ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วเป็นไปกับกุศล หรือโสภณธรรม ย่อมไม่เป็นทุกข์ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกัน [คาถาธรรมบท]
ถ้าอยู่ร่วมกันแล้วเป็นไปกับกุศล หรือโสภณธรรม ย่อมไม่เป็นทุกข์ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกัน [คาถาธรรมบท]
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราเพียรรักษาศีล ถึงแม้จะไม่ครบทุกข้อทุกวัน ผู้ที่อยู่ร่วมกับเราย่อมมีความสุข เพราะเราจะไม่เบียดเบียนเขา ส่วนผู้อื่นที่ไม่่ได้สนใจหรือรักษาศีล เขาก็อยู่ตามปกติ ซึ่งบางครั้งอาจจะทำอะไร ที่ไม่ถูกใจเรา โดยที่ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเราทำตามที่ตนเองชอบ เราก็พิจารณาเป็นสภาพธรรมะ ก็ทำให้อยู่ร่วมกันได้โดยที่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะ เขาก็มีความสุข ส่วนเราก็อยู่ร่วมกับเขาได้ เพราะเรามีศีล กรณีนี้ถือว่าบุคคลไม่เสมอกัน ก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งมีศีล แต่ถ้าไม่มีศีลเหมือนกันก็คงเป็นทุกข์เดือนร้อนแน่นอน เพราะอาจจะทะเลาะกัน และไม่ให้อภัยกัน เป็นการก่อเวรซึ่งกันและกัน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สนทนาธรรมปฏิบัติธรรม วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2551
อ.กุลวิไล พอดีมีสหายธรรม ที่นั่งอยู่นะคะ ก็อ่านหนังสือแด่ผู้มีทุกข์และก็จะให้ขยายข้อความที่อยู่ในธรรมเตือนใจ ซึ่งดิฉันจะอ่านให้ฟัง อยู่ในคาถาธรรมบท เรื่องภิกษุ 500 รูป "การบวชก็ยาก การยินดีก็ยาก เรือนที่ปกครองไม่ดีให้เกิดทุกข์ การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกันเป็นทุกข์ ผู้เดินทางไกลก็ถูกทุกข์ติดตาม เพราะฉะนั้นไม่พึงเป็นผู้เดินทางไกล และไม่พึงเป็นผู้อันทุกข์ติดตาม." ผู้อ่านขอความเข้าใจในเรื่องของ "การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกันเป็นทุกข์"ค่ะ
อ.คำปั่น ขอกราบท่านอาจารย์และท่านวิทยากรทุกท่านครับ ซึ่งก็เป็นพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้ผู้ฟังได้ศึกษาและพิจารณา จะเห็นได้ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ฟัง ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย เริ่มตั้งแต่ความดีขั้นต้นในชีวิตประจำวันนะครับ จนกระทั่งสูงสุดคือสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสทั้งปวงได้ จากข้อความที่ได้อ่านที่ว่า "การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกันเป็นทุกข์" ซึ่งในอรรถกถาท่านก็ได้แสดงไว้นะครับว่า เป็นการอยู่ร่วมกันด้วยกิเลส เป็นการอยู่ร่วมกันด้วยกิเลสของบุคคลที่ยังมีมานะ มีความสำคัญตนนะครับ ถึงแม้ว่าจะมีชาติตระกูลก็ตามที่เสมอกัน แต่ถ้าหากว่า ไม่มีเมตตา ไม่มีความหวังดีต่อกัน แต่เป็นที่ตั้งของมานะ เป็นที่ตั้งของความยกตนข่มผู้อื่น อันนั้นนะครับ จึงเป็นที่มาของคำว่า "การอยู่ร่วมกับผู้เสมอกันเป็นทุกข์" ก็คือเป็นที่ตั้งของความสำคัญตน เป็นที่ตั้งของมานะ เป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งปวง แต่ในทางตรงกันข้ามนะครับ ผู้ที่เป็นบรรพชิต ถึงแม้ว่าท่านจะออกบวชจากตระกูลต่างๆ จากตระกูล กษัตรย์บ้าง ตระกูลพราหมณ์บ้าง แต่ว่าท่านเป็นผู้มีคุณธรรม มีศีล มีคุณธรรมในการอบรมปัญญา สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้เหมือนกัน ก็ขอกราบเรียนท่านอาจารย์อธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
ท่านอ.สุจินต์ ก็ชัดเจนใช่ไหมคะ
จากที่ท่านวิทยากรได้อธิบาย จะเห็นได้ว่า หากอยู่ด้วยกิเลส ด้วยมานะ ย่อมประสบทุกข์เพราะย่อมมีความแข่งดี ย่อมเกิดการทะเลาะเพราะอยู่ร่วมกันด้วยกิเลส แต่ถ้าเป็นผู้มีศีลเสมอกัน ก็อยู่ร่วมกันด้วยเมตตา แบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่ได้มา ละความตระหนี่ มีตระหนี่ลาภและตระหนี่ตระกูล เป็นต้น มีจิตอนุเคราะห์นำประโยชน์เข้าไป ช่วยเหลือกันมีเมตตาทั้งกาย วาจาและใจต่อหน้าและลับหลัง การอยู่ร่วมกันของคนที่ดี (มีศีล) จึงมีแต่ประโยชน์เกื้อกูลกันทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่เพื่อมานะแข่งดีครับ แต่มีจิตเสมอ ไม่แบ่งว่า นี้เขานี้เราครับ ธรรมจึงเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ประโยชน์คือ การน้อมประพฤติปฏิบัติตาม
ขออนุโมทนาครับ
จากความเห็นที่ 4
ไม่ว่าจะอยู่กับบุคคลใดจะดีหรือไม่ดี ก็มีจิตเมตตาเขาได้ การอยู่ร่วมกับคนไม่ดีก็เพื่ออนุเคราะห์ แต่ไม่ใช่เสพคุ้นเพราะจะนำความไม่ดีมาติดตัวเราได้ เมตตาไม่ได้เลือกบุคคลว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ความเป็นมิตรเป็นเพื่อน อดทนในความไม่ดีของบุคคลอื่น เห็นใจในการทำไม่ดี แทนที่จะโต้ตอบเพราะเขาสร้างเหตุไม่ดีเราก็ไม่ควรไปแปดเปื้อนบาปกับเขาด้วย แต่อนุเคราะห์ด้วยความดีครับ เท่าที่จะทำได้
อนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลมีอัธยาศัยที่แตกต่างกันออกไป ตามการสะสม จึงมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันทั้งการกระทำและคำพูด ซึ่งอาจจะทำให้บุคคลอื่นเกิดความไม่พอใจได้ โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลส ในแต่ละวันอกุศลย่อมมีมากกว่ากุศล ดังนั้น ถ้าได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ย่อมจะให้อภัยและเห็นใจในบุคคลผู้ที่ผู้ประพฤติไม่ดี โดยที่ไม่สร้างเหตุใหม่ให้กับตนเองด้วยการโกรธ ขุ่นเคืองไม่พอใจ แต่มีจิตประกอบด้วยเมตตาอนุเคราะห์ให้เขาเป็นผู้เบาบางจากอกุศล ให้ตั้งอยู่ในคุณความดีประการต่างๆ ให้ได้ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เมื่อเป็นเช่นนี้ การอยู่ร่วมกันก็จะเป็นไปด้วยกุศล ไม่นำมาซึ่งทุกข์ เพราะต่างก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน การได้ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนื่องๆ จนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น และ เห็นคุณค่าของพระธรรม แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ก็ย่อมจะทำให้เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม จริงๆ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ความทุกข์และปัญหาต่างๆ มากมาย ก็เพราะอกุศลหรือกิเลสทั้งนั้น ปัญญาเท่านั้นจึง ละอกุศลหรือกิเลสได้ จึงต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังพระสัทธรรมให้เข้าใจ
ขออนุโมทนาค่ะ
สมัยนี้ผู้ที่มีแต่ความดี ไม่มีความชั่วเลย ก็ไม่มีแล้ว แต่แม้ในครั้งพุทธกาล มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยบุคคลมากมาย ปุถุชนที่ไปมาหาสู่และได้คบกับพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกทั้งหลาย ก็ยังขุ่นเคือง และไม่พอใจในการกระทำของท่านเหล่านั้นได้ตามกำลังกิเลสของตน จึงไม่น่าสงสัยเลย ที่ในยุคนี้ ปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส จะมีความโกรธ และผูกโกรธในผู้ที่มีคุณธรรมทั้งหลาย
ได้มาฟังธรรมที่มูลนิธิเกือบทุกอาทิตย์ ได้รับความรู้และสิ่งที่เป็นประโยชน์จากท่านอ. สุจินต์และ อ.ท่านอื่นๆ มากมาย คุ้มค่าจริงๆ สำหรับชีวิตนี้ที่เกิดมา และได้มาพบ อจ.ที่บรรยายธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็นบุญของดิฉันแล้ว ถึงแม้นบางตอนจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นภาษาทางพระอภิธรรม ก็ไม่เป็นไร การฟังธรรม และเข้าใจในธรรมะ ทำให้เรา สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
ถ้าเข้าใจว่าเป็นธรรมะก็ไม่ทุกข์ก็ได้นะครับ เมื่อมีการกระทบทุกผัสสะทุกทวาร สิ่งไหนที่กระทบแล้วเราไม่ชอบ ก็เป็นทุกข์ สิ่งไหนชอบก็เป็นสุข อยากให้อยู่นานๆ คิดซะว่าเป็นเรื่องของธรรมดาของปุถุชนครับ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็คิดซะว่าทุกการกระทบ ทุกทวารเป็นครูบาอาจารย์ สอนธรรมะได้เท่าๆ กัน ไม่ว่าสุข หรือทุกข์ ก็สอนธรรมะได้เท่าๆ กัน
จริงค่ะ ทุกวันนี้ ก็มองทุกสิ่งที่มากระทบเป็นธรรมะ และเป็นอาจารย์ที่สอนให้เรามีจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรม ๘
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เสมอกันด้วยกิเลส ย่อมอยู่ด้วยกันเป็นทุกข์ ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ดูได้ที่ตัวเรา กิเลสของเรา จากชีวิตประจำวันของเราเอง กิเลสย่อมเวียนวนไปหากิเลสที่ยิ่งขึ้นไปอีก กิเลสปราถนาในทุกข์ เพราะหลงคิดว่าเป็นสุข ทุกข์ก็ไม่รู้ว่าทุกข์ เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ขออนุโมทนาคุณ oom
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ละความโกรธด้วยการเจริญเมตตา
ลืมความโกรธนั้นเสีย แล้วระลึกถึงกัมมสกตาของตนและของผู้อื่น อย่างนี้ว่า “ท่านโกรธแล้วจะทำอะไรเขาได้ จักอาจเพื่อยังคุณอันมีศีล เป็นต้น ของเขาให้พินาศไปได้หรือ เขามาด้วยกรรมของเขา เขาก็จักไปด้วยกรรมของเขานั้นแหละ มิใช่หรือ”
ดิฉันประทับใจ คำว่า โกรธแล้ว จะทำอะไรเขาได้ อ่านแล้วทำให้ได้ข้อคิดสกิดใจดีค่ะ ทำให้เราโกรธน้อยลง ขอบพระคุณค่ะที่ให้ข้อคิดดีๆ