ผลของความปรารถนาดี แต่วิธีการผิดเป็นเช่นไร - พ่อ แม่ ไม่ยอมละเลิกทางโลก
โดย chackapong  11 ม.ค. 2550
หัวข้อหมายเลข 2627

พ่อ แม่ ไม่ยอมละเลิกทางโลกเลย ผมพยายามพูดให้ใฝ่หาธรรมบ้าง กลับถูกเข้า ใจผิดว่า ไม่เคารพ ไม่กตัญญู จนทำให้โกรธกัน จนผมโกรธกับท่านจริงๆ อายุพ่อ 78 แล้ว ชอบไปเที่ยวห้าง หรือต่างประเทศ มองเห็นอะไรแค่เปลือกนอก เป็นเพราะอะไร ขอเรียนถามผู้รู้ ด้วยว่า ผมมีวิธีการที่ไม่ถูกต้อง แต่เจตนาดีผลจะเป็นเข่นไร เพราะ ผมก็ไม่ได้ลึกชึ้งธรรมะ แต่มองเห็นว่าน่าจะเป็นประโยขน์ในการแสวงหาความจริงและ ความสงบของชีวิต ช่วยชี้แนะด้วย

ขอขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ



ความคิดเห็น 1    โดย study  วันที่ 11 ม.ค. 2550

การที่เราศึกษาพระธรรมเห็นคุณค่าของพระธรรมแล้ว ใคร่จะแนะนำผู้อื่น รวมถึง ผู้มีอุปการะคุณ เช่น พ่อแม่ เป็นต้น เป็นความหวังดี ความปรารถนาดีของผู้เป็นลูก แต่วิธีการแนะนำ นำเสนอแต่ละท่านอาจใช้วิธีที่แตกต่างกัน แต่เราคงไม่ควรใช้ถ้อย คำที่หยาบคาย ดูหมิ่น หรือวิธีที่รุนแรง ควรค่อยๆ หาช่องทางค่อยเป็นค่อยไป คือ อย่าให้ท่านรู้ตัวว่า เราสอนท่าน

ถ้าพ่อแม่มีอุปนิสัยท่านอาจจะรับโดยง่าย แต่ถ้า หากท่านไม่สะสมมา ก็ยากที่ให้ท่านรับฟังพระธรรมอันมีคุณค่ามหาศาลนี้ได้ ส่วนที่ ผ่านมาแล้วนั้น ถ้าหากว่าเรากระทำด้วยความหวังดีต่อท่านจริงๆ แต่ท่านโกรธ ความหวังดีของเราย่อมไม่มีโทษ แต่ถ้าหากใช้วาจาที่ไม่สมควรกับท่านอันนี้มีโทษ และลักษณะของความกตัญญู คือ การรู้อุปการะคุณที่ท่านมีต่อเรา และตอบแทน บุญคุณแก่ท่านตามสมควรแก่ฐานะ


ความคิดเห็น 2    โดย wannee.s  วันที่ 11 ม.ค. 2550

ถ้าเราสามารถใช้วิธีเปิดฟังธรรมะเอง แล้วให้ท่านได้ฟังด้วยทางอ้อม ต้องใช้ เวลาหน่อย ให้ท่านค่อยๆ ชินกับเสียงธรรมะ หรือชวนท่านไปทำบุญ บริจาคให้ มูลนิธิเด็ก หรือมูลนิธิคนพิการ หรือบริจาคเงินให้สภากาชาดก็ดีนะ ชักชวนให้ มารดาบิดารักษาศีลเท่าที่ทำได้ แต่อย่าหวังว่าจะได้ดั่งใจ เพราะถ้าเราหวัง เราก็อาจจะผิดหวังและเสียใจและก็ต้องอย่าลืมว่า ธรรมะไม่สาธารณะกับทุกคน ต้องเป็นผู้ที่เคยทำบุญไว้แล้วในปางก่อนถึงจะมาสนใจฟังธรรมะ


ความคิดเห็น 3    โดย siwa  วันที่ 11 ม.ค. 2550

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย chackapong  วันที่ 12 ม.ค. 2550

ท่านคงไม่มีจิตใจใฝ่ทางนี้ เลี้ยงลูกเพื่อหวังให้ได้พี่งทางโลก กระผมมีปัญหา มากในแนวความคิดเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีความขัดแย้งอยู่ในใจ ว่า ความผิด ถูก เรา สร้างขึ้นมาเองในจิตใจหรือไม่ โดยปรกติแล้ว เวลามีความเห็นอะไร ก็จะเข้าตรงจุด นั้นเลย ไม่ทราบว่าจะใช้มาตรฐานของ สังคม ธรรมมะ หรือ ความเห็นส่วนตัวมา พิจารณาดี ยอมรับว่ามักใช้วิธีที่คนทั่วไป เรียกว่ารุนแรง แต่ถ้าไม่กระตุ้นตรงๆ ก็ยิ่ง ถูกละเลย แต่พอทำไปแล้วก็ยิ่งถูกเข้าใจผิด ท่านยึดมั่นแต่ความคิดตัวเอง จนผมหมดปัญญาที่จะสร้างความเข้าใจ ผมควรเลิกบอก ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพของมันเอง ดีกว่าหรือไม่ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับท่านใดที่จะมาแสดงความเห็น และชี้แนะ


ความคิดเห็น 5    โดย medulla  วันที่ 12 ม.ค. 2550

ดิฉันจะส่งหนังสือธรรมะของมูลนิธิ ฯ ไปทางไปรษณีย์ จ่าหน้าซองถึงท่านบ่อยๆ ได้ผลนะคะ


ความคิดเห็น 6    โดย wirat.k  วันที่ 12 ม.ค. 2550

ขออนุโมทนาที่คุณ chackapong มีกุศลจิตใคร่ที่จะให้บุคคลรอบข้าง โดย เฉพาะบุพการีหันมาสนใจในการศึกษาธรรม แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า แต่ละบุคคลก็มี กรรมเป็นของตน สะสมกุศล อกุศล และอุปนิสัยมาต่างๆ กัน จะให้มีความสนใจ เหมือนๆ กัน ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ย่อมเป็นไปไม่ได้ การศึกษาธรรมของเรา จุดมุ่งหมายก็เพื่อขัดเกลาตนเอง ให้เริ่มเห็นโทษของอกุศล และค่อยๆ เจริญ กุศลทุกประการ เท่าที่กำลังความเข้าใจของเราจะสามารถทำได้

สำหรับบุคคล ข้างเคียงนั้น หากว่าเราเป็นผู้ศึกษาธรรม และเริ่มประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม การ ประพฤติปฏิบัติของเราต่อบุคคลรอบข้าง ย่อมเป็นไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น หาก บุคคลรอบข้างสะสมอุปนิสัยมา เขาก็อาจจะสอบถาม พูดคุย นั่นก็เป็นโอกาสที่จะ สนทนาเช่นกัน และมีอีกหลายๆ วิธีตามที่สมาชิกแนะนำ เป็นต้น การศึกษาธรรมของเรา ก็เพื่อให้เข้าใจธรรม และเพื่อขัดเกลาตนเองเป็นสำคัญ

สำหรับคนอื่นก็แนะนำตามแต่โอกาสจะอำนวย และก็มีวิธีเจริญกุศลตั้ง หลากหลายวิธี การที่จะแนะนำที่จะให้ผู้อื่นสนใจธรรม ก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ สูงสุด แต่ก็ต้องระมัดระวังผู้ที่จะรับฟังว่า เขามีความสนใจหรือไม่ หากพูดไปแล้ว ไม่เป็นประโยชน์ กลับเกิดการขัดแย้งรุนแรง ก็ควรงด ไม่พูดซะดีกว่า สรุปว่า เราศึกษาเอง ขัดเกลากิเลสของตนเองนี่แหละครับสำคัญที่สุด


ความคิดเห็น 8    โดย pornchai.s  วันที่ 12 ม.ค. 2550

ผมเห็นด้วยกับทุกความเห็นที่เสนอแนะมานะครับ น่าจะลองปฏิบัติดู คุณพ่อของผมก็คล้ายกัน บางทีความเห็นของเราซึ่งเป็นลูก ท่านจะไม่เห็นด้วย เพราะถ้าผมพูดถึงเรื่องธรรมทีไรคุณพ่อก็จะบอกว่า "แต่พ่อก็เห็นว่า ตายแล้วสูญ" ทุกทีไป จนผมมาคิดว่า การที่เราจะคุยธรรมกับท่าน กลายเป็นสนับสนุนให้ท่านเกิด มิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้ ก็ไม่พูดดีกว่า แต่จะแนะนำให้ท่านทำบุญกับมูลนิธิ โดยแนะว่า "ไม่ต้องมาก 10-20 บาท ก็ได้ ฝากผมไปทำก็ได้นะครับ และก็ไม่มีข้อผูกมัดว่า จะต้องทำทุกสัปดาห์"


ความคิดเห็น 10    โดย pornpaon  วันที่ 12 ม.ค. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ อย่าท้อใจเลยนะคะ วางใจไว้กลางๆ ดีกว่า เพราะเวลาหวังแล้วผิดหวัง เสียใจ จะเป็นการสร้างอกุศลในใจเปล่าๆ หลายปีมาแล้ว ตอนที่ดิฉันเพิ่งได้ฟังธรรมะ บรรยายของท่าน อ.สุจินต์ ใหม่ๆ

ดิฉันเคยยอมตามใจแม่ ด้วยการเดินตามท่านไป สถานธรรม แม่ยื่นใบสมัครเป็นสมาชิก ในรูปแบบของเงินบริจาคเข้าประตูสวรรค์ หนึ่งร้อยบาท ให้ดิฉันผู้เป็นลูก ด้วยอาการเหมือนกลัวลูกไม่ทันประตูสวรรค์ ดิฉัน ต้องผ่านพิธีการขานชื่อ คารวะเทพตามลำดับชั้น กล่าวคำคล้ายสาบาน คำนับแล้ว คำนับอีก ตบท้ายด้วยการพูดเพื่อให้ดูหนักแน่น เพราะเห็นดิฉันเฉยๆ ว่า "ขณะนี้ ชื่อของท่าน ได้ไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้ที่รออยู่หน้าประตูสวรรค์แล้ว" ดิฉันไม่พูดอะไรสักคำเพื่อไม่ให้แม่เสียใจ และไม่ลบหลู่ในความเชื่อของผู้อื่น

แม่น้อยใจว่า ชวนใครในบ้านมานับถือพระธรรมทางนี้ไม่ได้สักคน ดิฉันก็อดทนพอ จะค่อยๆ อธิบายเพื่อรอมชอมว่า "แม่มาทำบุญฟังธรรมในที่แห่งนี้ก็ดีแล้ว คงเป็น นาบุญของแม่ เพราะแม่ใจเย็นลงเยอะ แต่นาบุญของหนูคงอยู่ที่อื่น เอาเป็นว่าแม่ ก็ตั้งใจไฝ่บุญในสถานธรรมของแม่ หนูก็สวดมนต์ ฟังธรรมในพระศาสนาตามแบบ ของหนูทำดีทั้งคู่นั่นแหละ"

ต่างฝ่ายต่างหวังดี ดิฉันเป็นลูก แม้นจะรู้เต็มอกว่า หลายอย่างที่เขาอบรมแม่มาไม่ใช่สิ่งที่ถูก แต่ดิฉันก็ค่อยๆ แซะด้วยคำพูด ที่ท่านยอมรับได้ แม้บางครั้งท่านอาจขัดใจว่า ไม่ตรงกับที่ฉันได้รับการอบรมธรรมะมา แต่ ท่านก็ยังอุตส่าห์ฟังและคุยด้วย เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องธรรมะที่ควรฟัง อย่างน้อยลูกฉันก็หันหน้าเข้าวัด ถึงจะคนละวัดก็เถอะ ทุกวันนี้ด้วยความที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ดิฉันมีโอกาสค่อยๆ กระแซะท่านน้อยมากค่ะ ทั้งหมดที่เล่ามา เพียงเพื่อเป็นกำลังใจ ความหวังดีอาจไม่เกิดผลรวดเร็วดังใจ

แต่ตราบใดที่ยังหวังดีอยู่เสมอ ใจย่อมสื่อถึงใจได้ในวันหนึ่ง นาบุญ (การสะสมมา) ที่ต่างกัน ย่อมปลูกข้าวให้งอกงามเติบโตได้ผลดีเลวต่างกัน ไปตามเนื้อดินและน้ำ เลี้ยงนั่นเอง ค่อยเป็นค่อยไปอย่าเร่งรัดท่านเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย chackapong  วันที่ 13 ม.ค. 2550

เมื่อสักครู่ได้เข้าไปอ่านหัวข้อ ธรรมะไม่สาธารณะแก่คนอื่นทั่วไป ทำให้มองเห็น ความจริงบางอย่าง เลยคลายความกังวลในจิตใจได้ส่วนหนื่ง ที่พยายามคาดหวังว่า บุคคลที่ใกล้ตัว และอยู่ในบั้นปลายชีวิต ควรจะเข้าหาความสงบและความจริงของชีวิต อย่างไรก็ตามขอขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตามาแสดงความเห็นชี้แนะด้วยนะ ครับ


ความคิดเห็น 12    โดย chackapong  วันที่ 21 ก.พ. 2550

โดยปกติแล้ว เราจะถูกสังคมให้ยอมรับในความเป็นพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณ ขั้นต้นคือ เลี้ยงเรามา แต่ถ้าหากท่านเลี้ยงเพื่อหวังให้เราเป็นที่พึ่ง หรือคาดหวังว่าจะให้เรา เป็นอย่างที่ท่านต้องการ เมื่อเราประสบความสำเร็จก็มาเยินยอ ภูมิใจ แต่เมื่อเรา ประสบปัญหาก็หมางเมิน อย่างนี้เราจะปฏิบัติตัวอย่างไร ท่านไม่บาปหรือครับ


ความคิดเห็น 13    โดย devout  วันที่ 22 ก.พ. 2550

อกุศลไม่ว่าจะเกิดกับใครก็เป็นอกุศลค่ะ โดยมากเรามักจะเห็นอกุศลของคอื่น แต่ไม่เห็นอกุศลของตนเอง ไม่ว่าบิดามารดาจะเป็นเช่นไร เราในฐานะที่เป็นบุตร ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อดีที่สุดแล้วเราก็จะไม่กังวล หรือต้องรู้สึกเสียใจ ในภายหลัง การเกิดในครอบครัวใดก็เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งตาม ความเป็นจริงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มี จิตเกิดขึ้นรับผลของกรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา บังคับบัญชาไม่ได้ แต่กรรมใหม่ที่จะกระทำต่อไปนี่ซิคะ เป็นสิ่งที่น่าใคร่ควรพิจารณา ถ้าไม่ได้รับการอบรม จากการฟัง ศึกษา พิจารณาธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ย่อมขาดปัจจัยที่ทำให้จิตน้อมไป ในกุศล

ชีวิตเป็นของน้อย คนเราก็คงจะเห็นกันอีกไม่นาน ควรมีความปรารถนาดีต่อกัน และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด และเลิกหวังที่จะได้อะไรตอบแทน เพราะเหตุมีแล้ว ผลย่อมมีค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย chatchai.k  วันที่ 21 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ