กิเลส หมายถึงอะไรครับ ใช่เจตสิกที่เกิดกับจิต หรือเปล่า
การละกิเลส ต้องละเป็นลำดับขั้น ขั้นแรก ต้องละอะไร ขั้นสอง ต้องละอะไร ขั้นสามต้องละอะไรครับ ช่วยตอบหน่อย
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กิเลส คือธรรมเป็นเครื่องเศร้าหมอง คือทำให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วย คือจิต เศร้าหมอง กิเลสเป็นเจตสิก กิเลสต้องละเป็นลำดับ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก่อนครับ แต่ที่สำคัญต้องเริ่มจากปัญญาขั้นการฟังก่อน คือฟังให้เข้าใจ คือ เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ความคิดเห็น โดย study
ธรรมที่ทำให้จิตเศร้าหมองเรียกว่ากิเลส มี ๑๐ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ
กิเลสทั้งหมดนี้ จะละได้ด้วยปัญญาขั้นโลกุตตรปัญญา และละได้ตามลำดับมรรค คือ
มรรคที่ ๑ โสตาปัตติมรรค ละทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็นผิดจากความเป็นจริง และละวิจิกิจฉา ความสงสัยในคุณพระรัตนตรัยเป็นต้น ส่วนกิเลสที่เหลือยังละไม่ได้
พระอนาคามี ละโทสะได้ กิเลสที่เหลือต้องอาศัยปัญญาขั้นอรหัตตมรรคจึงจะละได้
สรุปคือ กิเลสจะละได้ตามลำดับขั้น ลำดับแรกจะละโลภะ โทสะ โมหะ ยังไม่ได้ ต้องละความเห็นผิดก่อน กิเลสที่เหลือจะละได้เมื่อปัญญาขั้นสูงกว่านั้น
วันที่ 15-11-2549
กิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อกิเลสเกิดขึ้นย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง
โลภะ เป็นสภาพที่ติดข้อง ผูกพัน ยินดีพอใจ ชอบใจ ในชีวิตประจำวันเรามีโลภะเป็นปกติ โลภะมีทั้งระดับที่เกิดขึ้นพอใจชอบใจเป็นปกติ และมีทั้งระดับที่มีกำลังแรงกล้าถึงขั้นที่ล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรม ทำให้บุคคลอื่นเดือดร้อน,
โลภะ เป็นอกุศลธรรม ต่างกันกับ อโลภะ ซึ่งเป็นกุศลธรรม เราไม่สามารถบังคับไม่ให้โลภะเกิดขึ้นได้ เพราะว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ถ้าเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญปัญญา ก็สามารถรู้ลักษณะของโลภะเมื่อโลภะเกิดขึ้นปรากฏได้ ครับ
โทสะ เป็นสภาพที่ประทุษร้าย ขุ่นเคือง ไม่พอใจ โกรธ หงุดหงิด น้อยใจ เสียใจ กลัว ทั้งหมดเป็นลักษณะของโทสะ โทสะมีหลายระดับขั้น ในชีวิตประจำวัน โทสะ ก็สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น ในขณะที่โกรธ ไม่พอใจบุคคลบางคน แล้วกล่าวคำที่ไม่น่าฟังกับบุคคลนั้นออกไป ขณะนั้นก็รู้ได้ว่าเป็นโทสะ นอกจากนั้นแล้วขณะที่น้อยใจ เสียใจ หรือกลัว ไม่ว่าจะเป็นกลัวภัยในชีวิต กลัวอันตรายต่างๆ กลัวความเจ็บป่วยเป็นต้น ก็เป็นกิเลสประเภทโทสะ เพราะเป็นลักษณะที่ไม่ชอบในอารมณ์ หนทางที่จะดับโทสะได้ คือ อบรมเจริญปัญญาเท่านั้น จึงจะดับโทสะให้หมดสิ้นไปได้
โมหะ เป็นความหลง เป็นความไม่รู้ ขณะที่โมหะเกิดขึ้นย่อมเป็นความมืดบอด เป็นความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจกุศล ไม่เข้าใจอกุศล ไม่เข้าใจกรรมและผลของกรรม ไม่เข้าใจหนทางที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลส พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าโมหะ (หรืออวิชชา) เป็นมูลรากของอกุศลธรรมทั้งหลาย
เมื่อกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิเลสประเภทใด ย่อมเป็นสิ่งที่น่ากลัวทั้งนั้น ผู้ที่มีปัญญา ท่านจะเป็นผู้ที่มีปกติเห็นภัยในกิเลส ในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
Khampun
วันที่ 27-05-2551
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
กิเลสเป็นสภาพธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ เศร้าหมอง
ดับกิเลสอย่างไร
อยากไม่มีกิเลส จะดับอย่างไร
เหตุใดผมจึงศึกษา ๑๓__เพราะมีหนทางดับกิเลส
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อย่าเพิ่งคิดที่จะละอะไรเลยครับ เพราะพระธรรมไม่ใช่ How to ที่ใครจะมาบอกให้ทำตาม ๑, ๒, ๓ แล้วจะละกิเลสได้ ต้องรู้จักความจริงก่อนครับ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจก่อนว่า "ความจริงคืออะไร" พิจารณาความจริงที่ได้ฟังอย่างเป็นเหตุเป็นผลจนเกิดปัญญาของตนเอง กิเลสทุกประการไม่กลัวใครเลยนอกจากปัญญา แต่ปัญญาขั้นฟังก็ยังทำอะไรกับกิเลสไม่ได้มาก
จึงไม่ควรคิดที่จะละกิเลสถ้ายังไม่รู้จักกิเลสตามความเป็นจริง ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ตามลำดับขั้น ดังนี้ คือ
- สุตมยปัญญา (ขั้นฟัง)
- จินตามยปัญญา (ขั้นคิด)
- ภาวนามยปัญญา (ขั้นรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงจนประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้สิ้นเชิง)
ปัญญาทุกขั้นเกื้อกูลกันทั้งหมด ถ้าขั้นแรก ปัญญายังไม่พอ ขั้น ๒, ขั้น ๓ ย่อมเกิดไม่ได้ การละกิเลสก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ครับ
ขออนุโมทนาทุกความเห็นค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
กิเลส คือ ขณะนี้เอง
อนุโมทนาทุกความคิดเห็นค่ะ
กิเลสเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เกิดร่วมกับอกุศลจิต ขั้นแรก ละ ความเห็นผิดก่อน การที่จะละกิเลสได้ ต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคล เช่น พระโสดาบันละความเห็นผิด ละวิจิกิจฉา ละความริษยา ความตระหนี่ ละข้อปฏิบัติที่ผิด สำหรับพระสกทาคามี บรรเทากามราคะและความโกรธได้ แต่จะดับความโกรธได้ต้องบรรลุเป็นพระอนาคามี สำหรับพระอรหันต์ ดับมานะ ดับอวิชชา ดับความยินดีในภพได้ ละกิเลสที่เหลือหมดค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กิเลส คือ นายช่างเรือน ช่างหาทุกอย่าง ที่เราชอบทั้งนั้นเลย พอเราชอบแล้ว ติดแล้ว
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
อนุโมทนา สาธุครับ
ขออนุโมทนาครับ
ธรรมคือทาน