[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 189
๓. สัจจังกิรชาดก
ไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญู
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 189
๓. สัจจังกิรชาดก
ไม้ลอยน้ำดีกว่าคนอกตัญญู
[๗๓] "เป็นความจริงดังที่ได้ยินมาว่า คนบางจำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่า ไม้ลอยน้ำยังประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย".
จบ สัจจังกิรชาดกที่ ๓
อรรถกถาสัจจังกิรชาดกที่ ๓
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภความตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระองค์ ตรัสพระธรรมเทศนามีคำเริ่มต้นว่า "สจฺจํ กิเรวมาหํสุ" ดังนี้.
ความย่อว่า เมื่อภิกษุสงฆ์ประชุมกันในธรรมสภา สนทนากันถึงโทษมิใช่คุณของพระเทวทัตว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระเทวทัตมิได้รู้คุณของพระศาสดา ยังจะพยายามเพื่อจะปลงพระชนม์เสียอีก พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามเพื่อจะฆ่าเรา แม้ในครั้งก่อน ก็พยายามแล้วเหมือนกัน ดังนี้แล้ว ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 190
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า ทุฏฐกุมาร มีสันดานกักขฬะ หยาบคาย เปรียบได้กับอสรพิษที่ถูกประหาร ยังไม่ได้ด่า ไม่ได้ตีใครแล้ว จะไม่ยอมตรัสกับใคร ท้าวเธอไม่เป็นที่ชอบใจ เป็นที่น่าสยดสยองของคนภายในและคนภายนอก เหมือนผงกระเด็นเข้านัยน์ตาและเหมือนปีศาจร้ายที่มาคอยเคี้ยวกิน วันหนึ่ง ท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้ำในแม่น้ำ ได้เสด็จดำเนินไปสู่ฝั่งน้ำกับบริวารเป็นอันมาก ขณะนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้น ทิศทั้งหลายมืดมิด ท้าวเธอรับสั่งกะผู้รับใช้อย่างทาษว่า เฮ้ย มาเถิด จงมาพาข้าพาไปกลางแม่น้ำ ให้ข้าอาบน้ำแล้วพามา พวกคนรับใช้ก็พาท้าวเธอไปกลางแม่น้ำ ปรึกษากันว่า พระราชาจักทรงทำอะไรพวกเราได้ พวกเราจงปล่อยให้คนใจร้ายตายเสียในแม่น้ำนี้แหละ ดังนี้แล้วกล่าวว่า คนกาลกรรณี จงไปที่ชอบเถิด แล้วช่วยกันกดลงไปในน้ำ แล้วพากันว่ายกลับขึ้นไปยืนอยู่บนฝั่ง เมื่อมีผู้ถามว่า พระราชกุมารไปไหน ก็พากันตอบว่า พวกเราไม่เห็นพระกุมาร ท้าวเธอคงเห็นเมฆตั้งเค้า จึงดำลงในน้ำ ชะรอยจักล่วงหน้าไปแล้ว พวกอำมาตย์ก็พากันไปยังพระราชสำนัก พระราชาตรัสถามว่า โอรสของเราไปไหน พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้า เมื่อเมฆตั้งเค้าขึ้น พวกข้าพระพุทธเจ้าก็สำคัญว่า พระราชกุมารคงเสด็จล่วงหน้ามาแล้ว จึงพากันกลับมาพระเจ้าข้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 191
พระราชารับสั่งให้เปิดประตู เสด็จไปถึงฝั่งน้ำ ตรัสว่า พวกเจ้า จงค้นดู แล้วรับสั่งให้ค้นหาในที่นั้นๆ ไม่มีใครเห็นพระกุมาร ฝ่ายพระกุมารนั้นเล่า ในเวลาที่เมฆมืดครึ้ม ฝนตกกระหน่ำ ลอยไปในแม่น้ำ เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จึงเกาะท่อนไม้ อันมรณภัยคุกคามแล้ว ร้องคร่ำครวญลอยไป.
ก็ในกาลนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง ฝังทรัพย์ ๔๐ โกฏิไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปจึงไปเกิดเป็นงูอยู่เหนือขุมทรัพย์ ยังมีอีกผู้หนึ่งฝังสมบัติไว้ตรงนั้นเหมือนกัน ๓๐ โกฏิ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปบังเกิดเป็นหนูอยู่ในที่นั้นเหมือนกัน น้ำเซาะเข้าไปถึงที่อยู่ของงูและหนูทั้งสองนั้น สัตว์ทั้งสองก็ออกมาตามทางที่น้ำเซาะเข้าไปนั้นแหละ ว่ายตัดกระแสน้ำไป ถึงท่อนไม้ที่พระราชกุมารเกาะอยู่นั้น ต่างตัวต่างขึ้นสู่ปลายท่อนไม้คนละข้าง นอนอยู่เหนือท่อนไม้นั้นแล ก็ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง มีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่ง ลูกนกแขกเต้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น ถึงต้นงิ้วนั้น ก็ถูกน้ำเซาะราก โค่นลงเหนือแม่น้ำ เมื่อฝนกำลังตก ลูกนกแขกเต้าไม่สามารถบินไปได้ ก็ลอยไปเกาะแอบอยู่ด้านหนึ่งของท่อนไม้นั้น ด้วยประการดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่ารวมกันเป็น ๔ คน ล่องลอยไป.
ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤาษี สร้างศาลาอาศัยอยู่ที่คุ้งน้ำตอนหนึ่ง ท่านกำลังจงกรมอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ได้ยิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 192
เสียงร่ำไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร ก็ดำริว่า ในเมื่อดาบสผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่ จะปล่อยให้บุรุษนี้ตาย ไม่ควรเลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้ำ ให้เขารอดชีวิต แล้วก็ปลอบพระราชกุมารว่า อย่ากลัวเลย ว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะท่อนไม้ ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา ท่านมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง ครั้นเห็น สัตว์ทั้งหลายมีงูเป็นต้น ก็ช่วยนำขึ้นไปสู่อาศรมบท ก่อไฟแล้ว คิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่า ก็ให้งูเป็นต้นผิงไฟก่อน ให้พระราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทำให้หายหนาว ถึงเมื่อจะให้อาหาร ก็ให้แก่งูเป็นต้นก่อน แล้วนำผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ดาบสโกงผู้นี้ มิได้นับถือเรา ผู้เป็นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์ดิรัจฉาน จึงผูกอาฆาตในพระโพธิสัตว์ แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สองสามวัน ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด มีเรี่ยวแรงเป็นปกติแล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำก็แห้งแล้ว งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กระทำอุปการะอย่างใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสน ฝังเงินไว้ ๔๐ โกฏิ ในที่ชื่อโน้น เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์ ข้าพเจ้าสามารถถวายทรัพย์แม้ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้ พระคุณเจ้าจงไปที่นั้น แล้วเรียกข้าพเจ้าว่า "ทีฆะ" เถิด แล้วก็ลาไป ฝ่ายหนู ก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 193
เมื่อพระคุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า "อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป ส่วนนกแขกเต้า ไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์ แต่เมื่อพระคุณเจ้าจะต้องการข้าวสาลีแดงละก็ โปรดไปที่อยู่ของข้าพเจ้า ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า "สุวะ" ข้าพเจ้าสามารถจะบอกแก่ฝูงญาติ ให้ช่วยขนข้าวสาสีสีแดงมาถวายได้ หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป ฝ่ายพระราชกุมาร เพราะฝังใจในธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นสันดาน คิดได้ว่า การที่เราจะไม่พูดอะไรๆ บ้าง ไปเสียเฉยๆ ไม่เหมาะเลย เราจักฆ่าดาบสเสีย เวลาที่ท่านมาหาเรา จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิด กระผมจักบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป พระกุมารนั้นเสด็จไปได้ไม่นาน ก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.
พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว จึงไปสู่สำนักงูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่าง เรียกว่า "ทีฆะ" เพียงคำเดียว เท่านั้น งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุดค้นขนเอาไปให้หมดเถิด พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปสำนักของหนู เอ่ยเสียงเรียก แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน พระโพธิสัตว์ก็บอกให้หนูกลับไป เลยไปสำนักนกแขกเต้า เรียกว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 194
"สุวะ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเหมือนกัน นกแขกเต้าก็โผลงจากยอดไม้ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลีที่เกิดเอง จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน บอกให้นกแขกเต้ากลับไป แล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา จึงไปพั อยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สำรวมมรรยาทเรียบร้อย เข้าไปสู่พระนคร ด้วยภิกขาจารวัตร ในขณะนั้น พระราชาผู้ทำลายมิตรพระองค์นั้น ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว กระทำประทักษิณพระนคร ด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แต่ไกลทีเดียว ทรงพระดำริว่า ดาบสผู้นี้ คือดาบสโกงคนนั้น คงประสงค์จะอยู่ในสำนักของเรา จึงได้มา ต้องให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที มิทันให้แกประกาศคุณที่ทำไว้แก่เราในท่ามกลางฝูงคนได้ แล้วทรงมองดูราชบุรุษ ในเมื่อราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต้องทำอะไร พระเจ้าข้า จึงรับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น ชะรอยจะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณีผู้นั้น เห็นเรา จับมันไปมัดมือไพล่หลัง เฆี่ยนทุก ๔ แยก นำออกจากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้ ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พากันไปมัดพระโพธิสัตว์ ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔ แยก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 195
แล้วเตรียมจะนำไปสู่ตะแลงแกง พระโพธิสัตว์มิได้คร่ำครวญเลยว่า พ่อแม่ทั้งหลาย ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ปราศจากความสะทกสะท้าน กล่าวคาถานี้ ความว่า.
"เป็นความจริงดังที่ได้ยินมาว่า คนบางจำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ำยังประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ กิเรวมาหํสุ ความว่า ได้ยินว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่างนี้ไม่ผิดเลย.
บทว่า นรา เอกจฺจิยา อิธ ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต บางพวกในโลกนี้.
บทว่า กฏฺํ นิปฺผวิตํ เสยฺโย ความว่า ได้ยินว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ที่กล่าวว่า ไม้แห้งที่เป็นไม้เบาๆ ลอยอยู่ในแม่น้ำ เอาขึ้นวางไว้บนบกนั้นประเสริฐกว่า คือมันยังดีนั้น กล่าวไว้เป็นความจริง เพราะเหตุไร เพราะว่าไม้นั้น ยังเป็นอุปการะแก่ความต้องการ ในอันจะต้มจะหุงข้าวยาคูและข้าวสวยก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการในอันจะผิงไฟของหมู่ชนผู้เดือดร้อนด้วยความหนาวก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการในอันกำจัดอันตรายอื่นๆ ก็ได้.
บทว่า น เตฺวเวกจฺจิโย นโร ความว่า ส่วนบุคคลบางคน คือคนทำลายมิตร คนอกตัญญู คนใจบาป ถูกกระแสน้ำพัด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 196
ลอยไป ช่วยฉุดมือให้ขึ้นจากแม่น้ำได้ ไม่ประเสริฐเลย เป็นความจริงทีเดียว เราช่วยคนใจบาปนี้ให้รอดชีวิตได้ กลับเป็นอันนำทุกข์มาให้ตน.
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ ในที่ที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ด้วยประการฉะนี้.
ฝูงชนต่างได้ยินคำเป็นคาถานั้น ท่านพวกที่เป็นบัณฑิตในหมู่นั้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ ท่านกระทำคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ พระโพธิสัตว์ จึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า เราเองเป็นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้นจากห้วงน้ำใหญ่ กลับเป็นการทำทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามาหวลรำลึกได้ว่า เราไม่ได้กระทำตามคำของบัณฑิตแต่ครั้งก่อน สิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้ ชาวพระนคร มีกษัตริย์และพราหมณ์เป็นต้น ฟังคำนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชาผู้ทำลายมิตร มิได้รู้แม้มาตรว่าคุณของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยพระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้ พระองค์นี้ พวกเราจะมีความเจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น ลุกฮือขึ้นโดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้งๆ ที่ยังอยู่บนคอช้างนั่นเอง ด้วยเครื่องประหาร มีลูกศร หอกซัด ก้อนหินและไม้ค้อนเป็นต้น แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู แล้วอภิเษกพระโพธิสัตว์ให้ดำรงราชย์สืบแทน.
ส่วนพระโพธิสัตว์ดำรงราชย์โดยธรรม วันหนึ่งทรงปรารภจะทดลองสัตว์มีงูเป็นต้น จึงเสด็จไปที่อยู่ของงู ตรัส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 197
เรียกว่า "ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด พระราชามีพระดำรัสให้อำมาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แล้วเสด็จไปสำนักของหนู ตรัสเรียกว่า "อุนทุระ" (* บาลี อุนฺทุ) หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ ๓๐ โกฏิ พระราชามีดำรัสให้อำมาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้ เสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า รับสั่งเรียกว่า "สุวะ" แม้นกแขกเต้าก็บินมาซบไหว้พระบาทยุคลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านเจ้าพระคุณ ข้าพเจ้าจะไปนำข้าวสาลีมาให้ พระราชารับสั่งว่า เมื่อจะต้องการข้าวสาลี จึงค่อยนำมาเถิด เรามาพากันไป แล้วทรงพาสัตว์ทั้ง ๓ กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิ ไปพระนคร รับสั่งให้ทำทะนานทอง พระราชทานเป็นที่อยู่ของงู ถ้ำแก้วผลึกเป็นที่อยู่ของหนู กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า พระราชทานข้าวตอกคลุกน้ำผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน พระราชทานข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น คนทั้ง ๔ แม้นั้นต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม.
พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามจะฆ่าเราเสีย แม้ในครั้งก่อน ก็พยายามมาแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาผู้ร้ายกาจในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ งู ได้มาเป็นพระสารีบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 198
หนู ได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ นกแขกเต้า ได้มาเป็นอานนท์ ธรรมราชาผู้เถลิงราชย์ในภายหลัง ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสัจจังกิรชาดก