เพราะฉะนั้น ถ้าฆราวาสพยายามมีชีวิตอย่างบรรพชิต จะไม่มีโอกาสรู้จักชีวิตจริงๆ ของตนเองเลย สำหรับบรรพชิตก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีศรัทธาบวชเป็นบรรพชิต มีข้อประพฤติปฏิบัติที่ประเสริฐ คือ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นพรหมจรรย์ แล้วรู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดปรากฏตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา แต่โดยมากเข้าใจผิด ทำให้ท่านต้องการมีชีวิตอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่ชีวิตตามปกติของท่าน แล้วไปประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่ใช่ตลอดไป เพราะไม่ใช่อัธยาศัยจริงๆ ที่จะไปได้ โดยมากก็ ๗ วัน ๒ อาทิตย์ เดือนหนึ่ง หรือท่านที่ว่างมากๆ ก็ไปได้หลายเดือน แล้วก็ต้องกลับมาเป็นชีวิตจริงๆ ของตัวเอง เพราะไม่ได้สะสมเหตุปัจจัยที่จะมีชีวิตอย่างนั้น
ท่านที่เป็นอุบาสก ถ้าอยากบำเพ็ญชีวิตแบบบรรพชิต ก็บรรพชาอุปสมบท แล้วเจริญสติปัฏฐานในเพศนั้นมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่อัธยาศัยที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือ มีชีวิตที่สละละบ้านเรือน ส่วนท่านที่เป็นอุบาสิกา อยากมีชีวิตที่ละอาคารบ้านเรือน เป็นอุบาสิกาที่รักษาศีล ๘ นั่นก็เป็นชีวิตจริงๆ ของท่าน ขอให้เป็นชีวิตตามปกติจริงๆ ไม่ใช่เป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็ไปทำอีกอย่างหนึ่งชั่วคราว แล้วก็กลับมาเป็นอย่างเดิม แต่ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปที่เกิดปรากฏตามความเป็นจริงในชีวิตจริงๆ
ในครั้งพุทธกาล ท่านแสดงให้เห็นว่า การบรรพชานั้นยาก เพราะเหตุว่าไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพียงชั่วคราวเพื่อหวังผลแล้วกลับมา แต่เป็นอัธยาศัยจริงๆ ของผู้นั้นที่จะละอาคารบ้านเรือน ละวงศาคณาญาติ ละรูป เสียง กลิ่น รสที่ประณีตต่างๆ ละความสะดวกสบายต่างๆ เป็นอัธยาศัยจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ยาก ถ้าไปเพียงชั่วคราวเพื่อเจริญสติปัฏฐานให้ได้ผล อย่างนั้นไม่ยากเลย เพราะมีผล ทำให้รู้สึกว่าไม่ยาก แต่ทำไมท่านจึงกล่าวว่า การบรรพชานั้นยาก เพราะต้องเป็นชีวิตจริงๆ เป็นอัธยาศัยจริงๆ ที่จะเจริญสติปัฏฐานในเพศของบรรพชิต
ที่กล่าวว่าบรรพชายาก เป็นข้อความในพระไตรปิฎกใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สามัณฑกสังยุตต์ มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้อุกกเจลนคร ในแคว้นวัชชี ครั้งนั้น ปริพาชกชื่อสามัณฑกะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกร ท่านสารีบุตร ที่เรียกว่า นิพพาน นิพพานดังนี้ นิพพานเป็นไฉนหนอ
ท่านพระสารีบุตรตอบว่า
ดูกร ผู้มีอายุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่านิพพาน
ถูกถามว่านิพพานเป็นอย่างไร คำตอบคือ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่านิพพาน ปริพาชกสามัณฑกะเมื่อได้ฟังแล้วก็เข้าใจ
ทุกคนมีราคะ โทสะ โมหะ ปริพาชกนั้นก็รู้ว่า มีราคะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ปริพาชกก็ย่อมต้องเห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐ เพราะไม่ทำให้จิตใจกระวนกระวาย เดือดร้อน เร่าร้อน ต้องเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ปริพาชกสามัณฑกะก็ได้กล่าวถามท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า
ดูกร ท่านผู้มีอายุ ก็มรรคามีอยู่หรือ ปฏิปทามีอยู่หรือ เพื่อกระทำนิพพานให้แจ้ง
เมื่อพูดถึงการสิ้นราคะ โทสะ โมหะก็ดี เพียงพูดถึงผลเท่านั้น ไม่พูดถึงเหตุ ไม่พูดถึงข้อประพฤติปฏิบัติที่ให้บรรลุถึงความสิ้นราคะ โทสะ โมหะด้วย ถ้าไม่พูดถึงเหตุก็กลายเป็นผลที่ว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดสามารถบรรลุถึงคุณธรรมที่ประเสริฐนั้นได้
เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงนิพพาน ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ ก็ควรที่จะได้รู้ด้วยว่า หนทางที่จะปฏิบัติให้ถึงการกระทำนิพพานให้แจ้งนั้น มีอยู่หรือ
ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็ได้กล่าวตอบว่า
มีอยู่ ผู้มีอายุ
ปริพาชกสามัณฑกะก็ได้กล่าวถามต่อไปว่า
ดูกร ผู้มีอายุ ก็มรรคาเป็นไฉน ปฏิปทาเป็นไฉน เพื่อกระทำนิพพานนั้นให้แจ้ง
ท่านพระสารีบุตรกล่าวตอบว่า
ดูกร ผู้มีอายุ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ การระลึกชอบ ตั้งมั่นชอบ นี้แล เป็นมรรคา เป็นปฏิปทา เพื่อกระทำนิพพานนั้นให้แจ้ง
ปริพาชกสามัณฑกะ เมื่อได้ฟังอย่างนั้นก็ได้กล่าวว่า
ดูกร ท่านผู้มีอายุ มรรคาดีนัก ปฏิปทาดีนัก เพื่อกระทำนิพพานนั้นให้แจ้ง และเพียงพอ เพื่อความไม่ประมาท นะท่านพระสารีบุตร
ดูกร ท่านสารีบุตร อะไรหนอเป็นการยากที่จะกระทำได้ในธรรมวินัยนี้
ท่านสนทนากันด้วยเรื่องที่ละเอียดและลึกซึ้ง อย่างเวลาที่ท่านพระสารีบุตรแสดงมรรคมีองค์ ๘ ให้กับปริพาชกสามัณฑกะฟังว่า
หนทางซึ่งเป็นมรรคา เป็นปฏิปทา เพื่อกระทำนิพพานให้แจ้งนั้น คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ คือ ความเห็นชอบ
เพียงพยัญชนะสั้นๆ ว่า ความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ก็น่าสรรเสริญแล้วว่า ไม่ใช่เห็นผิด เพราะฉะนั้น หนทางนี้จึงประเสริฐนัก ดีนัก ดำริชอบสัมมาสังกัปปะ แทนที่จะตรึกไปในกามวิตก พยาปาทวิตก วิหิงสาวิตก ไม่ชอบใครก็จะคิดเบียดเบียนด้วยกาย ด้วยวาจา หรือว่าชอบ ก็ปล่อยให้เพลินไปด้วยการหลงยึดถือว่าเป็นตัวตน หรือเมื่อจิตใจไม่แช่มชื่นก็หมกมุ่นไปในความไม่แช่มชื่น อย่างนั้นไม่ใช่การตรึกที่ถูก
แต่การตรึกที่ถูก สัมมาสังกัปปะ คือ ตรึกถึงลักษณะที่กำลังปรากฏเพื่อความเห็นชอบ ตรงตามลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ กำลังเห็น สัมมาสังกัปปะ ตรึกลักษณะที่กำลังเห็น สีที่กำลังปรากฏ สัมมาสังกัปปะตรึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้จริงๆ ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต แต่เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงเป็นสัมมาสังกัปปะ เป็นมรรคาที่ดีนัก เป็นปฏิปทาที่ดีนัก รวมทั้งการดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ การระลึกชอบ ตั้งมั่นชอบ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐทั้งนั้น
แต่ว่าปริพาชกสามัณฑกะคงได้เห็นความยาก ความลึกซึ้งของความเห็นชอบ ความดำริชอบ ซึ่งเป็นมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น ปริพาชกสามัณฑกะจึงได้กล่าวถามท่านพระสารีบุตรว่า
อะไรหนอ เป็นการยากที่จะกระทำได้ในธรรมวินัยนี้
การเจริญมรรคมีองค์ ๘ เป็นสิ่งที่ควรจะกระทำ เป็นธรรมวินัย แต่ปริพาชกสงสัยว่า อะไรเป็นการยากที่จะกระทำได้ในธรรมวินัยนี้
ท่านพระสารีบุตรกล่าวตอบปริพาชกสามัณฑกะว่า
บรรพชา ผู้มีอายุ
ยากไหมในการเป็นบรรพชิต สละอาคารบ้านเรือน เป็นอัธยาศัยไม่ใช่เพียงชั่วคราว ไม่ใช่ไปด้วยความหวังแล้วกลับมา ไปบังคับ ไปฝืน ไปเอาอย่าง ไปทำตาม นั่นไม่ใช่การเจริญมรรคมีองค์ ๘ เพราะเหตุว่าไม่ใช่อัธยาศัยที่แท้จริง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีหนทาง มีข้อประพฤติปฏิบัติ มีอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นธรรมวินัยแล้ว แต่เมื่อปริพาชกได้ฟังก็ยังสงสัยว่า อะไรหนอเป็นการยากที่จะกระทำได้ในธรรมวินัยนี้ ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็กล่าวตอบว่า บรรพชา ผู้มีอายุ
เพราะฉะนั้น คนที่คิดจะไปชั่วคราว ก็ควรจะระลึกถึงพระสูตรนี้ การไปที่เป็นอัธยาศัยจริงๆ เป็นการยาก เพราะเหตุว่าไม่ใช่ไปชั่วคราว แล้วไม่ใช่ไปโดยที่ไม่ใช่อัธยาศัยอันแท้จริง
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 77