อยากขอคำแนะนำจากผู้รู้ทางธรรมหน่อยค่ะ คือ ตอนนี้น้องเขยยังเห็นผู้ที่ตายไปแล้วยังวนเวียนมาให้เห็นอีกอยู่ ทั้งที่ก็ได้พากันไปทำบุญถวายสังฆทานให้แล้ว เขากลัวมาก อยากให้ผู้รู้แนะวิธีการทำบุญไปให้ผู้ตายที่คิดว่าผู้ตายจะได้รับผลบุญนั้นจริงๆ หน่อยค่ะ " ขออนุโมทนา " สำหรับความคิดเห็นและผู้ที่เปิดอ่านไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ ขอขอบพระคุณ
การทำบุญเพื่ออุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ตามนัยพระธรรมที่พระพุทธองค์แสดงไว้ก็คือ การถวายทานแก่ท่านผู้มีศีล แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้คนตาย ให้เขาอนุโมทนา ในบุญที่เรากระทำครั้งนี้ โดยพูดออกชื่อของผู้ตายด้วย คำอุทิศส่วนบุญนั้นสำหรับคนไทยเราก็ควรใช้ภาษาไทย สำหรับคนที่ตายไปแล้วเขาเกิดในภพใหม่แล้วทันทีคือเป็นบุคคลใหม่ต่อจากการตายทันที ส่วนที่ยังมาวนเวียนปรากฏให้เห็น เขาอาจจะมาขอส่วนบุญก็ได้ ควรกระทำตามที่แนะนำข้างต้น และไม่ต้องกลัว เพราะเขาทำอะไรเราไม่ได้ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน
การทำบุญคือการทำความดี เช่น การให้อาหาร ให้ผ้า ให้น้ำ ให้ยารักษาโรค ให้รองเท้า ให้ร่ม กับผู้มีศีล แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว จะใช้กรวดน้ำก็ได้หรือใช้เอ่ยชื่อผู้ตายก็ได้ กุศลมีหลายขั้น ตั้งแต่ขั้นทาน ศีล ภาวนา เช่น เรารักษาศีล คือให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัย หรือการฟังธรรม เราก็สามารถอุทิศส่วนกุศลได้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เป็นธรรมดาที่ต้องกลัวเมื่อยังเห็น แต่ควรพิจารณาว่า เขามาขอความช่วยเหลือ เขาไม่มีวิธีการอื่นเพราะเขาทุกข์มากจากภพภูมิที่เกิด การอุทิศส่วนกุศลจึงเป็นทางเดียว แต่ต้องไม่ลืมว่า ต้องเป็นกุศลจึงอุทิศได้ ขอแนะนำว่า ให้ขอภิกษุซักรูปหนึ่งจากสงฆ์ บอกท่านว่าต้องการภิกษุรูปหนึ่งเป็นตัวแทนสงฆ์ แล้วจึงถวายปัจจัยด้วยความเคารพด้วยจิตน้อมถวายแด่สงฆ์ เพราะท่านเป็นตัวแทนสงฆ์แล้วจึงอุทิศกุศลให้ผู้ตาย โดยมีเจตนาอุทิศ ไม่ใช่จะต้องเป็นรูปแบบว่าจะต้องสวดอย่างนั้น อย่างนี้ครับ แต่ต้องมีเจตนาที่จะอุทิศให้ครับ ส่วนที่ผมแนะนำให้ ขอภิกษุรูปหนึ่งเป็นตัวแทนสงฆ์นั้น เพราะสงฆ์ไม่มีทุศีล เพราะไม่ใช่ภิกษุบุคคล เมื่ออุทิศกุศล ผู้ตายย่อมอาจอนุโมทนาได้เพราะเป็นสงฆ์ย่อมไม่ทุศีล ลองดูนะ
ครับ ขออนุโมทนา ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
วิธีมีทางเดียว คือ เมื่อทำบุญใดๆ ก็ตามในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ก็ควรอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ถ้าจะถึงเขา คือ จะทำให้จิตของเขาเป็นกุศล ยินดีอนุโมทนาในส่วนกุศลนั้นได้แน่นอนหรือไม่ คำตอบ คือ ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้ครับ เพราะจิตของผู้ใด สติของผู้นั้นย่อมระลึกรู้เอง ในกรณีนี้ ถ้าหากว่าเราอุทิศส่วนกุศลไปเพราะไม่อยากให้เขามาหาเราอีก ขณะนั้น จิตของเรามีอกุศลเป็นบริวารคือ เราทำกุศลแล้วก็จริง แต่ก็ทำไปด้วยความกลัว ด้วยความไม่อยากให้ตนประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ พอทำแล้วเจอกับสิ่งนั้นอีกก็กังวลใจอีก ก็เป็นกุศลนิดเดียวช่วงสั้นๆ แต่ก่อนหน้านั้นเป็นอกุศล หลังจากนั้นก็เป็นอกุศลอีก แม้จะกล่าวหรือท่องบทอุทิศ/บทสวดมนต์ในขณะกระทำกุศลนั้น ก็ไม่ได้เป็นไปด้วยกุศลเท่าที่ควร เพราะจิตไม่สงบและถูกรุมเร้าด้วยอกุศลบ่อยๆ ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ.