เบิกบานด้วยปัญญา
โดย ใหญ่ราชบุรี  4 ก.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 25054

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

กราบเท้า บูชา พระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง

ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

ขอเชิญรับฟัง...

เบิกบานด้วยปัญญา

การที่ มี โอกาส ได้ยินได้ฟัง และ เข้าใจ ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ​ย่อมทำให้ ผู้ที่ได้สะสม ความเห็นถูกมา เกิด ความเบิกบาน ชื่นชม ในพระธรรมคำสอน​ เพราะ เห็นประโยชน์ของ การอบรมเจริญปัญญา

ท่าน อจ.สุจินต์ “เบิกบาน” จริงๆ เนี่ย ต้องเป็น​ ”ปัญญา” ที่ สามารถ ที่จะ เห็นถูก เข้าใจถูก​ จากที่ เคยไม่รู้ เป็นความรู้ แค่นี้ค่ะ เบิกบานหรือเปล่าถ้ายังไม่เบิกบาน ก็ไม่ต้องไปทำให้เบิกบาน ไม่ใช่เป็นเรื่องต้องไปทำ​ แต่ เป็น เรื่อง​ ”ความจริง”

เมื่อไหร่ ฟัง ความจริง นะคะ และ เข้าใจ ความจริง​ รู้ว่า ไม่ใช่ ความเท็จ ค่ะ​ แล้วก็ มีโอกาส ที่จะ ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่จริง อย่างนี้ ด้วย​ ซึ่ง ยากไหม ที่จะได้ฟัง ลองคิดดู ไม่ใช่ว่า จะได้ฟัง บ่อยๆ ทั่วๆ ไป ที่ไหน ก็พูด แต่ว่า กว่าจะ ได้ยินได้ฟัง​ จาก คนซึ่งอยู่มานาน บางคน ก็ไม่มีโอกาส ที่จะได้ยินได้ฟัง เลยเพราะ ไม่สนใจ หรือว่า ไม่เห็นประโยชน์ ก็แล้วแต่ นะคะ​ บุคคลเหล่านั้น ก็จะ เบิกบาน ได้ยังไง ก็ เหมือนเดิม ทุกวัน ไป ใช่ไหมคะ

แต่นี่ วันพิเศษ วาระพิเศษ สมัยพิเศษ ขณะพิเศษ​ ที่ มี โอกาส ได้ยินได้ฟัง ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ต้องไตร่ตรอง แล้วถึงจะ รู้ว่า ควรที่จะ เบิกบาน หรือเปล่า หรือ ยังไม่ควร​ ก็เป็น เรื่องของ แต่ละคน ซึ่งไม่ต้องไปทำให้ เบิกบาน​ แต่ว่า ถ้าได้ รู้ มากขึ้นๆ เนี่ย จะพ้นจาก ความทุกข์ ความเดือดร้อน ไหม

เพราะฉะนั้น “มีภัย” ตั้งแต่ภายในที่สุด คือ “กิเลส” ทำร้ายเลยค่ะ ยังไม่ต้อง มีใคร มาอยู่ ใกล้ๆ ไกลๆ ที่ไหน ก็ตามแต่ นะคะ “กิเลส” เกิดเมื่อไหร่ ทำร้าย “จิต” ทันที​ แต่ ไม่รู้ตัวเลย นะคะ ว่า ถูกทำร้าย เพราะฉะนั้น ถ้า มี โอกาส ที่จะได้ รู้ ความจริง ว่า “ขณะนั้น” น่ะค่ะ “เป็นธัมมะ” เดือดร้อนไหม กับ ที่เคย ”เป็นเรา” ถูกทำร้าย กับ ความจริง ก็คือ “เป็นธาตุ“ จริงๆ ค่ะ “เป็นธัมมะ ที่มีจริง” ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ “เกิดเป็น แต่ละหนึ่ง ปรากฏ แล้วก็หมดไป“ เป็นอย่างนี้ ตลอด เรื่อยมา ในสังสารวัฏฏ์ หรือ แม้เดี๋ยวนี้ และ ต่อไป ข้างหน้า

เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะได้ยินได้ฟังความจริง ก็ย่อมดีกว่า ที่จะยังคงไม่รู้ แล้วก็ คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเที่ยง ตั้งแต่เกิดมา ก็เป็นของเรา แต่ ความจริง ก็คือว่า ไม่สามารถ ที่จะ เห็นถูก แต่ ถ้า “เห็นถูกแล้ว” ไม่บังคับการเบิกบาน

แต่ในพระไตรปิฎก “ชื่นชมในพระภาษิต” คือ คำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า ได้ เข้าใจ ความจริง ตามลำดับขั้นของปัญญาที่จะ กล่าวว่า “ชื่นชมในพระภาษิต”

ชื่นชม คือ คำ ที่ได้ยินเนี่ย ทำให้สบายใจ ไม่ได้ทำให้เดือดร้อนเลย แต่ถ้าใคร เสียดาย​ ”ตัวตน” เสียดาย​”รูปเสียงกลิ่นรส” “เคยเป็นเรา” แล้วก็จะ ไม่มีอีกต่อไป นั่นก็คือว่า ไม่ได้เข้าใจธัมมะ เพราะฉะนั้น ขณะนั้น “ชื่นชม” ไม่ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ เป็นความจริงที่ว่า ถ้า มี ความเข้าใจ จริงๆ มั่นคง ก็จะ “ชื่นชม” ใน คำจริง ที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่ง “ขณะนั้น“ ก็คือ “ความเบิกบาน“ นั่นเอง

ผู้ร่วมสนทนา เพราะเหตุว่า ขณะที่ฟัง ก็เป็น กุศล​ แล้วก็ เป็นไปด้วย ความรู้ ความเข้าใจ

ท่าน อจ.สุจินต์ คำ ที่ทำให้สบายใจ ถ้าเข้าใจ แต่ ถ้าเห็นผิด ยึดมั่น ไม่เข้าใจ ก็เดือดร้อน เป็นทุกข์ แสดงถึง “ความไม่เข้าใจ“

เพราะฉะนั้น แม้แต่ “เข้าใจ“ เนี่ยค่ะ ก็ “รู้“ ได้ว่า “ขณะนั้น” น่ะค่ะ “อะไร“ เข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ ถ้า “เข้าใจ“ จริงๆ ไม่เดือดร้อนเลยค่ะ กำลังฟัง แล้วได้ “เข้าใจขึ้น” จะเดือดร้อนอะไร



ความคิดเห็น 1    โดย peem  วันที่ 5 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย natural  วันที่ 6 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย j.jim  วันที่ 7 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย paderm  วันที่ 8 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 22 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ