แสวงหาสิ่งต่างๆ จนได้มาเพื่อทิ้ง
จากการร่วมฟังการสนทนาธรรมที่มูลนิธิ ฯ ในวันนี้ (เสาร์ที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๒) ท่านอาจารย์ถามท่านผู้ฟังท่านหนึ่งว่า “อยากได้อะไรบ้าง” ท่านตอบว่า “อยากได้ทุกอย่าง” ท่านถามต่อว่า “เช่นอะไรบ้าง?” ผู้ฟังตอบว่า “ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข” ท่านกล่าวว่า “รู้หรือเปล่าว่า แสวงหาจนได้มาเพื่อทิ้งไปทุกขณะ จนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ ก็ทิ้งทั้งหมดแม้แต่ชื่อ รู้อย่างนี้แล้ว ยังจะอยากได้อีกหรือ” เราตอบในใจว่า “ยังอยากได้ เพราะยังไม่ประจักษ์ว่า ได้เพื่อทิ้ง คิดว่าได้เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น” ท่านผู้ใดมีปัญญามากกว่า ช่วยทำให้เข้าใจมากกว่านี้ได้ไหมคะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ชีวิตก็คือจิต จิตที่เกิดดับแต่ละขณะสืบต่อกันไป จิตเป็นธรรรมชาติสะสม สะสมลาภยศ สักการะ สรรเสริญหรือเปล่า ไม่ใช่เลย แต่จิตเป็นธรรมชาติที่สะสม กุศลและอกุศลดังนั้นที่แสวงหากัน ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถติดตัวไปได้เลย ต้องทิ้งไปทุกขณะเพราะจิตไม่ได้สะสมลาภ สักการะ ทรัพย์สินไปเลย แต่สิ่งที่ติดตัวไปได้หรือสะสมที่จิตทุกขณะนั้นคือ กุศลและอกุศลที่ได้ทำไว้เท่านั้นครับ
ตราบใดที่เป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสก็ย่อมมีความยินดีพอใจ แสวงหา ต้องการในสิ่งที่ไม่ประเสริฐ เช่น ทรัพย์ บุตร ภรรยา ที่กล่าวว่าไม่ประเสริฐเพราะมีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา ไม่ได้เป็นสาระของชีวิตจริงๆ
แม้พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงว่า ทรัพย์ที่บุคคลสะสมไว้คิดว่าจะเป็นประโยชน์ในภายหน้า ทรัพย์เหล่านั้นก็หาสำเร็จประโยชน์กับผู้นั้นเสมอไปเพราะบุคคลนั้นต้องจากโลกนี้ไปหรือบุคคลนั้นสิ้นบุญ
ผู้มีปัญญา รวบรวมทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการเจริญกุศล ทำบุญเพราะบุญเท่านั้นที่เป็นประโยชน์ในภพหน้า เมื่อรู้ความจริงว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมกุศลและอกุศลเท่านั้น จึงไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกๆ ประการและสำคัญที่สุด สะสมความเข้าใจในพระธรรมที่เป็นความเห็นถูก
กำลังจากไปทุกขณะ ที่คิดว่ามีลาภ สักการะ ชื่อเสียง ก็แค่คิดเท่านั้นเองและก็หมดไป พร้อมๆ กับความไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา สะสมในสิ่งที่ควรสะสมคือกุศลและความเข้าใจพระธรรมดีที่สุดครับ ขออนุโมทนา เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ...ขุมทรัพย์คือบุญ [นิธิกัณฑ์ในขุททกปาฐะ] อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๔๕ “ญาติก็ดี มิตรก็ดี หรือสหายทั้งหลาย เป็นที่ต้านทานของบุคคลผู้จะตาย ไม่มี, ทายาททั้งหลาย ก็ขนเอาทรัพย์ของผู้นั้นไป ส่วนสัตว์ ย่อมไปตามกรรมที่ทำไว้, ทรัพย์อะไรๆ ย่อมติดตามคนตายไปไม่ได้” (ข้อความตอนหนึ่งจาก...รัฏฐปาลสูตร)
บุคคลผู้ที่ยังมีอวิชชา ยังมีความไม่รู้ เป็นเครื่องปกปิดไว้ จึงทำให้มีความติดข้อง
ยินดี พอใจ ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทำให้ไม่เห็นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไปเท่านั้น กล่าวได้ว่าเป็นการแสวงในสิ่งที่ไม่ประเสริฐ เพราะได้มาแล้วทำให้ติดข้องยินดีพอใจ และที่สำคัญ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว บุคคลไม่สามารถนำเอาทุกอย่างเหล่านี้ไปในภพหน้าได้ เลย ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ มีแต่การสะสม ทั้งที่ดีและไม่ดี เท่านั้นจะติดตัวไปได้ ในชาตินี้ ยังมีกิเลสมาก และปัญญาก็ยังไม่เจริญ ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีบ่อยๆ เนืองๆ โดยเฉพาะการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน แล้ว ก็ย่อมจะเป็นโอกาสของอกุศลที่พร้อมจะเกิดขึ้นครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา และอาจจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ก็เป็นได้ ดังนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะสะสมลาภที่ประเสริฐ นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา ทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ และอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ สิ่งที่ได้มาแล้วเกิดความติดข้อง ยินดี พอใจกับการที่ได้มีความเข้าใจถูกแล้วไม่ติดข้องในสิ่งที่ได้มา ทั้งสองอย่างนี้ มีความต่างกันกล่าวคือ การไม่ติดข้อง ย่อมจะประเสริฐกว่า เพราะเหตุว่า จะหลีกเลี่ยงลาภ ยศสรรเสริญ สุข นั้น ย่อมไม่ได้ เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง
รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่ชั่วคราวจริงๆ เกิดแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเมื่อไม่ติดข้อง จึงไม่ทำให้มีความเดือดร้อนใจ อีกด้วย, ทั้งหมดทั้งปวง นี้จึงเป็นเรื่องของความเข้าใจถูก เห็นถูกจริงๆ (ปัญญา) ซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นตามทีมีความเข้าใจอยู่ครับว่า ประการแรก
เราต้องไม่ลืมว่าความตายนั้นต้องมาถึงแน่นอนในไม่ช้าก็เร็ว เมื่อปัจจัยทั้งหลายถึง
พร้อม จุติจิตจะต้องเกิดขึ้นทำกิจ ซึ่งอาจเป็นขณะหนึ่งขณะใดในวันนี้ก็ได้ และ
อีกประการหนึ่งที่เป็นความเข้าใจจากการศึกษา นั่นคือ การเปลี่ยนจากบุคคลหนึ่ง
ไปเป็นอีกบุคคลหนึ่ง โดยการทำกิจของจุติจิตและปฏิสนธิจิตนั้น ไม่อาจนำรูปธรรม
ใดๆ ตามไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัสที่น่าปรารถนา แต่
สิ่งที่จะสะสมติดตามไปในจิตที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็วนั้น คือนามธรรม และ
นามธรรมที่จะให้ผลเป็นคุณ (สำหรับเรา) ในโลกนี้ และ (สำหรับ...) ในโลกหน้า คือ
นามธรรมที่เป็นฝ่ายดีทั้งหลาย ซึ่งควรสะสมไว้ให้มากที่สุดเท่าทีมีโอกาสครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสอันเป็นที่ยินดี
แสวงหาสิ่งต่างๆ จนได้มาเพื่อทิ้ง
ไม่มีสิ่งใดติดตามไปได้ นอกจากบุญและบาปที่ได้กระทำสั่งสมไว้
...จริงที่สุด...
ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอเพิ่มเติมความเห็นที่ ๖ เมื่อรู้ว่านามธรรมที่เป็นฝ่ายดีเกิดคือกุศล ควรมีความพอใจและความเพียร ให้กุศลที่มีนี้เจริญจนมีกำลังและมีกำลังอันยิ่ง เมื่อมีกำลังอันยิ่งแล้วจนเป็นนิสัยอันยิ่ง แล้วอย่าลืมว่าอกุศลก็จะเจริญอย่างนี้เหมื่อนกัน ครับ
ผู้มีปัญญาน้อย อยากได้ทุกอย่าง แม้ว่าสุดท้ายจะเอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ตอนเรียนมัธยมผมเคยฝันหลายครั้งครับ ฝันกลางวันแต่ตอนเวลากลางคืน เริ่มด้วยวาดฝันไปตามสิ่งที่อยากที่ต้องการ ในฝันนั้นผมกำหนดให้มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถมากขึ้นได้อีกต่อไปในขอบเขตของสังขารสัญญาในความฝันในขณะนั้น (ในโลกจริงคงเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้เพราะในฝันเราจะฝันอย่างไรก็ได้ไม่มีจำกัด) บัดนั้นก็เกิดความคิดฝันขึ้นมาว่าสุดทางแล้ว เรามีมากกว่าใคร มากจนไม่รู้ว่าจะมีไปเพื่ออะไร และไม่รู้ว่าจะทำให้มีมากกว่านี้ได้อย่างไร เพราะมันมีมากกว่ามากแล้ว ทันใดก็รู้สึกใจหายวาบ ขณะต่อมาก็ฝันต่อไปว่า ผมตาย สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีความหมายเลย ม้นเป็นความรู้สึกที่ว้าเหว่มากครับ ตัณหามันไม่เคยอิ่มแม้ท้องนัันเต็มแล้ว มันอิ่มอย่างหนึ่ง มันก็หิวอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งบางครั้งมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหิวอะไร
ขออนุญาตแสดงความเห็น
การสะสมสิ่งต่างๆ เผื่อไว้ใช้ยามจำเป็น ถือว่าเป็นผู้ไม่ประมาทในทางโลก แต่ก็อย่าลืมสะสมบุญกุศล (ที่แท้จริง) ด้วยนะครับ จะได้เป็นผู้ไม่ประมาทในทางธรรมด้วย
หากสะสมสิ่งของทางโลกไว้มากๆ แต่เมื่อได้มาเยอะๆ แล้วเราตายไปในวันที่เราได้ครบแล้ว เราก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี สุดท้ายเราก็ต้องละทิ้งไป ...ก็ยิ่งจะเกิดความเสียดาย อาลัย ยึดติดกับสิ่งของที่เราอุตส่าห์หามาได้ทั้งชีวิตด้วยความยากลำบาก
สรุปคือสุดท้ายแล้ว เราก็ได้แค่ ความเสียดาย อาลัย ยึดติด ติดไปกับจิตใจเราตอนที่เราสิ้นใจแค่นั้น ถ้าเราตายโดยฉับพลันก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าค่อยๆ ป่วยตาย ทุกข์ทางใจต่างๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งเพิ่มกำลังมากขึ้น
ดังนั้น ถึงได้หามามากเท่าไหร่ ก็ต้องสละให้ได้ ก่อนที่เราจะสิ้นใจอยู่ดี ...ยิ่งสะสมไว้มาก ก็ยิ่งสละได้ยาก , ยิ่งล้ำค่ามาก ก็ยิ่งสละยากเข้าไปอีก
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ