ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๒
โดย khampan.a  16 ต.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 44767

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๒


~ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ยากแสนยากกว่าจะได้มาแต่ละคำ ทำให้ผู้ฟังสามารถไตร่ตรองและเป็นปัญญาของผู้ฟังเอง ที่สำคัญที่สุด คือ สามารถทำให้เกิดปัญญา ความเห็นถูก ของตนเอง เป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด ไม่ใช่ไปเชื่อใคร หรือใครบอกแล้วก็เชื่อ โดยไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจของตัวเอง
~ ทุกอย่างต้องอาศัยการอบรม เพราะว่าคิดถึงจิตแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว สะสมอะไรมาก อกุศลมาก กระด้าง หยาบ แข็ง ไม่อ่อน ไม่ควรแก่การงานที่จะเป็นกุศลเลย แม้ว่าได้ฟังพระธรรมที่ทรงชี้โทษของอกุศล และประโยชน์ของกุศลมากมายสักเท่าใด จิตใจก็ยังไม่อ่อนที่จะเกิดเป็นกุศลในขณะนั้นได้ จนกว่าพระธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว จะทำให้สภาพที่แข็งกระด้างของจิต ค่อยๆ อ่อนลง จนสามารถเป็นกุศลได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นอุปนิสัย
~ เห็นประโยชน์สูงสุดของการที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อเห็น เพื่อได้ยินแล้วก็ติดข้อง แล้วก็โกรธ แล้วก็ไม่ชอบ แต่ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ค่าของชีวิตที่มีอยู่ ไม่ใช่เพียงแต่เพื่อที่จะเห็นสิ่งที่พอใจ อยากจะได้สิ่งที่พอใจ ต้องการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความที่ต้องการ แต่เพื่อเห็นถูก เพื่อเข้าใจถูก
~ ผู้ที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรมเลย จะถึงความเจริญด้วยปัญญาได้ไหม เพราะเหตุว่า ความเจริญจริงๆ ไม่ใช่ความเจริญทางวัตถุหรือความเจริญของความโลภความติดข้องความต้องการ การแสวงหาสิ่งซึ่งคิดว่าน่าปรารถนา คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ ความสุขต่างๆ แต่ความเจริญจริงๆ ต้องเป็นความเจริญของจิตซึ่งมีปัญญาเริ่มเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
~ กว่าจะมีปัญญาถึงระดับจะดับกิเลส ซึ่งประการแรกที่จะดับก็คือ การยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงก็เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะเกิด ปรากฏแล้วก็หมดไป ซึ่งพิสูจน์ได้แม้ในขณะนี้เอง ไม่ได้มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เสียง ก็มี คิด ก็มี ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่างที่มี ไม่ได้รู้ ไม่ได้เข้าใจ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม
~ ถ้ายังมีกิเลส ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลกรรมวันหนึ่งวันใด ประมาทไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เพียงแต่เว้นชั่วแล้วทำความดี แต่ยังมีหนทางชำระจิตให้บริสุทธิ์ สามารถดับกิเลสได้ด้วย เพราะฉะนั้น เพียง ๒ อย่างไม่พอ เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางที่ถึงที่สุดของความรู้จริงๆ คือสามารถดับกิเลสได้ด้วย
~ เสียหายอะไรที่จะพูดคำจริง เป็นประโยชน์หรือเปล่าที่จะให้คนที่ไม่รู้ คนที่ไม่ตรง ได้เริ่มพิจารณา ให้รู้ ให้ตรง เพื่อประโยชน์ คือ จากที่เคยเข้าใจผิด เคยหลงผิด เคยทำผิด ก็จะได้รู้ความจริง ว่า "ผิด" แล้วไม่ทำอย่างนั้นอีก

~ "ไปสำนักปฏิบัติ นั่ง ยืน เดิน ทำนั่น ทำนี่ แล้วจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏได้อย่างไร" การที่กล่าวให้ได้เข้าใจความจริง เป็นการอนุเคราะห์ให้ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ไตร่ตรองว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้ไม่หลงผิด
~ แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส นำไปสู่ความเข้าใจในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ แต่ละคนไม่มีใครสามารถที่จะไปบันดาลให้ใครเป็นอะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วทั้งหมด ก็สามารถที่จะเป็นที่พึ่งทำให้คนนั้นไตร่ตรองและเข้าใจถูกต้องว่า อะไรถูก อะไรผิด
~ ถ้าเป็นธรรมแล้วจะโกรธใคร เพราะเป็นธรรม โกรธโลภะ โกรธโทสะ หรือว่าโกรธคน โกรธใคร? ถ้าเข้าใจจริงๆ ที่เข้าใจว่า เป็นคนนั้น คนนี้ เลวร้ายขนาดนั้น ขนาดนี้ ความจริง ก็คือ อกุศล ถ้าไม่ใช่อกุศลจะเลวได้ไหม ก็ไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น โกรธอะไร โกรธอกุศลไหน อกุศลนั้นก็ดับแล้วด้วย ไม่รอที่จะให้โกรธนานๆ เลย ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปทั้งนั้น ไม่มีคนจริงๆ ที่เที่ยง แต่ว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อตามการสะสม แต่ละคนจึงเป็นแต่ละหนึ่ง
~ คนหนึ่งโกรธแล้ว บอกไม่ให้โกรธได้ไหม โกรธแล้วจะไปทำอย่างไรได้ จะไปแนะนำอย่างไร เชื่อหรือเปล่า ทุกคนได้รับคำแนะนำจากพระธรรมทั้งนั้น อกุศลทั้งหมดไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ฟังเท่าไหร่ก็ยังโกรธ แล้วจะไปห้ามอะไรใครได้ นอกจากความเข้าใจเพิ่มขึ้น การที่ชีวิตของแต่ละคนจะเปลี่ยนแปลงไป จะเป็นอย่างไรก็ตามการสะสม ไม่ใช่ว่ามีคนหนึ่งคนใดที่จะไปบันดาลได้
~ โกรธคนอื่น โกรธอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ตัวเอง จะให้พ้นไหม หรือว่า เอาไว้ก่อน ห่อไปเยอะๆ? อันตรายมากเลย ไม่เห็นภัยที่ยิ่งกว่าภัยอื่น เพราะใกล้ตัวที่สุด เกิดเมื่อไหร่ก็ได้ นอนสบายๆ เป็นทุกข์ได้แล้ว เพราะกิเลส ใครทำให้? ไม่มีใครเลย แต่เป็นเพราะอกุศลที่สะสมมานั่นเอง
~
ขณะที่กำลังมีความเมตตา มีความเข้าใจ มีความเห็นใจ ขณะนั้นไม่ได้เดือดร้อนเลย พร้อมที่จะช่วยเกื้อกูล โดยเฉพาะความเห็นถูก ให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม เพราะว่า จะช่วยให้คนหมดทุกข์ไม่มีวันหมด มิฉะนั้น พระโพธิสัตว์ไม่หาทางที่จะได้รู้ความจริง ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะช่วยได้จริงๆ คือ ช่วยให้เขาหมดกิเลส หมดอกุศลซึ่ง (อกุศลนี่เอง) เป็นเหตุที่จะให้เกิดความทุกข์
~ ลาภอื่นๆ ก็ไม่ได้ติดตามไปถึงชาติหน้า แต่ว่าความเข้าใจธรรมที่สะสมมา ก็จะทำให้เป็นผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถอบรมเจริญปัญญา มีความมั่นคง ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราว เกิดมาก็ชั่วคราว ก็ต้องจากความเป็นบุคคลนี้ไป ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน
~ ปัญญาจะไม่เป็นเหตุให้อกุศลเกิด แต่เมื่อมีปัญญาแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยทำให้ธรรมฝ่ายดี คือ ทางฝ่ายกุศลเกิด
~ ถ้าเดินไปทางอกุศลก็ถึงที่ที่เป็นอบายภูมิ แต่ถ้าเดินไปในทางกุศลก็ถึงที่ที่ปลอดภัย และถ้าเดินไปในหนทางที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมก็จะพ้นจากภัยทั้งหมดได้



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๘๑


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย capacitor4  วันที่ 16 ต.ค. 2565

กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย เมตตา  วันที่ 17 ต.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย jaturong  วันที่ 17 ต.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 17 ต.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย เจียมจิต สุขอินทร์  วันที่ 18 ต.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ