ปฏิบัติธรรม
อาทิตย์ ๑๙ ต.ค. ๕๑
นิรันด์ อาจารย์ก็บอกว่าเราควรทำความดี เท่าที่
อาจารย์ ก็เมื่อกี้ ก็บอกว่าควรทำใช่ไหมคะ แต่ก็ลืม เพราะว่าสะสม ความไม่รู้มามากกว่าจะเห็นจริงๆ ว่าอะไรแน่ที่เป็นประโยชน์ในชีวิตไม่ใช่โลภะ โทสะ โมหะ ที่เป็นประโยชน์
นิรันด์ แล้วชีวิตเราจะอยู่เพื่ออะไร ถ้าเราคิดว่าจะอยู่ไปวันหนึ่งๆ เอาตัวรอดไปวันหนึ่งๆ ในโลกนี้น่ะ
อาจารย์ เวลาที่มีชีวิตเอาตัวรอดไปวันหนึ่งๆ รู้อะไรหรือเปล่าเข้าใจอะไร หรือเปล่า เป็นเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรม
นิรันด์ ก็มีเวลาที่ฟังธรรมบ้าง
อาจารย์ กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมและอะไรประโยชน์สูงสุด ยากนะคะที่จะละความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะเกิดมาก็มีสิ่งนี้แล้ว เกิดมาก็มีเห็น จะไม่ให้ติดในสิ่งที่เห็นได้ยังไง เพราะไม่รู้ความจริงของเห็น เพราะฉะนั้นรูป เสียง กลิ่น รส เป็นเหยื่อล่อเป็น “อามิส” เป็น “โลกามิส” ประจำโลก ไม่พ้นไปได้เลยตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ถึงแม้ว่าเห็นโทษแล้วทำให้จิตสงบระงับจากความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพียงชั่วคราว ถ้าปัญญาไม่รู้จริงๆ ว่าขณะนั้นน่ะไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลแล้วเป็นสิ่งที่แสนสั้นเพียงปรากฏเท่านั้นเอง ทำอะไรไม่ได้ กับสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน แล้วก็หมดไป เกิดมาก็บังคับให้เกิดไม่ได้ หมดไปก็บังคับให้หมดไปไม่ได้ เพียงปรากฏแล้วก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏอย่างมาก จนกว่าจะรู้ความจริงจากการฟังธรรมว่ายากแสนยาก ที่จะละความติดข้องในรูปเสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่เห็นที่ได้ยิน สะสมไว้มากมายมหาศาล
เพราะฉะนั้น แม้เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล นี่ก็แสดงให้เห็นว่าความติดข้องด้วยความไม่รู้นี้มากมาย ความไม่รู้มีมากในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นก็มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มากจนกระทั่งสามารถเป็นกิเลสที่มีกำลังถึงระดับที่ทำอกุสลกิจได้ เพราะฉะนั้นจะพ้นจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ อามิสมี ๓ ซึ่งล่อที่จะให้เราอยู่ในสังสารวัฏฏ์หรือในโลก ก็ลองคิดดู สิ่งที่ปรากฏทางตาล่อให้ติด ป้ายรถเมล์ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพียงแค่เห็นก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วนึกคิดไปในเรื่องของสิ่งนั้น ซึ่งความจริงจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะดับไป ไปแต่ว่าเกิดสืบต่อเร็วจนกระทั่งเป้นเรื่องราว ปกปิดความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นแต่เพียงนิมิตปรากฏให้ไม่รู้และติดข้อง “โลกามิส” ขณะนั้นกิเลสเกิดขึ้นพอใจ “กิเลสามิส” เป็นปัจจัยให้ไม่พ้นจาก “วัฏฏามิส”
คุณนิรันด์อยากให้เขาทำอย่างที่คุณนิรันด์ต้องการใช่ไหมคะทุกชาติไป ชาตินี้เป็นอย่างนี้ วันนั้นแล้ววันนี้ก็จะมีสิ่งที่พอใจทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องราวด้วย เรื่องราวจากสิ่งที่ปรากฏ ที่พอใจก็มีอยากให้เป็นอย่างที่ให้เป็นอย่างนี้ ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุปัจจัยชั่วขณะที่ปรากฏระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ควรเข้าใจธรรมค่ะ กุศลทุกคนอยากมีมากๆ แต่ไม่ได้เกิดตามความหวัง แต่ต้องตามเหตุตามปัจจัย
คุณนิรันด์เข้าใจเองได้ไหม จะเข้าใจเองได้ยังไงถ้าเข้าใจเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วนะคะ ไตร่ตรองมีความเข้าใจถูก มั่นคงขึ้นหรือยัง คนอื่นทำให้ไม่ได้เลยค่ะ ทุกคนฟังธรรมเหมือนกัน
นิรันด์ เราเข้าใจผิดใช่ไหม ที่เราคิดว่าเราต้องทำอะไรแรงๆ เราจึงจะได้สิ่งที่เราต้องการ นี่เรามีความเข้าใจผิดทางธรรมใช่ไหมครับ
อาจารย์ ดีหรือเปล่าทำอย่างนั้น
นิรันด์ ....รู้ว่าไม่ดีครับ
อาจารย์ รู้ว่าไม่ดีแล้วจะทำอีกไหมในภายหลัง
นิรันด์ รู้ว่าไม่ดีแล้วจะทำอีกไหมในภายหลัง แต่ได้รับผลตอบแทนที่ดี นี่ผมเข้าใจผิดใช่ไหม ผลของที่ดีนั้นไม่ได้มาจากสิ่งที่ผมกระทำไปแรงๆ
อาจารย์ ได้อะไรคะ ทำอย่างนั้น ที่ว่าได้ๆ น่ะ
นิรันด์ ได้ในสิ่งที่เราหวัง เราต้องการ
อาจารย์ ขณะที่กำลังทำ ขณะนั้นเป็นอะไร
นิรันด์ เป็นอกุศลจิต
อาจารย์ ได้แล้วสำเร็จแล้วเป็นอะไร
นิรันด์ เป็นอกุศลกิจธุระ
อาจารย์ ก็เป็นอกุศลไปหมด
นิรันด์ จากที่ได้คุยนี้ ผมก็พอจะรู้ว่าต่อไปผมก็ไม่ควรที่จะทำ
อาจารย์ ประโยชน์ตนก็คือเข้าใจถูกต้อง เหมือนปัญญาที่ส่องตา จากการที่ไม่รู้อะไรเลย เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดหรือเปล่าในตอนนั้นเป็นไปตามการสะสมไม่เป็นไปอย่างนั้นก็ไม่ได้ ทำทุกอย่างๆ นี้ เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ฟังซิคะ จะได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะรู้แล้วว่าคิดเองไม่ได้ คิดอะไรก็คิดได้ แต่ถึงเวลาจริงๆ ใครจะรู้ว่าใครจะทำยังไง ตราบใดที่ยังไม่ได้หมายความว่าจะให้คนนั้นทำอย่างนั้น คนนี้ทำอย่างนี้นะคะ เพราะว่าทุกคนสะสมมาโดยที่ตัวเองก็รู้ว่าไม่ดีก็ยังทำ อย่างนี้ดีกว่าค่ะ
เข้าใจว่าเป็นธรรมมากขึ้น ปัญญาจะค่อยๆ เกิดเป็นของตัวเอง มิฉะนั้น คำถามไม่เว้นแต่ละวัน ตอบก็ไม่เว้นแต่ละวันแต่ละเรื่องด้วย แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ก็เป็นปัญญาของตัวเอง แล้วก็รู้ว่าคำตอบดีๆ ตั้งเยอะแยะ ช่วยอะไรไม่ได้เลย เวลาที่อกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดก็เพราะเหตุว่า ถ้าเข้าใจเพียงพอเป็นพระโสดาบันหรือยัง แม้พระโสดาบันก็ยังมีโลภะ โทสะแล้วเราเป็นใคร หรืออยากจะเป็นพระอรหันต์ไม่มีกิเลสเลย หรือยังไง หรือว่าใครรู้ว่าดีก็บังคับได้ทำดีตลอดก็เป็นไปไม่ได้ นั่นคือไม่เข้าใจธรรม มิฉะนั้น การละคลายกิเลสจะไม่ต้องเป็นไปตามลำดับเลย แต่นี่ต้องตามลำดับขั้น ตราบใดที่ยังเป็นเราไม่สามารถที่จะละกิเลสใดๆ ได้เลย ดีเท่าไรก็ยังเป็นเราดีไหมล่ะพอไหม ดีเท่าไรก็ยังเป็นเรา ดีพอไหม ถ้ายังเป็นเรา เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ
พระพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงตามความเป็นจริง เมื่อละอกุศลแล้ว ห้ามใครได้หรือเปล่า นอกจากให้คนนั้นมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้วก็เป็นกุศล แล้วความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วพระองค์จะทรงห้ามหรือคะ นอกจากจะแสดงความจริงให้คนฟังเข้าใจด้วยตัวเอง แล้วค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก กุศลทั้งหลายเจริญขึ้นตามความเห็นถูก ก็ไม่ได้ตอบอย่างนี้
นิรันด์ ผมฟังเทปใน MP3 บางครั้งอาจารย์ก็ไม่ได้ตอบอย่างนี้
อาจารย์ ตอบว่าไงคะ
นิรันด์ อย่างที่คุณนิภัทรพูดว่า ผมมักจะพูดสิ่งที่ไม่ดีเวลาตอบธรรมกับผู้อื่นรู้ตัวว่าไม่ดี อาจารย์ก็จะบอกว่าสิ่งที่ไม่ดีควรละ ควรเจริญความดีให้ถึงที่สุด
อาจารย์ ก็แนะนำแล้วยังไงล่ะ แล้วเป็นอย่างนั้นได้หรือเปล่า แต่ทุกคำที่จริงไม่ผิดกันไม่ใช่หรือคะ ในเมื่อเป็นคำจริง ก็ยังคงจะพูดอย่างนั้น แต่เป็นไปได้ไหมถ้าไม่มีปัญญา ถ้าไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจธรรมก่อนค่ะ อุปสรรคของการฟัง ก็มีคือเป็นเราที่ฟังธรรม ที่ศึกษาธรรมที่เข้าใจธรรมอยากรู้ธรรม นั่นคือเราศึกษาธรรมด้วยความเป็นตัวตน แต่เพราะไม่รู้ จึงเป็นเราฟังธรรม เพื่อมีความเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็ไม่เดือดร้อนเมื่อระลึกได้และรู้ว่าเป็นธรรม
อรวรรณ ขอสนทนากับคุณนิรันด์นิดหนึ่ง สมัยที่ทำธุรกิจเจอบุคคลเช่นที่คุณนิรันด์เล่าก็จะขึ้น Black List เอาไว้ ว่าไม่รับเป็นลูกค้าจริงๆ ว่าคนประเภทนี้จะต้องการอะไรจะไม่ฟังเหตุผล โวยวายให้ได้จะ Black List ไว้เลยจำไว้เลยเข้ามายังงี้อู่เต็มไม่ว่าง เหตุผล๑๐๘ ที่จะไม่รับเป็นลูกค้า
นิรันด์ ถ้าใครที่ร้ายที่สุดในการต้อนรับ ผมจะจัดห้องที่ดีที่สุดให้เขาบริหารเขาให้ดีที่สุด
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ