สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ป่าไม้ประดู่ลาย เขตเมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ถือเอาใบประดู่ลาย แล้วทรงตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายในฝ่าพระหัตถ์กับที่อยู่บนต้น อย่างไหนมีมากกว่ากัน พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้นมีมากกว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสอธิบายว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงหยั่งทราบด้วยพระปัญญาอันยิ่งนั้น มีมากกว่าในฝ่่าพระหัตถ์ แล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงไม่ทรงแสดงธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งเปรียบดังใบประดู่ลายบนต้นนั่น ก็เพราะธรรมเหล่านั้น ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ความดับทุกข์ ความสงบ ระงับ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และพระนิพพานจากหนังสือ ใบไม้ในกำมือ
เรียนรบกวนช่วยอธิบายข้อความด้านบนเพิ่มเติม และธรรมใดประกอบด้วยประโยชน์ คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่า ประโยชน์ที่ถูกต้อง ว่าคืออะไร โดยมาก เราเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ นำมาซึ่งความสุข ไม่มีโทษ เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่ถูกต้อง ในพระพุทธศาสนา ประโยชน์ จึงมีหลายระดับ ประโยชน์ คือ กุศลธรรม ความดี เพราะ เป็นธรรมที่ไม่มีโทษ นำมาซึ่งประโยชน์ในโลกนี้ และ ประโยชน์ในโลกหน้า มีการเกิดในภพภูมิที่ดี เป็นต้น และ ประโยชน์โลกนี้ คือ การดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ด้วยกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ประโยชน์ คือ กุศลธรรมเป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าจึงทรงสรรเสริญกุศลธรรมประการต่างๆ ว่าเป็นธรรมที่มีประโยชน์ ไม่มีโทษ เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงตรัสรู้ ธรรมที่นำมาซึ่งประโยชน์ แก่สัตว์โลก และ ทรงแสดง คือ ทรงตรัสรู้ กุศลธรรม ความดีประการต่างๆ คือ ศรัทธา สติ หิริ ปัญญา เป็นต้น อันเป็นธรรมที่ไม่มีโทษ เป็ปนระโยชน์ คือ ละคลายกิเลสเป็นสำคัญ ครับ ส่วนธรรมที่เป็นประโยชน์สูงุสุด คือ พระนิพพาน เป็นธรรมที่ทำให้สิ้นไปจากทุกข์ เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระพุทะเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงในสิ่งที่มีประโยชน์ คือกุศลธรรม ความดีประการต่างๆ และแสดงอกุศลธรรมที่เป็นธรรมที่มีโทษ ให้ละขัดเกลา และที่สำคัญที่สุด พระองค์ทรงแสดง ธรรมที่มีประโยชน์ คือ หนทางดับทุกข์ ทีเ่ป็นอริยสัจ 4 เพราะ ประกอบด้วยประโยชน์ คือ ให้ละกิเลส ดับทุกข์ได้ในที่สุด ครับ
สมดังข้อความที่พระุพุทธเจ้าทรงแสดในสูตรนี้ว่า ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง และมีประโยชน์ คืออะไร ครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 449
๑. สีสปาสสูตร
พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไร เราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก
[๑๗๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไร เราจึงบอกเพราะสิ่งนั้น ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงการทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ส่วนธรรมที่ไม่เป็นประโยชน์ คือ สิ่งที่เป็นเรื่องราวทางโลก ที่ไม่นำมาซึ่งการละคลายกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อเจริญขึ้นของปัญญา เช่น เรื่องของโลก จักรวาล เป็นต้น เพราะแม้รู้ไปก็ไม่สามารถละกิเลสได้ กลับเพิ่มกิเลส เพิ่มความสงสัย ครับ ดังข้อความใน
พระไตรปิฎก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 463
จินตสูตร
.......... .เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงอย่าคิดเรื่องโลกว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความคิดนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้อุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเหมือนอย่างพระองค์ จึงทรงประกาศพระศาสนา ด้วยการทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้สัตว์โลกผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ได้ฟังได้ศึกษาสะสมปัญญาต่อไป ซึ่งมีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมากมายนับไม่ถ้วน
พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ตั้งแต่เริ่มประกาศพระศาสนา จนถึงจวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน นับคำไม่ถ้วน ทั้งหมดล้วนเป็นคำจริงเป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง และพระธรรมก็สืบต่อมาจนถึงขณะนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนยังดำรงอยู่ ควรอย่างยิ่งที่จะได้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ศึกษาเมื่อใด เข้าใจเมื่อใด ย่อมเป็นประโยชน์เมื่อนั้น เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ละคลายความไม่รู้และความเห็นผิด เป็นต้น พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพระสูตร พระวินัย รวมถึงพระอภิธรรม ด้วย ก็เพียงพอต่อความเข้าใจของผู้ที่ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง สำคัญที่จุดประสงค์ที่ถูกต้องในการศึกษา ว่าศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
โลกในที่นี้หมายถึงโลกกลมๆ ที่เราอยู่หรือความหมายทางธรรมที่หมายถึงการแตกดับคะ ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก หมายความว่าอย่างไรคะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
โลก จากพระสูตรที่ยกมา หมายถึง โลกที่เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ เช่นโลกเกิดมาอย่างไร เที่ยงไม่เที่ยง เป็ต้น แต่ไม่ได้หมายถึง โลกที่เป็นธรรมที่เกิดดับ เพราะสัตว์โลกไม่รู้จักโลกจริงๆ ว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป ส่วนชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ก็หมายถึง ชีพ คือ ชีวิตของสัตว์ ซึ่ง สัตว์โลกไม่รู้ว่าเป้นแต่เพียง จิต เจตสิก แต่สำคัญว่ามีสัตว์ บุคคล มีชีวิตที่เที่ยงแท้แน่นอน จึงยึดถือผิด ว่าสัตว์เกิดแล้วตาย เป็นต้น ครับ อันเป้นความคิดที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะ เป็นความคิดที่ผิด ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ