การฟังคำบรรยายของท่าน อ. สุจินต์ ที่ว่าสีกับสภาพรู้สีแตกต่างกันได้ฟังมาเป็น 10..เป็น...100..1000...ครั้งแล้ว แต่เวลาปรากฏจึงแยกไม่ได้ เพราะเหตุใดหนอ
ควรทราบว่า ความรู้หรือปัญญาขั้นฟังขั้นศึกษา ไม่สามารถแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมะได้ ปัญญาขั้นสติปัฏฐานในเบื้องต้นก็ยังไม่แทงตลอดหรือแยกสภาพ ของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏได้ ต้องเป็นปัญญาขั้นที่เริ่มมีกำลังเป็นวิปัสสนาญาณ จึงจะสามารถแยกสภาพรู้กับสภาพไม่รู้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นในเบื้องต้นขั้นกำลังอบรม เป็นเพียงเริ่มรู้เริ่มเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นการแทงตลอดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม แยกขาดจากกันเป็นกิจของปัญญา ในเบื้องต้นยังไม่ควรไปกังวลกับการแยกหรือไม่แยก ความจริงคือ นามธรรมและรูปธรรมไม่ปะปนกันอยู่แล้ว แต่อวิชชาปกปิดความจริงทำให้ปรากฏเสมือนรวมกันอยู่ เมื่อปัญญาเจริญมากขึ้นถึงระดับที่แยกความต่างของนามและรูปได้ ย่อมแยกได้แน่นอนครับ
SIRICHAI ได้ฟังมาเป็น 10..เป็น...100..1000...ครั้งแล้ว
ขออนุโมทนาค่ะ
เทียบกับที่ไม่ได้ฟัง ก่อนหน้านั้น นานนับประมาณไม่ได้ จำไม่ได้ด้วย 10...100...1000 ยังชื่อว่าน้อย ยังนับได้ถ้วน อินดี้ก็ยังแยกไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ฟังอีกนะ จิรกาลภาวนา
เพราะการเจริญปัญญายังไม่ถึงขั้นนั้นครับ ขั้นฟังได้ยินเท่าไรก็เข้าใจเพียงความ หมายของคำนั้นๆ ว่าสีไม่ใช่รู้สี สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่การเห็น รูปารมณ์ไม่ ใช่จักขุวิญญาณ วัณณธาตุไม่ใช่วิญญาณธาตุ ฯลฯ ต้องอาศัยการสังเกตุพิจารณา น้อมไปที่จะศึกษาโดยสติระลึกแล้วปัญญาค่อยๆ รู้ชัดขึ้น อีกยาวนานกว่าจะประจักษ์ แจ้งในขั้นของวิปัสสนาญาณครับ เบื้องต้นฟังเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นเพียงธรรมะที่ปรากฏ ทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในชีวิตประจำวัน ที่ไม่พ้นไปจากรูปธรรม นามธรรม เพื่อคลายการยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นเราครับ
สาธุ
ขอนอบน้อมพระสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงมีพระสัทธรรมเป็นรัศมี
ส่องสว่างกำจัดความมืดในใจของปวงชน
เบื้องต้นยังไม่ต้องไปแยก ฟังให้เข้าใจก่อนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะที่มีจริง กำลัง ปรากฏขณะนี้ การที่สติจะระลึกหรือไม่ระลึก ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา ไม่ต้อง ใจร้อน ปัจจัยที่สำคัญคือ การฟังธรรมให้เข้าใจ เพราะว่าผู้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะ ปราศจากการฟังธรรมไม่ได้เลยค่ะ
ขอนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะสูงสุดของข้าพเจ้า
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของสหายธรรมและท่านอาจารย์ทั้งหลายครับ
ขอบคุณท่าน อ.prachern มากสำหรับคำแนะนำที่ทำให้เห็นถึงความแตกต่างกันของปัญญาขั้นศึกษากับปัญญาขั้นระลึกทันที โดยไม่เลือกสภาพธรรมะ ขอเรียนว่า สภาพธรรมะที่ปรากฏค่อยๆ ชัดเจนขึ้นครับ (ชัดเจนมากกว่าตอนที่ผมเจอ อ.ครั้งแรก จริงๆ ครับ) เป็นจริงตามที่ท่าน อ. อธิบาย
ขอบคุณ happyindy สำหรับคำว่า "จิรกาลภาวนา" นะครับ คงจะอีกนานแสนนาน ที่สภาพธรรมต่างๆ จะชัดเจนขึ้นจนแยกออก แต่ขณะนี้สติ-ปัฏฐานจะเกิดกับผมบ่อยขึ้น ครับ แต่คิดนึกก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม (แมวสวยด้วยครับ) ขอบคุณ คุณ suwit02 และ อ.wannee มากครับ ถ้าเราไม่มีพระพุทธเจ้าและ อ.สุจินต์ พวกเราคงลำบาก เป็นลาภอันประเสริฐของพวกเราแล้วมาในชาตินี้ได้เจอ แม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานไปแล้วก็ตามครับ
ขอบคุณที่เกื้อกูลกันและกันครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การฟังคำบรรยายของท่าน อ. สุจินต์ ที่ว่า สีกับสภาพรู้สีแตกต่างกัน ได้ฟังมาเป็น 10..เป็น...100..1000...ครั้งแล้วแต่เวลาปรากฏจึงแยกไม่ได้ เพราะเหตุใดหนอ? ธรรมอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่แยกคือ ปัญญา ปัญญาเป็นธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้นจึง บังคับบัญชาไม่ได้ที่จะให้ปัญญาเกิด ปัญญาทำหน้าที่ ไม่ใช่เราจะทำหน้าที่แยก เมื่อไม่เกิดก็แยกไม่ได้ เมื่อเกิดเป็นปัญญาขั้นต้นก็ยังแยกไม่ได้ และ ที่สำคัญขณะที่จะเลือกจะแยกระหว่างสีกับสภาพรู้สี ก็ลืมว่ามีสภาพธรรมอื่นอีกมากมาย เสียงกับรู้เสียง กลิ่นกับรู้กลิ่นจึงไม่ใช่กำหนดกฎเกณฑ์ครับ ว่าจะรู้ จะแยกสภาพธรรมนั้น (สีกับ รู้สี) เป็นผู้ตรงและเข้าใจว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตาว่า ไม่รู้ก็คือไม่รู้ในสิ่งนั้นเพราะ ปัญญาไม่เกิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของธรรมจะทำอะไรได้ ก็จะเบาขึ้น ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่ไม่รู้ เพราะเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของธรรมที่จะรู้ ไม่ใช่เราเลย อบรมเหตุคือ ฟังพระธรรมต่อไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นเพราะเป็นธรรมและอนัตตา
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบคุณ อ.ครู สำหรับข้อคิดเห็นครับ
จริงๆ แล้ว เมื่อสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพสว่างของสีกับสภาพรู้สีที่ปรากฏของผม เริ่มจะแยกออกจากกันได้บ้างแล้วครับ ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่ออยากทราบว่าสหายธรรม ท่านใดเป็นแบบผมบ้างคงจะอธิบายยากสักหน่อย แต่จะพยายามดู เมื่อใช้สภาพสว่าง อาการสว่าง ลักษณะสว่าง เป็นเกณท์จะได้ว่า สี นั้นสว่างต่างๆ กันไปเช่น เขียวสว่างมากกว่าน้ำเงินแต่มืดกว่าเหลือง เขาไม่มีสภาพรู้ ไม่มีอาการรู้ ไม่มีลักษณะรู้ครับ รู้สีนั้นไม่สว่างอย่างที่สีเขียวสว่าง มากกว่าน้ำเงินและมืดกว่าเหลือง แต่เป็นสภาพรู้ อาการรู้ ลักษณะรู้ครับ เมื่อใช้สภาพรู้ อาการรู้ ลักษณะรู้เป็นเกณท์จะได้ว่า สี นั้นไมรู้อะไรเลย ไม่ใช้สภาพรู้ ไม่ใช่อาการรู้ ไม่ไช่ลักษณะรู้ แต่สว่าง อย่าที่เขียวสว่างมากกว่าน้ำเงิน แต่มืดกว่าเหลือง รู้สี นั้นเขาเป็นสภาพรู้ อาการรู้ และลักษณะรู้ เขาจะไม่สว่างอย่างสีเขียวที่สว่างกว่าน้ำเงิน และมืดกว่าเหลือง
อาจจะงงกับภาษาสักนิดแต่ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไร
เรียนท่านที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานร่วมแสดงความคิดเห็นได้เลย ครับ
ขอบคุณอีกครั้งที่เกื้อกูลกันและกัน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สีคือ สิ่งที่ปรากฎทางตา ปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ (สี) คือรู้ว่าเป็นธรรมไม่ ใช่เรา คือเมื่อปรากฏว่าเป็นสีก็เป็นเพียงธรรม แต่ไม่ใช่ว่า สีนั้นสว่างกว่าสีนี้ ปัญญาไม่ ใช่รู้ว่าสิ่งไหนสว่างกว่าไม่สว่างกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา (สี) ก็คือสี แต่ปัญญาต้องรู้ว่า เป็นธรรมไม่ใช่เราขณะนั้นครับ ดังนั้นการคิดนึกในสภาพธรรมกับสติปัฏฐานจึงต่างกัน เมื่อใช้สภาพสว่าง อาการสว่าง ลักษณะสว่าง เป็นเกณท์
เมื่อใช้สภาพรู้ อาการรู้ ลักษณะรู้เป็นเกณท์ การรู้ความจริงสิ่งที่เป็นเครื่องวัดเป็นเกณฑ์คือ ปัญญา ธรรมไม่ใช่เป็นการเปรียบเทียบ รู้ขณะใดก็รู้ขณะนั้น รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ขอให้เริ่มพิจารณาให้เข้าใจ เพราะ อาจเข้าใจว่าสติปัฏฐานเกิด แต่ก็เป็นเพียงความคิดนึกที่รวดเร็วเมื่อสภาพธรรมเกิด
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เท่าไหร่ก็เท่านั้น เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะเพียงเข้าใจขั้นฟังว่าสีเป็นรูปธรรมไม่ใช่ สภาพรู้ จิตรู้สีเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้ และนามรูปแยกกันชัดเจน ปัญญาเท่านั้น ที่รู้ได้
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เพราะเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น (สี เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือ เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธาตุอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน, สภาพรู้สีเป็นจิต เป็นสภาพรู้ ไม่ใช่เราที่เห็น แต่เป็นกิจหน้าที่ของจิต) และสภาพธรรม มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ปะปนกัน จิตแต่ละประเภท มีความแตกต่างกัน เจตสิกแต่ละประเภท มีความแตกต่างกัน รูปแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกัน เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่หาความเป็นเรา หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ในสภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ได้เลย ปัญญาเท่านั้น ที่สามารถจะรู้แจ้ง รู้ชัดสภาพธรรมทั้งหลายทั้งปวง ตามความเป็นจริงได้ ไม่ใช่ตัวเราที่จะไปรู้ ไม่ใช่ตัวเราที่จะไปแยก แต่เป็นกิจของปัญญา ดังนั้น การได้ศึกษา ได้ฟังเรื่องของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟัง ปัญญาย่อมจะเจริญขึ้นไปตามลำดับได้ ครับ .
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะสูงสุดของข้าพเจ้า
ขออภัยในการใช้ภาษาในความคิดเห็นที่ 9 นะครับ
อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าเป็น การเจริญสติหรือการเปรียบเทียบ แต่ผมไม่ทราบว่าจะบรรยาย สภาพธรรมที่แตกต่าง กันได้อย่างไรระหว่างสีกับรู้สีจึงเขียนบรรยายเช่นนี้ ขอน้อมรับความผิดพลาดในครั้งนี้ ครับ และเวลาสติเกิดก็เป็นอย่างที่ท่าน paderm ว่าครับคือ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับสภาพสีต่างๆ ระลึกรู้ สังเกตลักษณะตรงไปที่สภาพนั้นเลย
ขอบพระคุณท่าน อ.paderm อีกครั้งครับ สำหรับคำชี้แนะที่ว่า สีเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และอาการรู้สี เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ แต่เป็นสภาพที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วดับ เพราะขณะที่สภาพธรรมปรากฏมีแต่สีกับรู้สีเราอยู่ตรงใหนก็ไม่รู้ หาตัวเราไม่เจอ จากนั้นความคิดว่า ตัวเรากำลังดูสีกำลังเห็นสีก็ตามมา เมื่อสติเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพคิดนึกถึงตัวเราที่กำลังดูสีก็รู้ว่าไม่มีเรา เป็นแต่เพียงสภาพคิดนึก เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งตัวเราอยู่ตรงไหน หาตัวไม่เจออีกแล้ว แล้วตัวเราอยู่ตรงใหน ไม่มี มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นติดต่อกันไม่หยุด
ส่วนเรื่องความแตกต่างของความคิดที่รวดเร็วกับสติปัฏฐาน รวมทั้งข้อชี้แนะ ของท่านอื่นๆ ผมขอเก็บเอาไปตั้งคำถาม ถามอ.สุจินต์เพื่อเป็นแนวทางในการสะสม ปัญญาต่อไป
ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่เกื้อกูลกันและกันเสมอครับ
เมื่อพบและได้ฟังธรรมะที่ถูกต้อง จึงจะรู้ได้ว่าธรรมะที่ไม่ถูกต้องคืออย่างไร เมื่อได้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจ จึงจะรู้ได้ว่าก่อนนั้นฟังไม่เข้าใจอย่างไร เมื่อสติเริ่มระลึกรู้สภาพธรรม จึงจะรู้ได้ว่าต่างจากขณะหลงลืมสติอย่างไร เมื่อวิปัสนาญาณเกิด จึงจะรู้ได้ว่าต่างจากก่อนวิปัสนาญาณเกิดอย่างไร เมื่อบรรลุเป็นพระอริยบุคคล จึงจะรู้ได้ว่าต่างจากปุถุชนอย่างไร ฯลฯ
การรู้ชัด-รู้แจ้ง เป็นกิจของปัญญาซึ่งต้องพัฒนาไปตามลำดับขั้น ซึ่งเริ่มต้น (และประคับประคองการพัฒนา) ด้วยการฟังพระธรรมครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
เกิดปัญหานี้เหมือนกันเวลาปฏิบัติค่ะ เปรียบเทียบกับเสียงและรู้สึกได้ยิน เมื่อเสียงปรากฏในบางครั้งจะระลึกรู้ลักษณะของเสียง บางครั้งก็ระลึกรู้ว่ากำลังได้ยิน คือรู้ว่ารูปหรือนามใดกำลังปรากฏ แต่สีและรู้สึกเห็นหลายครั้งที่แยกไม่ออก คิดว่าเพราะ จิตเกิดดับเร็วค่ะ แต่หวังว่าเมื่อปฏิบัตินานเข้า สติและปัญญาจะกล้าแข็งกว่านี้ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอเรียนถามความเห็นที่ 15 ครับที่ว่า
...เกิดปัญหานี้เหมือนกันเวลาปฏิบัติค่ะ...
ไม่ทราบว่า ปฏิบัติคืออย่างไรครับ แตกต่างหรือเหมือนกับชีวิตประจำวัน ต้องไปสถานที่เฉพาะหรือเปล่าครับ ต้องมีพิธีอย่างไรหรือไม่ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะครับ
ขออนุโมทนาในความเข้าใจถูกความเห็นถูกครับ
มิตรดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น
สาธุ
ขอเชิญอ่าน
จนกว่าความเข้าใจของเราจะเพิ่มมากขึ้น
เมื่อพบและได้ฟังธรรมะที่ถูกต้อง จึงจะรู้ได้ว่าธรรมะที่ไม่ถูกต้องคืออย่างไร
ขออนุโมทนาค่ะ
ถึงความเห็นที่ 16 ค่ะ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ หากดิฉันไม่หลงลืม มีสติเข้าไประลึกรู้ในลักษณะของรูปธรรมหรือนามธรรมที่ปรากฏนั้น การรู้สึกว่าเห็นและการรู้ว่าสีปรากฏสำหรับดิฉันนั้น ยากกว่าการระลึกรู้ถึงสภาพธรรมในทวารที่เหลือทั้ง 5 ค่ะ ยกเว้นสภาวะนั้นชัดเจนจริงๆ คือ ไม่ได้แยกว่าเป็นบัญญัติอะไรสีอะไรนะคะ แต่หมายถึงสิ่งที่ปรากฏทางตานั้น มีสีเป็นอธิบดีอารมณ์จริงๆ จำได้ถึงครั้งแรกที่สามารถระลึกรู้ว่าสีปรากฏ หลังจากนั้นก็เข้าใจคำสอนของอาจารย์ที่ว่า ไม่มีใครจริงๆ ขณะนั้น มีแต่สภาวะ โลกทั้งโลกมีสีเท่านั้นที่ปรากฏ
ดิฉันก็เคยเข้าใจผิดว่าสติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฎมีแต่สีและรู้สีเหมือนกันค่ะ และยังเข้าใจว่าระลึกรู้สภาพเสียงและรู้เสียงด้วย จริงๆ แล้ว ที่ว่าหาตัวเราไม่เจอนั้น ในความเป็นจริงเรานี่แหละยังเหนียวแน่นอยู่กับความคิดนึกเรื่องราวต่างๆ โดยสำคัญผิดว่าสติปัฎฐานเกิด ได้มาฟังพระธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์ ทำให้เกิด ความเข้าใจที่ถูกต้องพระธรรมเป็นของยาก ละเอียด และลึกซึ้ง ควรจะฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม และค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา เมื่อมีความเข้าใจขึ้นๆ ก็เป็นปัจจัยให้ สติปัฎฐานเกิดระลึกรู้ในลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งไม่ใช่ง่ายและรวดเร็ว ต้องค่อยๆ อบรมเจริญปัญญานานแสนนานมากค่ะ จิรกาลภาวนาค่ะ เพราะสภาพธรรม ทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้สติก็อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดได้ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม สติก็เกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมตามปกติในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องรอ หรือหวังค่ะ เพราะหวังเพียงเล็กน้อยก็ถูกโลภะนำไปแล้วค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบคุณ suwit02,เมตตาและเพื่อนสหายธรรมทุกท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่าน
ขอแสดงความเห็นด้วยความเคารพน่ะครับ :
ใครจะเป็นผู้แยกครับ ถ้าถามว่า เหตุใดเมื่อสภาพธรรมปรากฏจึงแยกไม่ได้ และเมื่อไรหนอจะแยกได้ อย่างนี้เรียกว่า เป็นตัวเราจะแยก ตัวเราอยากจะรู้ จะมิอาจรู้ได้ครับ ให้รู้ว่าขณะที่สภาพธรรมปรากฏ เกิดอะไรขึ้นกับเรา รู้สึกอะไร ถ้าไม่รู้ ให้รู้ว่าไม่รู้ ก็คือยังไม่รู้ นั่นคือรู้ตามจริงคือไม่รู้ เป็นผู้ตรง เป็นปัญญาเช่นกันคือรู้ตามจริง ณ ขณะนั้น ว่าไม่รู้เมื่อฟังอีกหรือเห็นอีก ถ้ายังไม่รู้ แยกไม่ได้ก็ไม่ต้องพยายามแยก หรือสงสัยว่าเมื่อไรจะแยกได้ ก็ต้องอดทนฟังต่อไป เท่าไรไม่มีใครรู้ได้ แต่เมื่อเกิดความเห็นถูก เข้าใจถูก ตามที่เป็นจริง เมื่อเหตุพร้อมปัจจัยพร้อมเมื่อนั้นจะค่อยๆ รู้เอง โดยปัญญาจะรู้ ไม่ใช่ตัวเรารู้ครับ สภาพธรรมจะทำกิจหน้าที่ของตัวมันเองจริงๆ ไม่ใช่ตัวเราเลยครับ
ขอนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะสูงสุดของข้าพเจ้า
ขอบคุณมากครับ สำหรับความคิดเห็นที่22 และกุศลจิตของท่านทั้งหลาย