สภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิตประจำวัน
โดย เมตตา  27 ก.พ. 2552
หัวข้อหมายเลข 11373

...ธรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ในหนังสือตำรา พระอภิธรรมไม่ใช่อยู่ในตำราและไม่ได้อยู่ที่อื่น แต่มีอยู่ในขณะนี้ ขณะเห็น ขณะได้ยิน....ขณะคิดนึก ขณะติดข้อง

ขณะโกรธ ขณะศรัทธา ขณะปิติ... ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิต-ประจำวันเป็นแต่เพียงจิต เจตสิก รูปเท่านั้นที่เกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลาเป็นไป

ตามเหตุตามปัจจัย พระอภิธรรม หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิต

ประจำวัน แต่ที่เป็นพระอภิธรรมก็เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่ละเอียด ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ เพื่อที่จะให้เห็นว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์

ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน



ความคิดเห็น 1    โดย orawan.c  วันที่ 27 ก.พ. 2552

ขอเชิญคลิกอ่าน...

ทำไมต้องศึกษาพระอภิธรรม


ความคิดเห็น 2    โดย พุทธรักษา  วันที่ 27 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ.


ความคิดเห็น 3    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 27 ก.พ. 2552

เชิญคลิกอ่านเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง อนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 4    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 27 ก.พ. 2552

ขณะนี้ ยังไม่ประจักษ์ ก็พูดไม่ได้ อธิบายไม่ถูก


ความคิดเห็น 5    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 27 ก.พ. 2552
เช่น "ดัง" เป็นเสียง หรือ ได้ยิน

ความคิดเห็น 6    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 27 ก.พ. 2552

ดัง...เป็น..เสียง.....เป็นรูปได้ยิน เป็นจิต เป็นนามธรรม


ความคิดเห็น 7    โดย เมตตา  วันที่ 27 ก.พ. 2552

ขณะนี้ยังไม่ประจักษ์ แต่เมื่อมีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมตรง

ตามความเป็นจริง สักวันหนึ่งความเห็นถูกเข้าใจถูกย่อมเป็นปัจจัยให้ประจักษ์ได้

การฟังพระธรรม แล้วก็จะให้เข้าใจจนประจักษ์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะต้องอบ-

รมเจริญปัญญา และอบรมเจริญสติเพื่อที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายตรง

ตามความเป็นจริง จิรกาลภาวนา......

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย พุทธรักษา  วันที่ 27 ก.พ. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11373 ความคิดเห็นที่ 4 โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ

ขณะนี้ ยังไม่ประจักษ์ ก็พูดไม่ได้ อธิบายไม่ถูก


ขณะนี้ ยังไม่เข้าใจ.......ก็ไม่เป็นไรนี่คะเพราะข้าพเจ้าก็ยังไม่ประจักษ์เหมือนกันถึงยังอดทนที่จะฟัง และอ่าน และค่อยๆ พิจารณาให้เข้าใจเท่านั้น.
แม้กุศลขั้นทาน ขั้นศีล ก็ยังไม่ได้เกิดบ่อยจะกล่าวไปใย ถึง ขั้นภาวนา ที่ต้องอบรมด้วยความอดทนอย่างยิ่ง.
หากคุณจะไม่ใจร้อน....ศึกษาแบบสบายๆ รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ไม่รู้แต่ถ้าไม่ขาดการศีกษา...ย่อมรู้ได้ เมื่อเหตุสมควรแก่ผล.
การศึกษาพระธรรม ควรเป็นเรื่องเบาสบาย ไม่ใช่ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเครียดอย่างนั้น...ไม่ถูกต้อง และการศึกษาก็ควรเป็นไปตามลำดับโดยเริ่มปูพื้นฐาน ด้วยการเข้าใจ เรื่องปรมัตถธรรมเสียก่อนความเข้าใจขั้นพื้นฐาน ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัย แก่ความเข้าใจขั้นที่สูงขึ้นๆ สมจริงดังคำที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงไว้ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ ลำดับแรกนั้น คือ ขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง...ฯความอดทน ที่จะละอกุศลทุกประการ..........จึงไม่ใช่เรื่องง่ายความอดทน ที่จะเจริญกุศลทุกประการ ทั้งขั้นทาน ขั้นศีล และขั้นภาวนา.
รวมทั้งอดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจ ด้วยความเข้าใจว่าการอบรม เป็นจิรกาลภาวนา.
ถ้าคุณจะเริ่ม...........ด้วยการอดทนที่จะฟัง หรืออ่านให้เข้าใจก่อนก็จะเป็นการเดินไปในหนทางเดียวกัน กับผู้ที่ได้ประจักษ์ธรรมแล้วท่านเหล่านั้น ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจึงประจักษ์ธรรมได้..
.
.ถ้าคุณตั้งใจที่จะเดินหนทางนี้จริงๆ ก็ฟังให้เข้าใจก่อนไม่ควรใจร้อน....เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปแข่งขัน หรือ สอบแข่งกับใครแต่เป็นเรื่องการรู้แล้วละ....ละความสงสัย ตามกำลังปัญญาโดยไม่ใจร้อน.
การศึกษาพระธรรม ก็ดีตรงนี้ละค่ะ...คือตั้งใจฟังให้เข้าใจขึ้นๆ โดยไม่ต้องคาดหวังว่าจะต้องรู้เร็วๆ เพราะความเข้าใจ นั้นแหละ คือปัญญาขั้นหนึ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกถ้าใจร้อนอยากรู้เร็วๆ ประจักษ์เร็วๆ .......ก็จะเป็นเรื่องเครียด เรื่องหนักซึ่งไม่ใช่หนทาง......ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้สึกเบา ไม่หนัก ไม่เครียดค่ะเพื่อนร่วมหนทางนี้...ยังมีอีกมาก ไม่ต้องรีบค่ะ.....ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้เรื่องประจักษ์นั้น...แสนไกล ไม่ต้องห่วงถึงเลย.
แค่สะสมเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ มีสหายธรรมในเวปนี้ ที่มีความเข้าใจมากกว่าเรา ท่านก็ช่วยอธิบาย ด้วยความกรุณาจึงไม่ต้องรีบ เพราะรีบเมื่อไร...ก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าเมื่อนั้น..
.
.อธิบายได้เท่านี้...ด้วยความจริงใจ ไม่ทราบว่าเข้าใจหรือเปล่า.?แต่ถึงจะไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ยังไง...ก็ขอเป็นกำลังใจให้ ด้วยการนำข้อคิด จากการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ที่ได้อ่านแล้ว มาโพสต์ให้อ่านต่อไป.....เท่าที่ปัจจัยจะอำนวยถ้าคุณจะอดทนที่จะฟังต่อไป อ่านต่อไปแล้วเกิดความเข้าใจ...ไม่ใช่ความเครียดก็ขออนุโมทนาด้วยนะคะ.
ปล. หากความเห็นของข้าพเจ้า คลาดเคลื่อนจากความรู้สึกจริงๆ ของคุณประการใด...ก็ขออภัยด้วยนะคะ.


ความคิดเห็น 9    โดย เมตตา  วันที่ 27 ก.พ. 2552

ความคิดเห็นที่ 8 โดยพุทธรักษา

อธิบายได้เท่านี้...ด้วยความจริงใจ ไม่ทราบว่าเข้าใจหรือเปล่า.?แต่ถึงจะไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ยังไง...ก็ขอเป็นกำลังใจให้ ด้วยการนำข้อคิด จากการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ที่ได้อ่านแล้ว มาโพสต์ให้อ่านต่อไป.....เท่าที่ปัจจัยจะอำนวยถ้าคุณจะอดทนที่จะฟังต่อไป...แล้วเกิดความเข้าใจและไม่เครียดก็ขออนุโมทนาด้วยนะคะ. ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณพุทธรักษาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย pornpaon  วันที่ 28 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 11    โดย saifon.p  วันที่ 28 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย h_peijen  วันที่ 28 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาด้วยนะค่ะ

ความคิดเห็น 13    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 28 ก.พ. 2552

ครับขออนุโมทนาครับ
"ดัง" เป็นเสียง เป็นของสาธารณะทั่วไป
ไม่ใช่ของผู้ใด สัตว์ใด และไม่ใช่การได้ยินของบุคคลใด สัตว์ใด"ได้ยิน" เป็นสภาพที่รู้เสียงของแต่ละคน แต่ละสัตว์
ย่อมรู้ลักษณะของเสียงว่าดัง

ฉะนั้น "สภาพรู้" ไม่ใช้ "สภาพดัง"

ก็อย่างที่ เราๆ ท่านๆ ปุถุชนคนทั่วไป รู้อยู่นั่นเลย
ขอแต่ว่า อย่ายึดเอาเป็นตน ปนกัน โดยรวมของสองลักษณะที่แยกนั้น
กำหนดในใจโดยแยบคายอย่างนี้ยินดีสนทนาธรรมกับทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 14    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 28 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ คุณ JANYAPINPARD

ความคิดเห็น 15    โดย เมตตา  วันที่ 28 ก.พ. 2552

เรียนคุณจำแนกไว้ดีจ๊ะ ที่คุณกล่าวว่า

"ได้ยิน" เป็นสภาพที่รู้เสียงของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ย่อมรู้ลักษณะของเสียงว่าดัง

" ได้ยิน " ไม่ได้เป็นสภาพที่รู้เสียงของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ค่ะ

" ได้ยิน " เป็นสภาพที่รู้เสียงเกิดขึ้นเพียงชั่วจิตขณะเดียวแล้วดับไป เกิดขึ้น

เพราะเหตุปัจจัย ไม่เป็นของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ไม่เป็นของใครทั้งสิ้นค่ะ

...............ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ................


ความคิดเห็น 16    โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ  วันที่ 1 มี.ค. 2552
พึงกล่าวอย่างนั้นครับคุณ เมตตา

ความคิดเห็น 17    โดย suwit02  วันที่ 1 มี.ค. 2552

สาธุ