...ธรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ในหนังสือตำรา พระอภิธรรมไม่ใช่อยู่ในตำราและไม่ได้อยู่ที่อื่น แต่มีอยู่ในขณะนี้ ขณะเห็น ขณะได้ยิน....ขณะคิดนึก ขณะติดข้อง
ขณะโกรธ ขณะศรัทธา ขณะปิติ... ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิต-ประจำวันเป็นแต่เพียงจิต เจตสิก รูปเท่านั้นที่เกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลาเป็นไป
ตามเหตุตามปัจจัย พระอภิธรรม หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดเป็นปกติในชีวิต
ประจำวัน แต่ที่เป็นพระอภิธรรมก็เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่ละเอียด ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ เพื่อที่จะให้เห็นว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์
ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ขอเชิญคลิกอ่าน...
ทำไมต้องศึกษาพระอภิธรรม
ขออนุโมทนาค่ะ.
เชิญคลิกอ่านเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง อนุโมทนาคะ
ขณะนี้ ยังไม่ประจักษ์ ก็พูดไม่ได้ อธิบายไม่ถูก
ดัง...เป็น..เสียง.....เป็นรูปได้ยิน เป็นจิต เป็นนามธรรม
ขณะนี้ยังไม่ประจักษ์ แต่เมื่อมีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมตรง
ตามความเป็นจริง สักวันหนึ่งความเห็นถูกเข้าใจถูกย่อมเป็นปัจจัยให้ประจักษ์ได้
การฟังพระธรรม แล้วก็จะให้เข้าใจจนประจักษ์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะต้องอบ-
รมเจริญปัญญา และอบรมเจริญสติเพื่อที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายตรง
ตามความเป็นจริง จิรกาลภาวนา......
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11373 ความคิดเห็นที่ 4 โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ
ขณะนี้ ยังไม่ประจักษ์ ก็พูดไม่ได้ อธิบายไม่ถูก
ขณะนี้ ยังไม่เข้าใจ.......ก็ไม่เป็นไรนี่คะเพราะข้าพเจ้าก็ยังไม่ประจักษ์เหมือนกันถึงยังอดทนที่จะฟัง และอ่าน และค่อยๆ พิจารณาให้เข้าใจเท่านั้น.
แม้กุศลขั้นทาน ขั้นศีล ก็ยังไม่ได้เกิดบ่อยจะกล่าวไปใย ถึง ขั้นภาวนา ที่ต้องอบรมด้วยความอดทนอย่างยิ่ง.
หากคุณจะไม่ใจร้อน....ศึกษาแบบสบายๆ รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็ไม่รู้แต่ถ้าไม่ขาดการศีกษา...ย่อมรู้ได้ เมื่อเหตุสมควรแก่ผล.
การศึกษาพระธรรม ควรเป็นเรื่องเบาสบาย ไม่ใช่ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเครียดอย่างนั้น...ไม่ถูกต้อง และการศึกษาก็ควรเป็นไปตามลำดับโดยเริ่มปูพื้นฐาน ด้วยการเข้าใจ เรื่องปรมัตถธรรมเสียก่อนความเข้าใจขั้นพื้นฐาน ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัย แก่ความเข้าใจขั้นที่สูงขึ้นๆ สมจริงดังคำที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงไว้ในพระโอวาทปาฏิโมกข์ ลำดับแรกนั้น คือ ขันติ เป็นตบะอย่างยิ่ง...ฯความอดทน ที่จะละอกุศลทุกประการ..........จึงไม่ใช่เรื่องง่ายความอดทน ที่จะเจริญกุศลทุกประการ ทั้งขั้นทาน ขั้นศีล และขั้นภาวนา.
รวมทั้งอดทนที่จะศึกษาให้เข้าใจ ด้วยความเข้าใจว่าการอบรม เป็นจิรกาลภาวนา.
ถ้าคุณจะเริ่ม...........ด้วยการอดทนที่จะฟัง หรืออ่านให้เข้าใจก่อนก็จะเป็นการเดินไปในหนทางเดียวกัน กับผู้ที่ได้ประจักษ์ธรรมแล้วท่านเหล่านั้น ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจึงประจักษ์ธรรมได้..
.
.ถ้าคุณตั้งใจที่จะเดินหนทางนี้จริงๆ ก็ฟังให้เข้าใจก่อนไม่ควรใจร้อน....เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปแข่งขัน หรือ สอบแข่งกับใครแต่เป็นเรื่องการรู้แล้วละ....ละความสงสัย ตามกำลังปัญญาโดยไม่ใจร้อน.
การศึกษาพระธรรม ก็ดีตรงนี้ละค่ะ...คือตั้งใจฟังให้เข้าใจขึ้นๆ โดยไม่ต้องคาดหวังว่าจะต้องรู้เร็วๆ เพราะความเข้าใจ นั้นแหละ คือปัญญาขั้นหนึ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกถ้าใจร้อนอยากรู้เร็วๆ ประจักษ์เร็วๆ .......ก็จะเป็นเรื่องเครียด เรื่องหนักซึ่งไม่ใช่หนทาง......ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้สึกเบา ไม่หนัก ไม่เครียดค่ะเพื่อนร่วมหนทางนี้...ยังมีอีกมาก ไม่ต้องรีบค่ะ.....ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้เรื่องประจักษ์นั้น...แสนไกล ไม่ต้องห่วงถึงเลย.
แค่สะสมเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ มีสหายธรรมในเวปนี้ ที่มีความเข้าใจมากกว่าเรา ท่านก็ช่วยอธิบาย ด้วยความกรุณาจึงไม่ต้องรีบ เพราะรีบเมื่อไร...ก็เป็นเครื่องเนิ่นช้าเมื่อนั้น..
.
.อธิบายได้เท่านี้...ด้วยความจริงใจ ไม่ทราบว่าเข้าใจหรือเปล่า.?แต่ถึงจะไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ยังไง...ก็ขอเป็นกำลังใจให้ ด้วยการนำข้อคิด จากการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ที่ได้อ่านแล้ว มาโพสต์ให้อ่านต่อไป.....เท่าที่ปัจจัยจะอำนวยถ้าคุณจะอดทนที่จะฟังต่อไป อ่านต่อไปแล้วเกิดความเข้าใจ...ไม่ใช่ความเครียดก็ขออนุโมทนาด้วยนะคะ.
ปล. หากความเห็นของข้าพเจ้า คลาดเคลื่อนจากความรู้สึกจริงๆ ของคุณประการใด...ก็ขออภัยด้วยนะคะ.
ความคิดเห็นที่ 8 โดยพุทธรักษา
อธิบายได้เท่านี้...ด้วยความจริงใจ ไม่ทราบว่าเข้าใจหรือเปล่า.?แต่ถึงจะไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร ยังไง...ก็ขอเป็นกำลังใจให้ ด้วยการนำข้อคิด จากการสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ที่ได้อ่านแล้ว มาโพสต์ให้อ่านต่อไป.....เท่าที่ปัจจัยจะอำนวยถ้าคุณจะอดทนที่จะฟังต่อไป...แล้วเกิดความเข้าใจและไม่เครียดก็ขออนุโมทนาด้วยนะคะ. ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณพุทธรักษาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ครับขออนุโมทนาครับ
"ดัง" เป็นเสียง เป็นของสาธารณะทั่วไป
ไม่ใช่ของผู้ใด สัตว์ใด และไม่ใช่การได้ยินของบุคคลใด สัตว์ใด"ได้ยิน" เป็นสภาพที่รู้เสียงของแต่ละคน แต่ละสัตว์
ย่อมรู้ลักษณะของเสียงว่าดัง
ฉะนั้น "สภาพรู้" ไม่ใช้ "สภาพดัง"
ก็อย่างที่ เราๆ ท่านๆ ปุถุชนคนทั่วไป รู้อยู่นั่นเลย
ขอแต่ว่า อย่ายึดเอาเป็นตน ปนกัน โดยรวมของสองลักษณะที่แยกนั้น
กำหนดในใจโดยแยบคายอย่างนี้ยินดีสนทนาธรรมกับทุกท่านครับ
เรียนคุณจำแนกไว้ดีจ๊ะ ที่คุณกล่าวว่า
"ได้ยิน" เป็นสภาพที่รู้เสียงของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ย่อมรู้ลักษณะของเสียงว่าดัง
" ได้ยิน " ไม่ได้เป็นสภาพที่รู้เสียงของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ค่ะ
" ได้ยิน " เป็นสภาพที่รู้เสียงเกิดขึ้นเพียงชั่วจิตขณะเดียวแล้วดับไป เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ไม่เป็นของแต่ละคน แต่ละสัตว์ ไม่เป็นของใครทั้งสิ้นค่ะ
...............ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ................
สาธุ