เรียนถามท่านผู้รู้พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงหนทางเพื่อให้แยกรูป แยกนาม ไว้หรือไม่ครับ เห็นบางสำนักปฏิบัติสอนให้นั่งสมาธิ เดินจงกรม จนเกิดสติและสมาธิ เพื่อเพิกบัญญัติ เพื่อแยกรูป แยกนาม ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงหนทางการดับกิเลสไว้ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ หรือสติปัฏฐาน สติปัฏฐาน ๔ คือการรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่เป็นรูปและนามตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อปัญญาเจริญขึ้น จนถึงปัญญาที่แทงตลอดสภาพธรรม ที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม แยกนามและรูป จากกันด้วยปัญญา ที่เป็นปัญญาระดับวิปัสสนาญานคือ นามรูปปริจเฉทญาน ซึ่งเป็นการแยกรูปและนามขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก่อนจะถึงนามรูปปริจเฉทญาน การอบรมปัญญา เพื่อถึงตรงนั้น ก็โดยเริ่มจากการฟังให้เข้าใจ ในเรื่องของสภาพธรรมว่า ธรรมคืออะไร จนเป็นปัจจัยให้ สติและปัญญาเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จนทั่วทั้ง ๖ ทวาร และเมื่อสติเกิดบ่อยๆ จนถึงจุดที่ปัญญาแก่กล้า นามรูปปริจเฉทญานที่แยกรูปและนาม ก็จะเกิดขึ้น เพราะอาศัยการที่สติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ นั่นเอง แต่ไม่ใช่เกิดจากการเข้าใจว่าสติ ปัญญา เกิดหรือจะแยกรูปนามได้ด้วยการเดินจงกรมหรือการนั่งสมาธิครับ เพราะขณะที่สติปัฏฐานเกิดก็เป็นการเพิกบัญญัติซึ่งสามารถเกิดได้ ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องไปนั่งสมาธิและเดินจงกรม
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
นาม-รูป แยกกันอยู่แล้ว รู้ได้คนละขณะ คนละทวาร แม้วิญญาณ ๕ ก็รู้ได้ทางมโนทวารเท่านั้น ทางปัญจทวารก็รู้ได้เพียงรูปเท่านั้น ถ้ามีความเป็นเราไปเป็นผู้แยกนาม-รูป คงไม่ได้กระมังครับ ก็คงต้องประจักษ์ ความต่างลักษณะกัน ของนาม-รูป นั่นแหละ ทิฎฎิสัมปยุตในรูป เป็นต้น เกิดขึ้นในสมัยใด ในสมัยนั้น สังขารย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย นาม-รูป เกิดขึ้นเพราะสังขารเป็นปัจจัย ฯลฯ
และมิใช่ทางมโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ แต่เป็นที่ชวนวิถีจิต ๗ ขณะ
จิตเบื่อ เป็นนามหรือเป็นรูป และเวลาจิตอยู่กับลมหายใจเข้าออก เป็นลักษณะตามรู้ เป็นสติหรือไม่ แต่รู้ว่าสบาย ที่อยู่กับลมหายใจเข้าออก โล่ง ไม่วุ่นวายดี ไม่คิดเยอะ
ขออนุโมทนากุศลจิตทุกท่าน
ขณะที่เบื่อ ขณะนั้นจิตเป็นไปกับอกุศล อกุศลจิตที่เกิดเป็นนาม นามคือสภาพรู้ ธาตุรู้นามที่กำลังเบื่อ เป็นไปกับความขัดเคืองเพราะไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา รูปเบื่อไม่ได้ รูปไม่ใช่สภาพรู้ รูปเป็นธาตุไม่รู้ เพราะรูปเกิดขึ้นมาแล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น
ส่วนขณะที่กำลังตามรู้ลมหายใจเข้า-ออก ถ้ามีการเพ่งเล็ง จดจ้อง ต้องการ ขณะนั้นเป็นอกุศล เป็นโลภะ ไม่ใช่สติ เพราะสติไม่เกิดกับอกุศล สติต้องเกิดกับจิตที่ดีงามเท่านั้น ขณะที่หวังความสบายกาย หวังความไม่ฟุ้งซ่านจากการนั่งสมาธิ ขณะนั้นก็ไม่ใช่สติ แต่เป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้น ควรอบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจขึ้นดีกว่าครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ