ใคร่ขอเรียนสอบถามในประเด็น "ธรรมชาติของกาลเวลา"
ประเด็นข้อสงสัย / คำถาม ที่กำลังหาคำตอบเพื่อความกระจ่าง
1. ผมเข้าใจด้วยตัวเองว่า ... ความจริงแล้ว ในธรรมชาติไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต โดยมีแต่ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในทุกขณะ .... ใช่หรือไม่?
2. ผมเข้าใจด้วยตัวเองว่า ... อดีตก็ดี อนาคตก็ดี เป็นข้อมูลเกิดจากการคิดและปรุงแต่งของ CPU จิต .... ใช่หรือไม่?
3. ผมเข้าใจด้วยตัวเองว่า กาลเวลาเกิดจาก ธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นอนิจจัง ... ใช่หรือไม่?
4. ผมเข้าใจด้วยตัวเองว่า "นิพพาน" อยู่ภายใต้กฎสามัญลักษณะ (ไตรลักษณ์) ที่มีสภาวะเป็นทุกข์ --- แต่ธาตุจิตดับ (หมดกิเลส) ทำให้ไม่มีการรับรู้สภาวะทุกขัง (ที่เป็นทุกข์) ผ่านทางธาตุรู้ (จิต) ใช่หรือไม่?
ขอคารวะท่านผู้ที่รู้ความจริงและนำมาเผยแพร่
- LifeExpeditionขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าละเอียดตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง หากค่อยๆ ย่อยระยะเวลายาวนาน ที่เป็นชาติหน้า ก็ย่อยออกมาเป็น ๓๐ ปีข้างหน้า ๒๐ ปีข้างหน้า ๑๐ ปีข้างหน้า ๑ ปีข้างหน้า ๑ เดือนข้างหน้า ๑ พรุ่งนี้ ๖ ชม.ข้างหน้า ๑ ชั่วโมงข้างหน้า ๑ นาทีข้างหน้า จะมีอีก ๑ นาที ข้างหน้าหรือไม่ ๑ วินาทีข้างหน้า จะมีอีก ๑ วินาทีข้างหน้าหรือ ไม่ แม้ยังมาไม่ถึง และที่สำคัญที่สุด ที่มีชาติหน้า มีเวลา ก็คือ สภาพธรรมที่เป็น จิตที่เกิดดับไปทีละขณะ ชาติหน้า ก็คือ จุติจิต (ตายชาตินี้) ดับไป ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ (เกิดชาติหน้า) ก็เป็น จิตที่เกิดดับสืบต่อทีละขณะนั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัย มีกิเลสอยู่ ก็มีการเกิดดับของจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน ทำให้มีระยะเวลา มี ๑ วินาที มีพรุ่งนี้ มีปีหน้า มีชาติหน้า เพราะมีการเกิดดับของจิตทีละขณะนั่นเองครับ
ขออนุโมทนา
พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แน่นอนครับว่า นิพพานต้องเป็นพระนิพพานไม่เป็นอย่างอื่น คือ ไม่เป็น จิต เจตสิกและรูป แต่พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ ไม่มี จิต เจตสิกและรูป จึงไม่เกิดขึ้นและดับไปเลย เป็นสภาพธรรมที่เที่ยง และเป็นสภาพธรรมที่เป็นสุขด้วย แต่ที่สำคัญ พระนิพพาน แม้จะเที่ยง เป็นสุขแต่พระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่ใช่อัตตา เพราะพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่สูญ สูญในที่นี้ไม่ไ่ด้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่สูญ จากความเป็นสัตว์ บุคคล คือ ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคลให้ยึดถือในพระนิพพาน พระนิพพานจึงไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และที่สำคัญ บังคับบัญชาไม่ได้ด้วยครับจึงเป็นอนัตตา ตามที่กล่าวมา ไม่ใช่อัตตา ดังนั้น เรียกพระนิพพานว่าพระนิพพานได้ และพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ ซึ่งขอแสดงข้อความในพระไตรปิฎก ที่แสดงว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาและพระนิพพานก็เป็นอนัตตาด้วยครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 305
บทว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นไป ในภูมิ ๔ ทั้งหมด เป็นอนัตตา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 172
อัสสาสะปัสสาสะ - ลมหายใจเข้าออก ย่อมตกแต่งกาย ฉะนั้นจึงชื่อว่า กายสังขาร. สัญญาด้วย เวทนาด้วย ย่อมตกแต่งจิต ฉะนั้น จึงชื่อว่าจิตตสังขาร แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอา สังขตสังขาร ชื่อว่า อนิจจา - ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วกลับไม่มี.ชื่อว่า ทุกขา - เป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า เบียดเบียน คำว่า สพฺเพ ธมฺมา - ธรรมทั้งปวง ท่านกล่าวรวมเอาพระนิพพานเข้าไว้ด้วย ชื่อว่า อนัตตา เพราะอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่มีการบัญญัติ เป็นกาล เวลา ก็เพราะมีสภาพธรรมธรรมที่มีจริงที่เป็นจิต เจตสิก และ รูปเกิดขึ้นเป็นไป เกิดดับสืบต่อกัน สภาพธรรมที่เกิดดับ มีกาล เพราะเป็นเหตุให้มีการบัญญัติเป็นกาล เป็นเวลา เนื่องกับความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป แต่บัญญัติไม่มีกาละ เพราะไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป ธรรมที่พ้นจากกาละ คือ พระนิพพาน พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับจึงพ้นจากความเป็นอดีต ปัจจุบัน และ อนาคตอย่างสิ้นเชิง ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ