ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ทุกอย่างที่มีจริง ไม่ใช่ใคร"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔
~ รู้จักความจริงหรือเปล่า? ยังไม่รู้จักความจริง นั้น ถูกต้อง แล้วรู้ไหมว่าความจริงคืออะไร? แสดงให้เห็นว่า กว่าจะมีความเข้าใจ เห็นประโยชน์จริงๆ ต้องตรง
~ จุดประสงค์ที่เรากล่าวแล้วกล่าวอีก ทบทวนแม้แต่คำ ไม่เว้นเลย ต้องละเอียดขึ้น เพื่อละความไม่รู้และความเป็นเราซึ่งยากกว่านี้มาก แต่ถ้าเราไม่เป็นคนละเอียดตั้งแต่ต้น เราไม่สามารถที่จะรู้จักความจริง แต่คิดว่าเรารู้แล้ว
~ จริงๆ แล้ว คนไม่รู้ความลึกซึ้งของธรรม เพราะฉะนั้น คนคิดว่าเขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจความลึกซึ้งของคำที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดง เขาจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็ไม่รู้ นานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระองค์แล้วคิดง่ายๆ ว่าเข้าใจแล้ว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์ เพื่อให้ได้ยินแล้วคิดไตร่ตรอง จนกระทั่งเข้าใจความลึกซึ้ง แม้แต่คำว่า ความจริง ได้ยินคำนี้เข้าใจลึกซึ้งแค่ไหน เพราะฉะนั้น คำถามว่า รู้จักความจริงไหม? ต้องไตร่ตรอง ถ้าไม่รู้จักความจริง จะตอบได้ไหม?
~ เราจะไม่เพียงจำคำที่เราได้ยิน แต่เราจะเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม ถ้าเราไม่รู้จักธรรมจริงๆ เราจะรู้ไหมว่า อริยสัจจธรรม ลึกซึ้งจริงๆ
~ ทุกคนได้ยินว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ฟัง ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง ต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่ฟังเพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่ฟังเพื่อรู้ เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง
~ คนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ไม่รู้ว่าอะไรจริง และไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร เพราะเขาไม่รู้ว่าอะไรจริง
~ คนส่วนใหญ่ฟังธรรม เขาเข้าใจว่าเขารู้จักธรรม ได้ยินมาแล้วว่า จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เท่าไหร่ เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เท่าไหร่ ประโยชน์อะไร? ไม่เหมือนกับการที่จะรู้ว่า อะไรจริงเดี๋ยวนี้ และไม่รู้แค่ไหน แล้วจะรู้ได้อย่างไร
~ เดี๋ยวนี้ มีความจริง และความจริงของสิ่งที่มี คืออะไร ต้องค่อยๆ ฟัง ไม่อย่างนั้นเขาคิดว่าเขารู้แล้ว เขาอยากจะรู้โน่น เขาอยากจะรู้นี่ จิตเท่าไหร่ เจตสิกเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง นี่ ต้องมั่นคง รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง จะได้ไม่ไปที่อื่น
~ ความจริงทั้งหมดของสิ่งที่มีจริง เป็นอริยสัจจธรรม เปลี่ยนไม่ได้
~ ไม่มีใครเลย นอกจากเห็น ได้ยิน เป็นต้น ทุกอย่างที่มีจริงๆ ไม่ใช่ใคร
~ ถ้าเสียงไม่เกิด ได้ยินไม่เกิด จะมีกำลังได้ยินเสียงหรือไม่?
~ เริ่มเข้าใจ ที่ต้องเปลี่ยนไม่ได้เลย คือ ทุกอย่างที่มี เกิดขึ้นมี ตามเหตุตามปัจจัย
~ เริ่มเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ไม่ใช่ให้จำชื่อ แต่ให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรที่เป็นเราเลย
~ ใครบังคับความคิดได้ เพราะฉะนั้น คิดต้องเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่ว่าคิดเรื่องอะไรทั้งหมด
~ เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตา ใช่ไหม? ตาเล็กมาก สิ่งที่กระทบตา ต้องเล็กด้วย ใช่ไหม? สิ่งที่กระทบตาต้องเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ใช่ไหม? โต๊ะทั้งตัวกระทบตา ได้ไหม? เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ที่เห็นเป็นโต๊ะ จิตเกิดดับสืบต่อเท่าไหร่ จากแต่ละจุดเล็กๆ จนกระทั่งเป็นรูปร่างสัณฐาน
~ สภาพจำต้องเกิด จึงจำ ถ้าไม่เกิด จะมีสภาพจำหรือความจำไหม? เพราะฉะนั้น ความจำ เกิดในสิ่งที่กำลังปรากฏ จำสิ่งที่ปรากฏ ทุกขณะ
~ ทุกอย่างเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ มิฉะนั้น จะไม่มีคำว่าตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ความจริงนี้
~ ตั้งแต่เกิดตลอดชีวิตเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดดับจนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน เป็นนิมิตจากความจำว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร งู นก ปลา นั่นเป็นบัญญัติ รูปร่างสัณฐานทำให้จำไว้หลากหลายต่างกันว่าเป็นสิ่งที่ต่างกัน ก็บัญญัติในความจำว่าเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรมเกิดดับเลย ไม่สืบต่ออย่างเร็วเลย ก็ไม่มีอะไรปรากฏ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตายตลอดชีวิตอยู่ในโลกของนิมิตซึ่งเกิดจากสภาพธรรมที่เกิดดับ ทำให้เป็นรูปร่างซึ่งจำไว้หลากหลาย ทำให้เกิดบัญญัติว่า นี่เป็นนี่ นั่นเป็นนั่น
~ เดี๋ยวนี้เข้าใจหรือยัง ว่า สิ่งที่มีจริงๆ มากมาย แต่ละหนึ่งๆ ไม่เหมือนกันเลย
~ ทุกเสียงที่เกิดดับ ก็เป็นนิมิตของเสียงนั้นๆ พอเริ่มรู้ว่าเสียงนั้นหมายความว่าอะไร นั่นคือบัญญัติของเสียงที่ทำให้รู้ว่าหมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย แต่มีสิ่งที่เกิดต่อซ้ำๆ จึงทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานทางตา ทางหูก็ทำให้ปรากฏเป็นเสียงต่างๆ ต่างกันไป
~ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เขาคิดว่าเขาเกิด เขาเห็น เขาได้ยิน เขาจำ เขาสุข เขาทุกข์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เขา เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว
~ เราเริ่มเข้าใจทุกคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เปลี่ยนไม่ได้ เป็นสัจธรรม และความจริงนี้สามารถประจักษ์ได้ เป็นอริยะ เป็นปัญญาที่สามารถรู้ความจริงทำให้บุคคลนั้นเป็นพระอริยบุคคล
~ ต้องเริ่มฟัง และก็รู้ว่าการฟังไม่ใช่การรู้แจ้ง แต่จะค่อยๆ ทำให้ปัญญาเข้าใจขึ้นๆ จนสามารถรู้แจ้งได้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ใครจะรู้อย่างนี้ได้
~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
~ ธรรม ละเอียด ต้องศึกษาด้วยความเคารพ ทีละคำ
~ ฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งและทรงแสดงหนทางที่จะให้คนอื่นได้ประจักษ์แจ้งด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เชื่อ แต่ต้องฟังแล้วเข้าใจว่าจริงหรือเปล่าทุกคำ? เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้และต่อๆ ไปตลอดไป
~ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับจริงๆ แต่ไม่รู้เลย เพราะไม่ได้รู้ว่าไม่ใช่เรา หนทางที่จะรู้ได้คือเข้าใจความเป็นจริงของธรรมว่าไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แสนสั้น เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย จะเป็นใครไม่ได้
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพื่อให้ไม่รู้ แต่เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจ จนสามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ จนกว่าทุกอย่างที่เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ จะเปิดเผยว่า ไม่มีใครเลยนอกจากลักษณะของธรรมแต่ละอย่าง ถ้าไม่ฟังธรรมเลยจะสามารถเข้าใจความจริงนี้ได้ไหม
~ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจว่าไม่มีเรา สิ่งที่มี มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จนกว่าจะมั่นคง
~ ความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละความติดข้อง ซึ่งอีกนานมาก ต้องเป็นผู้ที่มีสัจจะ ความเป็นผู้ตรงว่า เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้จริงๆ ในสภาพธรรมที่กำลังมี
~ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น แข็ง ธรรมดา แต่มีความเข้าใจในลักษณะที่ไม่ใช่เรา ทีเล็กทีละน้อย
~ ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ก็จะรู้ว่าธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ได้แสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง ทีละหนึ่ง
~ เข้าใจความหมายของคำว่า โลก ว่างเปล่า เพราะเหตุว่า เพียงมีสิ่งที่เกิดแล้วดับไป แล้วไม่เหลืออีกเลย
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ธัมมะ คือสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นจริง พึงฟังแล้วฟังอีก ความเข้าใจถูกพึงมีเป็นเบื้องต้น ปัญญาพึงมีเป็นเบื้องกลาง แต่ที่สุดแล้วก้อมิใช่เรา น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
น้อมกราบ อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ในกุศลจิตสื่อเผยแพร่แบ่งปันสะกิดชี้พระธรรมให้ไตร่ตรอง เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เข้าถึง ค่อยๆ ประจักษ์แจ้ง สภาวธรรม แต่ละคำ แต่ละหนึ่ง แต่ละสิ่ง แต่ละอย่าง นั้นๆ ขั้นการฟัง ที่งามประเสริฐ น้อมกราบขอบพระคุณ ท่าน อาจารย์ สุจิตต์ บริการวนเขตต์ & ท่าน อาจารย์ วิทยากรพหูสูตบ้านธัมมะ ทุกๆ ท่าน ที่มีเมตตา กรุณา สื่อเผยแพร่ พระธรรม ให้ปวงชนสากลทุกๆ ประเทศครับผม !!! แค่ได้มีโอกาสฟังพระธรรมตามกาล ก็ถือว่าประเสริฐสุดแล้วครับในภพภูมินี้ครับผม !!!
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ