เมื่อฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ถึงตอนที่ ๑๗๗๐ กว่าๆ นั้น ท่านอาจารย์ไปบรรยายธรรมที่ภาคอิสาน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๑ หลังจากที่เราได้รับอุบัติเหตุ ๒ อาทิตย์ ช่วงนั้นนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ไม่ได้ไปฟังที่วัดบวร ทำให้ตั้งใจฟังอย่างมาก และเมื่อได้พิมพ์คำบรรยายของท่าน ก็ยิ่งทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น
อดคิดถึงความหลังเมื่อ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ใหม่ๆ กระตือรือร้นที่จะให้ใครๆ ได้ฟังธรรมที่กลั่นกรองมาจากพระไตรปิฎกจากความเข้าใจของท่าน เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมอย่างนี้มาก่อนเลย ไม่เคยได้ยินคำว่า “โลกในวินัยของพระอริยเจ้า คือ โลก ๖ ทาง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ” เมื่อฟังมากขึ้น ก็เข้าใจได้ว่า โลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนั้น ทำให้เกิดความคิดนึกแตกต่างกันไป โลกทางความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ต่างกันไปตามการสะสมในอดีตและประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน จึงคาดคะเนไม่ได้ว่า ใครจะคิดอย่างไร แต่เราก็เป็นสุข เป็นทุกข์กับความคิดของตนเองว่าคนอื่นคิดอย่างไรมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเดือดร้อนเพราะเกิดความทุกข์ ส่วนความสุขเป็นสิ่งที่ปรารถนาอยู่แล้ว จึงไม่คิดที่จะหาทางให้ความสุขนั้นหมดไป แต่เมื่อเป็นความทุกข์เสียส่วนมาก จึงคิดหาทางที่จะดับทุกข์หรือให้ทุกข์น้อยลง ด้วยการศึกษาพระธรรมเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เมื่อได้มาฟังความจริงอย่างนี้ รู้สึกเบาสบายจากความทุกข์ที่เกิดจากความคิดขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน จึงชักชวนใครๆ ให้มาฟังท่านอาจารย์ ทั้งที่วัดบวร เชิญท่านไปบรรยายที่ทำงาน และที่บ้าน คิดว่าคนอื่นคงจะปลาบปลื้มใจที่ได้ยินได้ฟังธรรมอย่างนี้บ้าง เวลาผ่านไปก็พิสูจน์ความจริงได้ว่า ธรรมไม่สาธารณะสำหรับทุกคน ต้องเฉพาะคนที่สะสมการฟังพระธรรมมาก่อนเท่านั้น ความกระตือรือร้นที่จะให้ใครๆ ได้ฟังธรรมจึงน้อยลง คิดได้ว่า ตัวเองควรฟังแล้วพิจารณาให้เข้าใจเสียก่อน แล้วก็คงจะเกื้อกูลคนอื่นที่สนใจได้ในภายหลัง และเมื่อได้ฟังอย่างละเอียด ด้วยการพิมพ์คำบรรยาย “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ไปด้วย ทำให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น และเริ่มเขียนบทความที่เล่าประสบการณ์การฟังธรรมของตนเอง พร้อมกับสอดแทรกความเข้าใจธรรมที่มีบ้างนั้นไปด้วย ก็คิดว่าเป็นการเกื้อกูลผู้ที่สนใจได้บ้างตามที่ตั้งใจไว้
คิดถึงตอนที่เกิดอุบัติเหตุนั้น ไม่รู้สึกตัวหรือได้ยินอะไรเลย เพียงแต่เห็นรถปิกอัพที่วิ่งสวนทาง แซงขึ้นมาอยู่ในเลนเดียวกัน (ตอนนั้นทางหลวงจังหวัดสุพรรณ เป็นถนนแคบๆ มีแค่ ๒ เลน และมีไหล่ถนนสูงมาก) จนเกือบจะชนประสานงา แล้วตัวเองก็หมดสติไป มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนบนเตียงในโรงพยาบาลบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มีพยาบาลและคนอื่นๆ รายล้อมอยู่หลายคน เมื่อรู้ว่าตนเองถูกรถชน จึงให้พยาบาลโทรศัพท์บอกสหายธรรมและญาติให้ทราบเหตุการณ์ ตอนนั้นมีสติดีมาก ไม่โวยวายตีโพยตีพายอะไรเลย ทั้งๆ ที่มีรู้ว่ามีคนเสียชีวิต ๒ คน และบาดเจ็บสาหัส ๓ คน เรานอนนิ่งๆ ไม่เจ็บปวดอะไรเลย เพิ่งคิดได้ตอนหลังว่า ตอนนั้นยังไม่ใช่ขณะที่ได้รับอกุศลวิบากทางกาย
เมื่อย้ายโรงพยาบาลมาอยู่ในกรุงเทพฯ นั้น เกิดความรู้สึกเจ็บปวดมากจากกระดูกข้อเท้าและเชิงกรานที่ร้าว ร้องคร่ำครวญกับคณะท่านอาจารย์ที่มาเยี่ยมว่า “ทำไมต้องเป็นหนูด้วย หนูทำความดีมาตลอดชีวิต ทำไมถึงต้องเกิดเหตุอย่างนี้กับหนู” จำสายตาท่านอาจารย์ได้ว่า ท่านมองเราแปลกๆ เพิ่งเข้าใจว่า ท่านคงสงสารว่า ปัญญาน้อยเหลือเกิน คงอีกนานกว่าจะเข้าใจความจริงแท้ของชีวิต และภายหลังได้ฟังท่านกล่าวในที่แห่งหนึ่งว่า “ต้องเป็นเรา เพราะเราเป็นคนทำไว้เอง และให้เป็นคนอื่นได้อย่างไร ก็เขาไม่ได้ทำไว้” และระหว่างที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น ก็มีผู้คนมากมายทั้งรู้จักและไม่รู้จักมาเยี่ยมให้กำลังใจ เพราะข่าวอุบัติเหตุนั้นลงหน้า ๑ ในหนังสือพิมพ์ดังหลายฉบับ เพราะผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวต่างชาติทำงานที่องค์การสหประชาชาติด้วย จึงมีผู้นำลัทธิต่างๆ มาเสนอเพื่อให้พ้นทุกข์ด้วยความหวังดีตามความเข้าใจของท่าน (หรืออาจจะได้สาวกใหม่) มาบอกให้ทำบุญตามที่ต่างๆ ก็มากมาย มีผู้ไปดูเจ้าเข้าทรงให้ด้วย (ไม่ใช่ญาติ อย่างที่คุณศุกลกล่าวไว้ในเทปนะคะ เพราะที่บ้านถึงแม้จะเข้าใจธรรมเพียงขั้นทานและศีล ไม่เข้าใจปรมัตถธรรมก็จริง แต่เรื่องดูเจ้าเข้าทรงนั้นไม่เคยปฏิบัติกันมา ไม่ใช่เพราะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เพราะเสียดายเงิน ที่ต้องจ่ายให้คนหนึ่งเพื่อมาบอกให้เราเสียเงินไป ทำอีกอย่างหนึ่งหรือหลายๆ อย่าง ซึ่งนิสัยนี้เราก็รับมาเต็มๆ เพราะถ้าใครชวนไปดูหมอ ก็จะไม่ไปเพราะเสียดายเงิน แล้วจะบอกคนมาชวนว่า เชื่ออะไรกับหมอดู ไร้สาระ แต่ถ้าดูฟรี ก็จะไปเข้าคิวดูเป็นคนแรก ลืมคำพูดที่พูดไว้ทั้งหมด และเลือกเชื่อคำทำนายที่ดีๆ ด้วย อย่างหมอดูคนหนึ่งทายพื้นดวงว่า เป็นคนรักความสะอาด เจ้าระเบียบ แต่ตัวเองไม่ชอบทำ อ่านหนังสือตรงไหนก็ทิ้งไว้ตรงนั้น ดื่มน้ำที่ไหนก็ไม่เคยเก็บแก้ว (ซึ่งแม่นราวกับอยู่บ้านเดียวกัน เอ หรือคนอยู่บ้านเดียวกันไปบ่นให้ฟัง) อันนี้ไม่ใช่เพราะขี้เกียจนะ แต่เพราะเคยเป็นเจ้าเป็นนายมาหลายภพหลายชาติ อันนี้เราก็รีบเชื่อเลย ทั้งๆ ที่มองไปรอบๆ ตัวแล้ว ข้าทาสบริวารที่เคยมีนั้นอยู่ที่ไหน เห็นมีแต่เจ้านายทั้งนั้น กำมือเปล่าแท้ๆ คิดว่ามีอะไรในนั้น จริงๆ แล้วก็มีไม่มีอะไรเลย แท้ที่จริงแล้วไม่ต้องข้ามภพชาติหรอก แต่ละขณะที่ผ่านไปก็ไม่กลับมาเกิดซ้ำอีกเลย แล้วจะเหลืออะไร นอกจากกุศลและอกุศลที่สะสมอยู่ในจิตให้แสดงอุปนิสัยต่างๆ ออกมา) แล้วบอกให้ปล่อยวัวเพื่อสะเดาะเคราะห์ เพราะเคราะห์ยังไม่หมด ถ้าไม่ปล่อยอาจจะมีอุบัติเหตุอีก ซึ่งเราก็ทำตามเกือบทุกอย่างที่คิดว่าพอจะทำได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ลืมไปเลย จนเมื่อได้มาฟังเทปอีกครั้ง
เมื่อวานนี้ ทำให้รู้สึกละอายใจในการเป็นผู้อ่อนด้อยปัญญาจริงๆ แต่ขณะนั้นก็คิดว่า สิ่งที่ทำนั้นเป็นกุศล น่าจะทำดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แม้การกระทำนั้นจะไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะยังไม่มีปัญญาก็ตาม ก็ทำให้เห็นว่า การกระทำกรรมทุกอย่างนั้นขึ้นกับเหตุปัจจัยอย่างชัดเจน เมื่อยังไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถทำกุศลกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาได้
มาบัดนี้เหตุการณ์นั้นก็ผ่านไป ๒๒ ปีแล้ว ปัญญาที่อ่อนด้อยอยู่ในตอนนั้น ได้เจริญเพิ่มขึ้นหรือไม่ ปัญญาขั้นการฟังคงเจริญขึ้นแน่นอน เพราะได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมาก่อน มีหลายอย่างที่ฟังแล้วก็แปลกใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงสอนเรื่องอย่างนี้ ด้วยหรือ และเมื่อศึกษามากขึ้น ก็รู้ว่า ทรงสอนสิ่งที่มีประโยชน์ทุกอย่าง สำหรับพุทธบริษัททั้งที่เป็นบรรพชิตและคฤหัสถ์ให้ขัดเกลากิเลสที่มีมากมาย ผู้ที่น้อมประพฤติปฏิบัติตามแล้วจะมีความสุขมากขึ้น เพราะความทุกข์ความเดือดร้อนใจนั้นเกิดเพราะกิเลส ไม่มีใครทำให้ใครทุกข์เดือดร้อนใจได้เลยถ้าหมดกิเลสแล้ว คิดถึงคำคร่ำครวญของตนเองว่า “หนูทำความดีทุกอย่าง ทำไมถึงได้รับผลอย่างนี้” ในตอนนั้นแล้ว ก็รู้ว่าแม้ความดีความชั่ว หรือกุศลและอกุศลก็ยังไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าขณะใดจิตเป็นกุศล ขณะใดจิตเป็นอกุศล การกระทำทุกอย่างเกิดจากจิต เมื่อจิตส่วนใหญ่เป็นอกุศลแล้ว จะทำความดีทุกอย่างได้อย่างไร แม้แต่รักษาศีล ๕ ก็ยังไม่สามารถรักษาได้ตลอดเวลา ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็บ่อย พูดปดทั้งๆ ที่รู้ก็มีมาก แล้วอย่างนี้ยังจะประกาศตนว่า “หนูทำดีทุกอย่าง” อีก และยังแสดงความโง่เขลาต่อไปอีกว่า “ทำดีทุกอย่าง ทำไมถึงได้รับผลไม่ดีอย่างนี้” ซึ่งเหตุไม่ตรงกับผล ถ้าทำดี ผลก็คือได้รับวิบากที่ดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เมื่อได้รับทุกข์ทางกายก็ต้องเพราะทำกรรมไม่ดี เหตุจึงจะสมควรแก่ผล กรรมทั้งหลายนั้นเมื่อทำแล้ว จะเมื่อไรก็ตามก็สามารถให้ผลได้เมื่อถึงเวลาอันสมควรกับกรรมนั้นๆ เหมือนปลูกต้นมะเขือกับต้นมะม่วง เวลาการให้ผลก็ต้องต่างกัน ยังจำสายตาของท่านอาจารย์ถึงมองอย่างสงสารในสติปัญญาที่น้อยนิด หรืออาจจะไม่มีเลย
ปัญญาขั้นพิจารณาธรรมก็มีบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก เพราะไม่ค่อยได้นำพระธรรมที่ได้ฟังแล้วมาใคร่ครวญหาเหตุผล อย่างที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายไว้ว่า ถ้านอนไม่หลับก็ดี จะได้พิจารณาธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เราก็ใช้เหมือนกัน แต่พอพิจารณาได้ไม่กี่คำ ก็หลับไปทันที แต่ถ้าคิดเรื่องอื่นๆ แล้วก็จะไม่หลับ เช่น ส่วนใหญ่ก็คิดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว หรือวันนี้จะทำอะไรต่อไป ตอนเช้าจะทานอะไร พรุ่งนี้ต้องไปไหน หรือคิดถึงเรื่องของคนอื่นเสียส่วนใหญ่ เรื่องจิตของตนไม่ค่อยจะคิดถึง อย่างสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ ก็เกิดความอึดอัดคับข้องใจเป็นทุกข์เดือดร้อน คิดว่าพวกนั้นไม่น่าทำอย่างนี้ คนมีหน้าที่ควรทำอย่างนั้น เดือดร้อนใจมาก คิดอีกแล้วว่า “เราทำกรรมอะไรไม่ดีมานะ ถึงต้องเกิดในยุคที่มีเหตุการณ์อย่างนี้” คิดถึงตอนนี้ก็รู้ว่า ปัญญายังไม่เจริญเท่าไร แต่ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเล็กน้อย รู้ว่าวิบากที่ไม่ดีที่ได้รับนั้นเป็นผลของกรรมไม่ดีที่ทำไว้เหตุสมควรแก่ผลขึ้น แต่ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะความรักตัวมีมาก จึงอยากจะให้มีสิ่งดีๆ ปรากฏเท่านั้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ จึงคิดหาเหตุผลที่จะทำให้เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม เคยอ่านเรื่องของท่านวิฑูฑภะ ที่ได้ฆ่าพระญาติศากยะของพระผู้มีพระภาคล้มตายเป็นอันมาก แม้พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จไปห้ามถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่สำเร็จ พระองค์ก็ทรงปล่อยให้เป็นไปตามกรรม เพราะทรงเห็นว่า ผู้มีเวรต่อกันก็ย่อมทำลายกัน เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงห้ามกรรมและผลของกรรมไม่ได้ แล้วเราเป็นใคร ที่แค่ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้วเท่านั้น เหตุการณ์ก็จะสงบลงไปเองตามความต้องการ สิ่งที่จะช่วยได้ ก็คือ ท่องคำว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็พอจะช่วยให้ความเดือดร้อนใจนั้นน้อยลงได้บ้าง และที่แน่ๆ ที่เดือดร้อนใจมากก็เพราะกิเลสมากนั่นเอง ในสมัยพุทธกาลก็มีการฆ่ากันมากมายอย่างนี้เหมือนกัน ก็คนมีเวรต่อกันก็ต้องประหัตประหารกันเป็นธรรมดา ใครจะไปห้ามได้
ดังนั้น ปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้นไม่ต้องพูดถึง ในเมื่อปัญญาขั้นการฟังและการพิจารณายังไม่พอที่จะเป็นสังขารธรรมปรุงแต่งให้เกิดขึ้นได้ ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาขั้นการฟังและการพิจารณาต่อไปอีกเรื่อยๆ เช่นนี้แหละ
เมื่อปัญญาขั้นการฟังและการพิจารณายังไม่พอที่จะเป็นสังขารธรรมปรุงแต่งให้เกิดขึ้นได้ ก็ต้องอบรมเจริญปัญปัญญาขั้นการฟังและการพิจารณาต่อไปอีกเรื่อยๆ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณมากค่ะพี่แดง และขออนุโมทนานะคะ
...ขอกราบอนุโมทนาค่ะ...
ขออนุโมทนาครับ
ทุกคนก็มีประสพการณ์ชีวิตแตกต่างกันไป แต่สรุปแล้วก็คงจะเหมือนๆ กัน แทนที่ได้มีอุบัติเหตุก็เป็นอย่างอื่น แต่ปัญญาเพิ่มขึ้นหรือไม่ แล้วจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร เรารู้ว่ามีปัญญาขั้นการฟัง ฟังอะไร? ท่านว่าฟังเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฟังอะไรที่ ตาฯลฯ ฟังเรื่อสติที่เกิดจากตาฯลฯ เรื่องนันทิ เรืองอายตนะในนอก ถ้าฟังเข้าใจได้ ปัญญาก็เพิ่ม ครับ อ้อ ผมนะทั้งๆ ที่รู้ว่าดูหมอไม่แน่นอนก็ยังเสียตังไปดูครับ ได้ข่าวว่าดูฟรีนั้นแม่นกว่าดูเสียตัง
หลายเรื่องที่พี่แดงเล่า ได้แต่นึกคิดเองอยู่ในใจบ่อยๆ เช่นกันครับ การได้ศึกษาธรรม ทำให้ได้เห็นคุณค่าของพระธรรมมากขึ้นตามลำดับ ได้ระลึกในคุณของพระธรรม เมื่อได้พบเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตบ่อยๆ ทำให้เป็นผู้เย็นง่ายขึ้น ทั้งๆ ที่เคยร้อนเร็วมาก แม้ปัจจุบันก็ยังมากอยู่เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม รู้สึกปีติโสมนัสในการที่ได้พบพระธรรม ที่ท่านอาจารย์ได้มีเมตตาถ่ายทอดให้เข้าใจ รู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าช่างเป็นบุญที่ได้สั่งสมไว้แต่ปางก่อน จึงทำให้ได้พบพระธรรมอีกในชาตินี้ แม้จะรู้ว่าปัญญายังน้อยนิดมาก แต่ก็ยิ่งซาบซึ้งว่า ขนาดปัญญาน้อยนิดขนาดนี้ ยังทำให้ชีวิตอบอุ่นเป็นสุขตามอัตตภาพได้ขนาดนี้ เหตุเพราะเริ่มมั่นคงขึ้นว่า สิ่งทั้งหลายเป็นแต่ธรรมที่มีเหตุปัจจัย เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่ตัวตน สัตว์บุคคลใด เป็นแต่ โลภะ โทสะ และ โมหะ ที่วุ่นวาย เป็นไปในโลก หาสาระแก่นสารไม่ได้เลย กี่กัปป์กี่กัลป์ ก็เป็นเช่นนี้ และจะเป็นเช่นนี้อีกต่อๆ ไป ตราบใดที่ยังไม่พบพระธรรม ที่จะนำมาซึ่งความเข้าใจที่ถูกต้อง
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ