ผู้ที่ฟังธรรมใหม่ๆ คงจะยังไม่เข้าใจว่าสังขารปรุงแต่งอย่างไร ต่อเมื่อได้ฟังธรรมมาระยะหนึ่ง และมีความเข้าใจ ก็จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในการที่จะเข้าใจหลังการ
เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส ทำให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างในชีวิต
ประจำวันได้ดีขึ้น เลยเป็นคนอยู่ง่าย ผมเข้าใจว่าสังขารเมื่อปรุงแต่งจนมีกำลังก็จะ
พัฒนาเป็นสติปัฎฐาน และถ้ามีปรกติเจริญสติปัฎฐานการศึกษาธรรมก็ได้ผล ผู้สนใจ
จะเล่าการปรุงแต่ง และพัตนาของสังขารของแต่ละท่านให้กันฟัง เชิญแสดงความคิด
เห็นว่าได้ประโยชน์อย่างไร มีอาการอย่างไร มีอุณหภูมิอย่างไร ฯลฯ ครับ
สำหรับเรื่องนี้ ผมชอบกระทู้นี้ครับ
01614 อาหารของสติปัฏฐาน โดย kanchana.c
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้บริบูรณ์ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์
โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์อย่างนี้ ฯ
สังขารขันธ์คือเจตสิก 50 ที่ปรุงแต่งจิต เกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียว
กับจิต ทำให้จิตเป็นชาติต่างๆ เช่น ชาติกุศล ชาติอกุศล ชาติวิบาก และชาติกิริยา
เช่น ขณะที่จิตเป็นอกุศล ก็ปรุงแต่งด้วยอกุศลเจตสิก ทำให้มีความโลภ โกรธ หลงค่ะ
ขณะที่ฟังพระธรรมแล้วพิจารณาตามสิ่งที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นกุศลจิตเกิด
เพราะสังขารขันธ์ปรุงแต่งเช่นปัญญาเจตสิกทำกิจเข้าใจ สติเจตสิกทำกิจระลึกชอบ
เป็นต้นโดยไม่มีตัวตนไปทำกิจของสติหรือไปทำกิจของปัญญา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงนั้นไม่พ้นไปจากชีวิตปกติประจำวัน ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก อกุศลจิตเกิด กุศลจิตเกิด เป็นต้น ล้วนไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นธรรมทั้งนั้น ดังนั้น จึงมีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม ได้แก่ จิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง และถ้ากล่าวถึงจิตแต่ละขณะแล้ว ขณะที่จิตเกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงจิตเท่านั้น ยังมีเจตสิก เกิดร่วมด้วย
ทำให้จิตมีแตกต่างกันออกไปเป็นประเภทต่างๆ เพราะการปรุงแต่งของสังขารขันธ์
ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวตนที่ไปปรุงแต่ง แต่เป็นกิจหน้าที่ของเจตสิกประการต่างๆ ที่เกิดขึ้นปรุงแต่ง ทำกิจหน้าที่ของตนๆ จิตจึงแตกต่างกันเพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย (สังขาร-ขันธ์ เป็นเจตสิก ๕๐ ประเภท ไม่ใช่จิต จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น) ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จากคำถามความเห็นที่ 6 สภาพธรรมเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญดับไปแล้วด้วยครับ จึงต้องเป็น
สติและปัญญาของผู้นั้นเองที่จะรู้ในขณะนั้นว่าจิตเป็นอะไร อยู่กับปัจจุบันขณะนี้ก็มี
สภาพธรรมให้รู้ทั้งทางตา..ใจ ดังนั้นจึงไม่ควรใส่ใจสิ่งที่ล่วงไปแล้วและยังไม่มาถึง
การอบรมสติปัฏฐานเป็นเรื่องขณะนี้ ปัจจุบันเพราะมีลักษณะให้รู้ครับ ขณะที่ดับไปแล้วไม่มีลักษระให้รู้ได้ครับและต้องเป็นปัญญาของผู้นั้นเอง ขออนุโมทนาครับ
วันนี้ขณะที่ทำกับข้าวในครัว ขณะขับรถไปรับ-ส่งลูก มีการระลึกเป็นไปในธรรม
ทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังมา เกิดยิ้มขึ้นในขณะนั้น แน่นอน จิตเกิดดับสลับกัน
รวดเร็ว กุศลเกิด มานะเกิด ไม่สงสัยหรอกครับ เป็นแต่คิดพิจารณาธรรม
เพราะรู้ (จึงยิ้ม) ว่า นี่แค่งูๆ ปลาๆ ในธรรม ยังเกิดปีติ ขนาดนี้....อาจหาญ ร่าเริง
ในธรรม มีบ่อยขึ้นครับ สำหรับผู้เดินในหนทางที่ถูกต้อง ค่อยๆ เดินครับ ไม่รีบ
หาคนรีบไม่ได้ครับ (ก็คนที่เดินก็ไม่มี จะมีคนรีบ มาแต่ไหน?)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
มานะ คือความสำคัญตน ว่าดี หรือด้อย ว่าคนอื่นๆ เช่น เวลาทานข้าวเห็นคนอื่นทาน
ข้าวไม่เรียบร้อย เห็นว่าไม่งาม สู้ตัวเองไม่ได้ที่ทานข้าวเรียบร้อยดีกว่าคนอื่น