ขอเรียนถามเรื่องสัญญาเจตสิกและปัญญาเจตสิกครับ
เท่าที่ฟัง ศึกษามา สัญญาเจตสิก คือสภาพธรรมที่จำ กิริยาที่จำ ความจำ ปัญญาเจตสิก เป็นเจตสิกที่เห็นถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรม และในเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ จึงขอเรียนถามเป็นข้อๆ ดังนี้
๑. ได้ฟังว่าปัญญาสามารถเจริญหรือพัฒนาได้ จึงคิดว่า นั้นเพราะมีสัญญาเจตสิกที่จำสิ่งที่เคยรู้แล้วไว้ แล้วมาพิจารณาเพิ่มเติมกับธรรมะอันใหม่แล้วเข้าใจมากขึ้น จึงเรียกว่าปัญญาเจริญได้ ใช่หรือไม่
๒. สัญญาเจตสิก เป็นสภาพจำ สะสมได้ใช่ไหม เพราะเราจำอะไรได้มากขึ้นถ้าเราใส่ใจในสิ่งนั้น หรือจริงๆ แล้ว จำแค่จำ ส่วนเข้าใจมากขึ้น อีกเรื่องหนึ่ง
๓. ต่อจากข้อ ๒. ถ้าสะสมได้ เมื่อสัตว์ตายไปแล้ว เกิดใหม่ สภาพจำหรือสัญญาเคยสะสมควรจะจำได้บ้างไหมถ้าเหตุปัจจัยเหมาะสม หรือขึ้นกับระดับปัญญาของแต่ละบุคคล
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. ได้ฟังว่าปัญญาสามารถเจริญหรือพัฒนาได้ จึงคิดว่า นั้นเพราะมีสัญญาเจตสิกที่จำสิ่งที่เคยรู้แล้วไว้ แล้วมาพิจารณาเพิ่มเติมกับธรรมะอันใหม่แล้วเข้าใจมากขึ้น จึงเรียกว่าปัญญาเจริญได้ ใช่หรือไม่
สัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นเจตสิก สัญญา ทำหน้าที่จำเท่านั้น ไม่ใช่ทำหน้าที่รู้ตามความเป็นจริง ดังเช่นปัญญา ดังนั้น ไม่ใช่เพราะมีสัญญามาก ทำให้จำของเก่าที่เคยสะสมปัญญามา จึงทำให้ปัญญาเจริญได้ แต่เพราะมีการสะสมปัญญามามาก สะสมปัญญบ่อยๆ ทำให้ปัญญานั้นเจริญมากขึ้น คือ เห็นถูกตามความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งขณะที่เห็นถูก ตามความเป็นจริง ขณะนั้นก็มีสัญญาเกิดร่วมด้วย เพราะ สัญญาเกิดกับจิตทุกประเภทครับ ซึ่งขณะนั้น กำลังจำในสิ่งที่ถูก เช่น เห็นถึงความ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ปัญญาเห็นตามความเป็นจริง แต่ก็มีการจำในเรื่องนั้นที่เห็นถูกด้วย จำว่าเป็นเพียงสภาพธรรม ที่เราเรียกกันว่า อนัตตสัญญา คือ ความจำในความไม่ใช่ สัตว์ บุคคล แต่เมื่อเราได้ยินคำนี้ จะต้องหมายถึง มีปัญญา เห็นถูกตามความเป็นจริงจึงจะจำถูกเช่นนี้ได้ครับ
ดังนั้น ปัญญาเป็นประธาน เป็นหัวหน้าในธรรมฝ่ายดี ที่เป็นกุศลธรรม ที่ทำหน้าที่เห็นถูกตามความเป็นจริง และทำให้เจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย คล้อยตามปัญญาด้วย เช่น จำในเรื่องที่ดี คือ จำโดยความเป็นอนัตตาหรือ อนัตตสัญญานั่นเองครับ
ดังนั้น ควรกล่าวว่า สัญญาที่เจริญ พัฒนาได้ ในทางที่ดี เพราะ ความเจริญ พัฒนาของปัญญา เพราะปัญญาที่เจริญ สะสมมาก ก็ทำให้ปัญญาเจริญมากขึ้น สัญญาก็จำในทางที่ถูกต้องมากขึ้นครับ ปัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญครับ
๒. สัญญาเจตสิก เป็นสภาพจำ สะสมได้ใช่ไหม เพราะเราจำอะไรได้มากขึ้นถ้าเราใส่ใจในสิ่งนั้น หรือจริงๆ แล้ว จำแค่จำ ส่วนเข้าใจมากขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
สัญญาเจตสิก หรือ ความจำสะสมได้ สัญญาเจตสิกเกิดได้กับ อกุศลจิต และ กุศลจิต ดังนั้น จึงสามารถ สะสมความจำที่ไม่ถูกต้อง คือ จำในความเห็นผิด เช่น อัตตสัญญาจำว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน และ ความจำในสิ่งที่ถูกต้อง คือ จำด้วยความไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา คือ อนัตตาสัญญา ดังนั้น การสะสมสัญญาที่ถูกต้อง และไม่ถูกต้องจึงสะสมได้ แล้วแต่ว่า ผู้ใดจะสะสมสิ่งใด สัญญาประเภทใดครับ ดังนั้น สัญญา ความจำก็ส่วนหนึ่ง ปัญญา ความเข้าใจก็ส่วนหนึ่ง แต่เพราะมีปัญญาความเข้าใจ จึงทำให้จำในสิ่งที่ถูกต้อง
๓. ต่อจากข้อ ๒. ถ้าสะสมได้ เมื่อสัตว์ตายไปแล้ว เกิดใหม่ สภาพจำหรือสัญญา เคยสะสมควรจะจำได้บ้างไหม ถ้าเหตุปัจจัยเหมาะสม หรือขึ้นกับระดับปัญญาของแต่ละบุคคล
จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม พร้อมทั้งเจตสิกที่เกิดขึ้น ก็สะสมไปพร้อมกับจิตที่เกิด นั้น ไม่ได้หายไปไหน สะสมสืบต่อไปในจิตแต่ละขณะ ซึ่ง คำว่าชาติหน้า ก็เป็นเพียง การสืบต่อของจิตเพียงขณะเดียว คือ จากจุติ ไป ปฏิสนธิจิตเท่านั้น การสะสมสิ่งที่ดี หรือ ไม่ดี จึงไม่ได้หายไปหนเลย แม้ความจำที่ถูกต้อง และความจำที่ไม่ถูกต้องก็ไม่ได้หายไปไหน รวมทั้งปัญญาที่ได้สะสมมาด้วย ก็ไม่ได้หายไปไหน ดังนั้น อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญาก็ค่อยๆ เจริญขึ้น พร้อมกับความจำที่ถูกต้องที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ก็สะสมต่อไปในจิตแต่ละขณะ อันสมมติว่าคือชาติหน้า และเมื่อเหตุปัจจัย พร้อม ในชาติไหนสักชาติก็บรรลุธรรมเพราะปัญญาแก่กล้านั่นเองครับ
สำคัญที่สุด การสะสมปัญญา และสะสมสัญญา ความจำที่ถูกต้อง มีอนัตตสัญญาที่จะเจริญขึ้นได้ ก็ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจนั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อกล่าวถึง สัญญา กับ ปัญญา แล้ว ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่กระทำกิจหน้าที่ของตนๆ โดยไม่ปะปนกัน เพราะเหตุว่า สัญญา เป็นสภาพธรรมที่จำ เกิดร่วมกับจิตได้ทุกชาติ ทุกประเภท ไม่มีเว้น แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม จะไม่เกิดกับจิตชาติอกุศลเลย ซึ่งจะแตกต่างไปจากสัญญา ก็ตรงที่ว่า สัญญา เกิดร่วมกับอกุศลจิตได้ จึงทำให้มีการจำอย่างไม่ถูกต้อง จำผิด จำว่ามีตัวตน มีสัตว์ มีบุคคล เป็นต้น แต่ปัญญา ไม่สามารถเกิดร่วมกับอกุศลจิต ได้เลย
นี่คือ ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าสะสมอกุศลมากขึ้นมากๆ ก็เป็นการสะสมความจำที่เป็นอกุศล เป็นความจำที่ผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เนื่องจากว่า ทุกขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น สัญญาก็เป็นอกุศล ด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าสะสมกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก อันเกิดจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวันแล้ว ในขณะนั้น ก็เป็นการสะสมสัญญาที่ถูกต้อง เพราะเป็นสัญญาที่เกิดพร้อมกับปัญญา เป็นความจำที่ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จำว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งไม่มีทางสูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ แม้จะละจากโลกนี้ไปเกิดเป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่ ก็ตาม เพราะไม่พ้นไปจากการเกิดดับสืบต่อของจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย
การฟังพระธรรม เป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้น บุคคลผู้เป็นสาวกต้องเป็นผู้ได้ฟังพระธรรม และจะต้องเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย แล้วปัญญาจะเกิดขึ้น ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เจริญขึ้นได้ ต้องอาศัยการฟังพระธรรม เท่านั้น
ขณะที่ฟังพระธรรมด้วยความตั้งใจ และมีความเข้าใจไปตามลำดับ ย่อมเห็นสมบัติของตนเองจากการฟังพระธรรม ซึ่งเป็นสมบัติที่แท้จริง ประเสริฐยิ่งกว่าสมบัติทั้งหลายที่มี ใครๆ ก็ลักไปไม่ได้ด้วย นั่นก็คือ ได้สะสมปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า จนกว่าจะถึงความเจริญบริบูรณ์ได้ในที่สุด ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในความเมตตาของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกๆ ท่านที่กรุณานำพระธรรมคำสั่งสอนมาอธิบายให้มีความเข้าใจยิ่งขึ้นๆ ค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ด้วยความเคารพ จาก ใหญ่ราชบุรี-ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
อนุโมทนาสาธุเด้อครับ