเก แปลว่า บนศีรษะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 230
ท่านกล่าวอธิบายว่า บุรุษผู้ถูกแทงด้วยหอก ย่อมปรารภความเพียร เพื่อถอนหอกออก และทำการเยียวยารักษาแผล คือประกอบความพยายาม เช่นนั้น พากเพียรไป ฉันใด หรือเปรียบเหมือน เมื่อถูกไฟไหนกระหม่อม บุรุษผู้ถูกไหม้ศีรษะ ย่อมเพียรพยายามเพื่อจะดับไฟนั้น คือกระทำความ พยายามเช่นนั้น ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน พึงเป็นผู้มีสติ คือไม่ประมาท เพื่อจะละกามราคะ ได้แก่ พึงเป็นผู้มีความอุสาหะอย่างเหลือเกิน อยู่.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประทานโอวาท เพื่อความเข้าไปสงบ ระงับความโกรธและความคับแค้น แก่พระเถระนั้นอย่างนี้แล้ว ทรงยังเทศนาให้จบลง ด้วยอดคือการละกามราคะ เพราะตั้งอยู่ในฐานอันเดียวกัน. พระเถระฟังพระคาถานั้นแล้ว เป็นผู้มีใจสังเวช หมั่นขวนขวายในวิปัสสนาอยู่แล้ว. พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท่านแล้ว ทรงแสดงติสสเถรสูตร ในสังยุตตกนิกาย. ในเวลาจบเทศนา พระเถระดำรงอยู่ในพระอรหัตตผลแล้ว. สมด้วยคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ ในอปทานว่า
เราเสวยยศทั้งสองอย่าง ในเทวโลกและมนุษยโลก ในอวสาน เราได้บรรลุศิวโมกข์มหานฤพานอันยอดเยี่ยม บุรุษใดประสบบุญ เพราะเจาะจงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือโพธิพฤกษ์ ของพระศาสดาพระองค์นั้น สำหรับบุรุษเช่นนั้น สิ่งอะไรเล่าที่เขาจะหาได้ยาก เขาย่อมเป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่นๆ ในเพราะมรรคผลนิกายเป็นที่มา และคุณคือฌานและอภิญญา ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน. เมื่อก่อนเรามีใจยินดี เก็บเอาใบโพธิ์ไปทิ้ง จึงเป็นผู้เพรียบพร้อม ด้วยองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 231
๒๐ ประการ นี้ทุกทิพาราตรีกาล เราเผากิเลสทั้งหลาย แล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จ แล้ว ดังนี้.
ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตตผล ได้กล่าวคาถานั้นแหละ เพื่อบูชาพระบรมศาสดา.
จบอรรถกถาติสสเถรคาถา