เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
พจนาท่าน อ. "เพราะฉะนั้นแต่ละคนไม่สามารถที่จะรู้ถึงการสะสมใดของตนเอง จนกว่ามีปัจจัยใดที่จะให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น จึงรู้ว่าสภาพธรรมนั้นยังมีเหตุที่จะให้เกิดขึ้น" ขอความกรุณาอาจารย์กรุณาช่วยแปล พร้อมยกตัวอย่างด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความที่ว่า
"เพราะฉะนั้นแต่ละคนไม่สามารถที่จะรู้ถึงการสะสมใดของตนเอง จนกว่ามีปัจจัยใดที่จะให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น จึงรู้ว่าสภาพธรรมนั้นยังมีเหตุที่จะให้เกิดขึ้น"
เป็นคำที่ลึกซึ้ง ที่แสดงถึงสภาพธรรมที่เป็นจิต ที่เป็นสภาพธรรมที่สะสม เรา ที่มากไปด้วยอวิชชา ไม่สามารถรู้ได้เลย ที่จะสะสมอะไรมามากเท่าไหร่ อาจจะคิดว่าดีแล้ว แต่เพราะ สะสมกิเลสมา กิเลสที่ไม่ดีที่สะสมมาเนิ่นนานในอดีตชาติ ก็เกิดขึ้นมา อย่างที่ไม่เคยเกิด หรือ รุนแรงก็ได้ เมื่อสภาพธรรมเกิด ที่เป็น กุศล หรือ อกุศล ก็ตาม นั่นก็แสดงแล้วว่า เพราะเคยสะสมสิ่งนี้มา ซึ่งเมื่อก่อน คือ ก่อนสภาพธรรมนั้นเกิด ไม่เคยรู้เลย ครับ นี่คือ ความหมายของประโยคที่กล่าวมาข้างต้น ครับ
สังสารวัฏฏ์ยาวนาน กำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ผู้ที่ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาและกิเลสประการต่างๆ จึงยังต้องมีการเกิดอยู่ร่ำไป ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละภพในแต่ละชาติของแต่ละบุคคลล้วนมีความแตกต่างกัน ไม่เหมือนกัน บุคคลแต่ละบุคคลจึงมีอัธยาศัยที่แตกต่างกัน ตามการสั่งสม การที่เป็นคนมักโกรธในชาตินี้ ก็เพราะได้สั่งสมความโกรธมาแล้วตั้งแต่ขณะก่อนๆ ซึ่งรวมถึงในชาติก่อนๆ ด้วยถ้าชาตินี้ยังโกรธ สั่งสมความโกรธไว้อยู่ ชาติต่อๆ ไป ก็คงยังเป็นคนมักโกรธอยู่นั่นเอง ผู้ที่มีปกติริษยาผู้อื่น เห็นผู้อื่นได้ดีแล้วทนไม่ได้ ก็เพราะเคยได้สั่งสมกิเลสประเภทนี้มาแล้ว สำหรับผู้ที่มีอัธยาศัยในการให้ทาน มีอัธยาศัยในการเกื้อกูลบุคคลอื่นมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความอดทน มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมพิจารณาพระธรรมอยู่เสมอ บ่อยๆ เนืองๆ เป็นต้น ก็เพราะได้สั่งสมมาแล้ว เหมือนกันเมื่อพิจารณาตามดังนี้แล้ว จึงได้เครื่องเตือนใจทีดีว่า ควรที่จะสั่งสมแต่สิ่งที่ดีงามจนเป็นอุปนิสัย เพราะสิ่งที่ดีงามเป็นสิ่งที่ควรจะอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่ไม่ดี ที่เป็นอกุศล ไม่ควรที่จะสั่งสมให้มีมากขึ้น ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
เป็นไปตามการสะสม ทำให้แต่ละคนมีอัธยาศัยต่างกัน
ผู้ถาม หลงลืมสติมีบ่อยมาก
สุ. เพราะฉะนั้นก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่ากว่าสติจะเกิดจริงๆ เป็นปกติและก็ต้องละการยึดถือขณะนั้นด้วย ก็จะเห็นได้ว่าก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน เพราะว่าเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด ถ้ายังไม่รู้จริงๆ โดยที่เป็นความมั่นคงขึ้น โดยที่เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นและความเห็นผิดก็จะแทรกเข้ามาได้ มีความเป็นเราที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรม และเป็นอนัตตา ก็จะเป็นปัจจัยให้เห็นประโยชน์ว่าสำคัญที่สุดคือการฟังเพราะว่าเราบังคับอะไรไม่ได้เลย เราคุ้นเคยกับโลภะมาก ทางตา เราคุ้นเคยกับการที่จะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นเราคุ้นเคยกับเรื่องราว และเราก็พอใจในเรื่องราว สิ่งนี้เป็นอะไร เป็นกระเป๋า เป็นรองเท้า เป็นหนังสือ เป็นอะไร ก็เป็นเรื่องราวทั้งหมด ความพอใจของเราในเรื่องราวนั้นมากมายมหาศาล จนกระทั่งลืมว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตกิเลสของเราที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น วันนี้ไม่รู้เลยว่ามาก ทีละน้อย ทีละนิด ทีละหน่อย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ถ้ามีอะไรที่ปรากฏว่าเป็นความพอใจอย่างมาก เริ่มเห็น และความพอใจอย่างมาก แต่ละชาติจะมากแค่ไหน ที่จะพาไปสู่อะไร นอกจากการกระทำทุจริต หรือว่าวนเวียนไปสู่สังสารวัฏฏ์ ถ้าเข้าใจความหมายที่เป็นอนัตตา ที่เป็นไปตามการสะสม ก็จะรู้ว่าการสะสมการฟังธรรมแม้เพียงเล็กน้อย ประโยชน์มากและก็ต่างกับทางฝ่ายอกุศล ซึ่งทางฝ่ายอกุศลไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจในความเป็นจริงของธรรมว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ และก็ต้องเป็นไปตามการสะสม ทำให้แต่ละบุคคลก็มีอัธยาศัยต่างกันและก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแสนนาน ก็ยิ่งจะเห็นประโยชน์ของการฟัง แม้เพียงเล็กน้อยก็ฟังเถอะ เราอาจจะไปเที่ยวกับญาติพี่น้อง พอกลับมาเราก็ฟังได้ หรือจะตรึกตรองถึงธรรม ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ คือเป็นผู้ที่เห็นคุณของการที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่ค่อยๆ สั่งสม สะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย ก็จะทำให้มีอัธยาศัยในการที่จะฟังธรรม และยิ่งฟังก็ยิ่งเห็นความละเอียด ค่อยๆ เข้าใจในความละเอียดขึ้น ก็จะทำให้มีการไม่ประมาทในการที่จะไตร่ตรองธรรมให้ถูกต้องและก็อบรมเจริญไป ก็เป็นเรื่องที่เห็นชัดเจนว่าถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ ก็จะฟังธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องบังคับ ก็จะรู้อัธยาศัยที่สะสมมาเมื่อไหร่ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกชีวิต เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่ากิเลส หรือ อกุศลธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของกิเลสและอกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลาที่วิบากจิต หรือ กุศลจิตไม่เกิดขึ้น นี้คือความจริง แสดงให้เห็นเลยว่า ปุถุชนมักจะตกไปจากกุศล จริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่างๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขณะที่จิตเป็นกุศลเท่านั้น ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ กล่าวคือ ขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต หรือ เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเกิดน้อยมากในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่ได้สะสมความคิดถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมอย่างถูกต้อง บุคคลนั้นจะคิดไม่ดี ไม่เป็น คิดใส่ร้ายคนอื่นไม่เป็น คิดประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นไม่เป็น แต่จะคิดในทางที่ดี ที่ถูกที่ควร คิดที่จะมีเมตตา เห็นใจคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่มีกิเลสด้วยกัน คิดเกื้อกูลกันและกัน และเห็นใครทำดี ก็ชื่นชมเสริญเสริญ เป็นต้น แต่ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็จะคิดในทางตรงกันข้าม คิดในทางที่เป็นอกุศล ซึ่งขณะนั้นก็เบียดเบียนทำร้ายตนเอง นั่นเอง ทั้งหมดนั้น เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตามการสะสมอย่างแท้จริง ก่อนศึกษาพระธรรมไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอได้เริ่มฟัง เริ่มศึกษาพระธรรมแล้ว ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย จริงๆ และเป็นที่ตั้งให้ปัญญา รู้ตามความเป็นจริงได้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ