ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 136
กรรม ๑๒ อย่าง ตามแนวแห่งปฏิสัมภิทามรรค
โดยปริยายแห่งปฏิสัมภิทามรรค ท่านจำแนกกรรม ๑๒ อย่างไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
จากข้อความใน ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 416
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว ๑
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว ๑
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่ ๑
- กรรมได้มี แล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่ ๑
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักมี ๑
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ๑
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่ ๑
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมไม่มี ๑
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักมี ๑
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ๑
- กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักมี ๑
- กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ๑.
กรรม ๑๒ อย่าง ตามแนวแห่งปฏิสัมภิทามรรค
ท่านแสดง กรรมอดีต อย่างนี้ไว้ ๖ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบาก และ มิใช่วิบาก ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต.
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว ๑
บรรดากรรม ๑๒ อย่างนั้น กรรมที่ประมวลมาในอดีต ได้วาระแห่งผลในอดีตนั่นเองที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็ให้เกิดปฏิสนธิแล้ว ส่วนที่จะให้เกิดรูป ก็สามารถให้เกิดรูปขึ้น ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ได้มีมาแล้ว.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 418
บทมีอาทิว่า อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมได้มีแล้ว ท่าน ถือเอาวิบากอันให้ผลในภพอดีต แห่งกรรมที่ทำแล้วในภพอดีตนั่นเอง แล้ว จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อโหสิ กมฺมวิปาโก.
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว ๑
ส่วนกรรมที่ไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้ปฏิสนธิ ก็ไม่สามารถจะให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็ไม่สามารถจะให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ไม่ได้มีมาแล้ว.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 418
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพอดีต ด้วยความบกพร่องปัจจัยแห่ง กรรมอดีต อันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพนี้) และเป็น อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลต่อเมื่อเกิดแล้วในภพหน้า) และวิบากอัน ยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอันดับรอบแล้วในอดีตนั่นเอง และอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผล ในภพสืบๆ ไป) จึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก กรรม ได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่ได้มีแล้ว.
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่ ๑
ส่วนกรรมที่ประมวลมาแล้วในอดีต ได้วาระแห่งผลในปัจจุบันแล้วที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็ให้เกิดปฏิสนธิแล้ว หรือที่จะให้เกิดรูป ก็ให้เกิดรูปแล้วตั้งอยู่ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ยังมีอยู่.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 418
ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลแห่งกรรมอดีต ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัย ในภพปัจจุบัน แห่งวิบากอันยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมมีอยู่.
- กรรมได้มี แล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่ ๑
ส่วนกรรมที่ไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็ไม่สามารถจะให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็ไม่สามารถให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม ไม่มีอยู่.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 418
ท่านถือเอาวิบากอันยังไม่ให้ผลแห่งกรรมอดีต อันล่วงเลยกาลแห่ง วิบากแล้ว เเละของผู้ปรินิพพานในภพปัจจุบันนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมไม่มีอยู่.
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักมี ๑
ส่วนกรรมที่ประมวลมาในอดีตกาล จักได้วาระแห่งวิบากในอนาคตที่ให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักสามารถให้ปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักสามารถให้เกิดรูป ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม จักมีมา.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419
ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผล ด้วยความถึงพร้อมแห่งปัจจัยในภพ อนาคต แห่งกรรมอดีตอันควรแก่วิบาก อันเป็นวิบากยังไม่ให้ผล แล้วจึงกล่าว ว่า อโหสิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากกรรมจักมี.
- กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ๑
ส่วนกรรมที่จักไม่ได้วาระแห่งวิบากในอนาคตที่ให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักไม่สามารถให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักไม่สามารถให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมวิบากที่เป็นอโหสิกรรม จักไม่มีมา.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผล แห่งกรรมอดีตอันล่วงกาลแห่งวิบาก แล้ว และดับรอบในภพอนาคตนั่นเอง แล้วจึงกล่าวว่า อโหสิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมได้มีแล้ว วิบากแห่งกรรมจักไม่มี.
ท่านแสดงถึง ปัจจุบันกรรม อย่างนี้ไว้ ๔ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบาก และมิใช่วิบากในปัจจุบันและอนาคต.
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่ ๑
ส่วนกรรมที่ประมวลมาในปัจจุบัน และจะได้วาระแห่งวิบากในปัจจุบันเหมือนกัน ท่านกล่าวว่า กรรมมีอยู่ กรรมวิบากก็มีอยู่.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419
ท่านถือเอาวิบากอันให้ผลในปัจจุบันนี้ แห่งกรรมอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่ทำแล้วในภพนี้ แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ อตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมมีอยู่.
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมไม่มี ๑
ส่วนกรรมที่ไม่ได้วาระแห่งวิบากในปัจจุบัน ท่านกล่าวว่า กรรมมี แต่กรรมวิบากไม่มี.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ให้ผลในภพนี้ ด้วยความบกพร่องแห่งปัจจัย ของกรรมปัจจุบันนั้น และยังไม่ให้ผลในภพนี้ ของผู้ปรินิพพานในปัจจุบัน แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ นตฺถิ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ วิบากของ กรรมไม่มีอยู่.
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักมี ๑
ส่วนกรรมที่ประมวลมาในปัจจุบัน แต่จักได้วาระแห่งวิบากในอนาคตที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักสามารถให้เกิดปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักให้เกิดรูป (ในอนาคต) ได้ ท่านกล่าวว่า กรรมมีอยู่ กรรมวิบากก็จักมีมา.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419
ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผลในภพอนาคตของกรรมปัจจุบัน อันเป็น อุปปัชชเวทนียกรรม และอปราปริยเวทนียกรรม แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ วิบากกรรมจักมี.
- กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ๑
ส่วนกรรมที่จักไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักไม่สามารถให้เกิดปฏิสนธิได้ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักไม่สามารถให้เกิดรูป (ในอนาคต) ได้ ท่านกล่าวว่า กรรมมีอยู่ แต่ผลกรรมจักไม่มีมา.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 419
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผลในภพอนาคต ด้วยความบกพร่อง ปัจจัย แห่งกรรมปัจจุบันอันเป็นอุปปัชชเวทนียกรรม และไม่ควรให้ผลแก่ผู้ ควรปรินิพพานในภพอนาคต อันเป็นอปราปริยเวทนียกรรม แล้วจึงกล่าวว่า อตฺถิ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี.
ท่านแสดง กรรมอนาคต อย่างนี้ไว้ ๒ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบากและ มิใช่วิบากในอนาคต เป็นอันท่านทำกรรมทั้งหมดนั้น เป็นอันเดียวกันแล้ว
- กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักมี ๑
ส่วนกรรมที่จักประมวลมาในอนาคต จักได้วาระแห่งวิบากในอนาคตเหมือนกันที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักให้เกิดปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักให้เกิดรูป ท่านกล่าวว่า กรรมก็จักมี กรรมวิบากก็จักมี.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 420
ท่านถือเอาวิบากอันควรให้ผลในภพอนาคต แห่งกรรมที่ควรทำใน ภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า ภวิสฺสติ กมฺมํ ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลแห่งกรรมจักมี.
- กรรมจักมี วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ๑.
ส่วนกรรมที่จักไม่ได้วาระแห่งวิบากที่จะให้เกิดปฏิสนธิ ก็จักไม่สามารถให้เกิดปฏิสนธิ หรือที่จะให้เกิดรูป ก็จักไม่สามารถให้เกิดรูปได้ ท่านกล่าวว่า กรรมจักมีมา แต่กรรมวิบากจักไม่มี.
ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 420
ท่านถือเอาวิบากอันไม่ควรให้ผล ด้วยบกพร่องปัจจัยแห่งกรรมอนาคต นั้น และไม่ควรให้ผลของผู้ควรปรินิพพานในภพอนาคต แล้วจึงกล่าวว่า ภวิสฺสติ กมฺมํ น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก กรรมจักมี ผลแห่งกรรมจักไม่มี.
กรรม ๑๒ อย่างเหล่านี้ก็ดี กรรม ๑๖ อย่างข้างต้นก็ดี ที่จำแนกไว้แล้ว ย่อจากฐานะของตนลงมา กล่าวโดยปริยายแห่งสุตตันตะ จะมี ๑๑ อย่างเท่านั้น. ถึงกรรมเหล่านั้น ย่อจากกรรม ๑๑ อย่างนั้นแล้ว จะเหลือเพียง ๓ อย่างเท่านั้น คือ ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๑ อุปปัชชเวทนียกรรม ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม ๑ กรรมเหล่านี้ไม่มีการก้าวก่ายกัน ย่อมตั้งอยู่ในฐานะของตนอย่างเดียว.
[สรุป]
กรรม ๑๒ อย่าง ตามแนวแห่งปฏิสัมภิทามรรค ซึ่ง กรรม นั้นหมายถึง เจตนาเจตสิกที่เกิดกับชวนจิต ๗ ดวง ถ้าเป็นดวงแรก ให้ผลชาติปัจจุบัน ถ้าเป็นดวงที่ ๗ ให้ผลชาติถัดไป ถ้าเป็นระหว่างดวงที่ ๑ ถึงดวงที่ ๗ จะให้ผลชาติต่อๆ ไปนั่นเอง โดยทรงแสดงว่าแบ่งเป็นกรรมในอดีตชาติ ๖ ประเภท (ผลอดีต ๒ ผลปัจจุบัน ๒ ผลอนาคต ๒ --จำแนกโดยอำนาจแห่งวิบากและไม่ใช่วิบาก) กรรมในปัจจุบันชาติ ๔ ประเภท (ผลปัจจุบัน ๒ ผลอนาคต ๒) และกรรมในอนาคต ๒ ประเภท (ผลอนาคต ๒) ซึ่งกรรมนั้นๆ จะให้ผลหรือไม่ให้ผล ก็แล้วแต่ว่าเหตุนั้นสมบูรณ์หรือไม่ หรือบุคคลผู้นั้นจะปรินิพพานในภพปัจจุบัน หรือในภพอนาคตหรือไม่อย่างไร เช่น กรรมมีอยู่ วิบากแห่งกรรมจักไม่มี ถ้าบุคคลนั้นเป็นพระอนาคามีที่จะปรินิพพานในภพถัดไป บาปกรรมที่ทำลงไปก่อนที่ท่านจะเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ แม้บาปนั้นสามารถที่จะให้ท่านเกิดในนรกได้ ทั้งที่เกิดในชวนจิตดวงที่ ๗ คือให้ผลในชาติหน้า และตั้งแต่ดวงที่ ๒-๖ ที่จะให้ผลในชาติต่อๆ ไป ก็ไม่สามารถที่จะให้ผลได้เพราะท่านจะเกิดในพรหมโลกและปรินิพพานในชาติถัดไป เป็นต้น
ขอกราบอนุโมทนา