สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (7) 27 ต.ค. 59
โดย kanchana.c  2 พ.ย. 2559
หัวข้อหมายเลข 28329

27 ต.ค. 59

วันนี้ท่านอาจารย์สนทนาธรรมที่โรงแรมทั้งวัน ท่านต้องการช่วยให้คุณวินเซ็นต์ (Yen Chen) ที่ดั้นด้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากไต้หวันมาพบท่าน ท่านจึงช่วยให้หลุดจากการติดในการทำสมาธิ โดยมีสหายธรรมต่างชาติเกือบทั้งหมดช่วยเกื้อกูล ไม่ว่าจะเป็นคุณนีน่า คุณซาร่าห์ คุณจอน คุณแอนน์ มาแชล ยกเว้นคุณแพทริเซียที่มาจากเบลเยี่ยม เพื่อนคุณแอนน์ ชลชินี ที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก โดยมีคุณนภาและคุณเจร่าช่วยดูแลท่านผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวชมเมืองซาปา คุณยุพินและคุณมารศรีถ่ายทอดสด ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

ส่วนพวกเราที่ติดไปหมดทุกอย่างทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ยากจะแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว นอกจากค่อยๆ สะสมความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อยด้วยการฟังธรรมด้วยดี จึงทำหน้าที่แสวงหาอารมณ์ที่ดีตามที่นายใหญ่ต้องการ แม้ขาจะตึง หัวเข่าจะปวด ก็เต็มใจทำตามนายใหญ่ทุกอย่าง ด้วยการเดินลงเขาจากโรงแรมไปขึ้นเขาอีกลูกซึ่งเป็นที่ตั้งของสวน Hom Rong ซึ่งเป็นสวนสาธารณะของซาปา ต้องเสียค่าเข้าคนละ 120 บาท (คราวก่อนไกด์บอกว่า คนละ 650 บาท คงต้องมีการทำทุจริตกรรมเพราะปากท้องหรือเพราะต้องการเก็บสะสมไว้เป็นแน่ ทำให้นึกถึงเรื่องนางเปรต 4 ตน ที่พากันร้องคร่ำครวญอย่างน่ากลัวในเวลากลางคืนที่ใกล้คูน้ำนอกกรุงราชคฤห์ว่า "พวกเรารวบรวมโภคทรัพย์โดยชอบธรรมบ้าง โดยไม่ชอบธรรมบ้าง แต่คนอื่นๆ พากันใช้สอยโภคทรัพย์เหล่านั้น แต่พวกเรากลับมีส่วนแห่งทุกข์" (จากขุททกนิกาย เปตวัตุ โภคสังหรสูตร) ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ เพราะไม่รู้ว่า แม้ตนของตนยังไม่มี บุตรและทรัพย์จะมีแต่ที่ไหน (ขุททกนิกาย ธัมมปทัฏฐกถา เรื่องอานนทเศรษฐี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "คนพาลย่อมเดือดร้อนอยู่ว่า บุตรทั้งหลายของเรามีอยู่ ทรัพย์ทั้งหลายของเรามีอยู่ ตนย่อมไม่มีแก่ตน ทรัพย์และบุตรจะมีแต่ที่ไหน เศรษฐีนอนบนเตียงเป็นที่ตายก็ดี ในชาติก่อนก็ดี ถึงทุกข์ในชาติปัจจุบันก็ดี บุตรที่ไหน ทรัพย์ที่ไหน? คำว่า "บุตรหรือทรัพย์" นำทุกข์อะไรไป หรือยังสุขอะไรเกิดขึ้นแก่เราเล่า ")

เพราะอากาศเย็นและชื้น จึงมีมอสสีเขียวเข้มขึ้นตามต้นไม้และก้อนหินเหมือนสวนในโลกดึกดำบรรพ์ มีหญ้าหนวดปลาดุกปลูกไว้รอบๆ ทางเดินค่อยๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ พวกเราพากันเดินขึ้นด้วยความปวดน่องและเข่า เพราะเดินทางไกลหลายกิโล เมื่อวันก่อน แต่ไม่มีใครย่อท้อ พากันเดินไปจนถึงลานที่มีรูปปั้นสัตว์ 12 ราศีตามคติของเวียดนาม ซึ่งมีแมวด้วย ต่างกันพากันเก็บภาพตามมุมต่างๆ

จนถึงเวลาจึงเข้าไปชมการแสดงศิลปะของชาวเขาเผ่าต่างๆ การแสดงอ่อนช้อยงดงาม ทำให้คิดว่าคงเป็นพวกที่จบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์เวียดนาม หรือคงเป็นของรัฐบาลจึงดูดีทั้งเครื่องแต่งกายและท่าทางร่ายรำ ดูเป็นมืออาชีพมากกว่าที่แสดงในร้านอาหารเมื่อวานนี้ บางคนติดข้องจนถ่ายวิดีโอมาเปิดชื่นชมซ้ำหลายครั้ง ส่วนเราเกิดความคิดแว๊บขึ้นมาเหมือนฟ้าแลบว่า ครั้งหนึ่งท่านพระสารีบุตรกับท่านพระโมคคัลลานะ ตอนที่ยังไม่ได้ออกบวช ท่านพากันไปดูมหรสพพร้อมกับบริวาร 500 เป็นประจำ เมื่อถึงการแสดงที่น่าหัวเราะก็หัวเราะ ที่ควรเศร้าโศกก็เศร้าโศก ที่สมควรให้รางวัลก็ให้รางวัล แต่มาวันหนึ่งท่านทั้งสองก็คิดขึ้นได้พร้อมกันว่า "ประโยชน์อะไรจะมีแก่พวกเราเล่าในการดูมหรสพ เพราะคนทั้งหลายเหล่านี้แม้ทั้งหมด รวมทั้งเราด้วยก็จะถึงซึ่งความตายในที่สุด เราควรจะแสวงหาโมกขธรรมที่จะหลุดพ้นจากความตายดีกว่า" จึงพากันไปแสวงหาโมกขธรรมเพื่อไม่ต้องเกิดมาเป็นอย่างนี้อีก ที่ท่านทั้งสองเกิดความคิดอย่างนี้ได้ เพราะท่านสะสมปัญญาบารมีมาพร้อมที่จะหลุดพ้นในชาตินั้นหลังจากได้ฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ส่วนเราชมมหรสพแล้วก็เพลิดเพลินกับภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน เห็นได้ถึงความต่างกันของการสะสมที่ห่างกันยิ่งกว่าฟ้ากับน้ำ หรือฝั่งนี้กับฝั่งโน้นของมหาสมุทร แต่ถ้ารู้ว่า ที่ต่างกันเพราะการสะสม ก็จะไม่ท้อถอยที่จะสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ด้วยการฟังด้วยดีมากขึ้น จนวันหนึ่งความเข้าใจก็จะเต็มเปี่ยมได้

หลังเยี่ยมชมสวน Hom Rong แล้ว ก็พาลงบันไดมาพื้นราบ เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็ไต่ขึ้นเขาไปพักผ่อนที่โรงแรมวิคตอเรีย มาครั้งก่อนอยู่โรงแรมข้างล่าง เดินผ่านแล้วอยากอยู่บนนี้จัง คราวนี้ได้อยู่จริงๆ ปรากฏว่าเหมือนถูกขัง จะไปไหนทีต้องลงบันไดสูงชันหรือเดินลงทางลาด เวลาขึ้นยิ่งลำบาก ความสมปรารถนาไม่ได้แปลว่าดีเสมอไปนะ จะรู้ว่าดีหรือไม่ ก็ต่อเมื่อได้สิ่งนั้นจริงๆ บางครั้งความไม่ได้ดังหวังก็ให้ผลดีเหมือนกัน และถ้ารู้จริงๆ ว่า จะได้หรือไม่ได้นั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้แล้ว ก็จะไม่เดือดร้อนขวนขวายให้เป็นอย่างอื่น เพราะสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วจึงเป็นอย่างนั้น จะให้เป็นอย่างอื่นได้อย่างไร และถ้ายังไม่เกิดย่อมไม่ปรากฏ นอกจากคิดไปเอง

พักผ่อนจนถึงบ่ายสาม นายใหญ่ก็สั่งให้ขึ้นรถไปขึ้นเขา Fansipan ยอดเขาที่สูงที่สุดของอินโดจีน สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,143 เมตร ถ้าเดินขึ้นใช้เวลา 2 วัน มาคราวก่อนไกด์เล่าว่า มีการแข่งขันขึ้นเขาประจำปี มีปีหนึ่งม้งจากไทยชนะที่ 1 คราวนั้นไกด์ชี้ให้ดูว่ายอดเขาฟานซิปันอยู่ตรงนั้น ไม่คาดคิดเลยว่า มาคราวนี้จะได้พิชิตยอดเขา แต่ด้วยรถกระเช้าไฟฟ้าที่ใช้เวลาก่อสร้างถึง 4 ปี เป็นของรัฐบาล สร้างโดยลูกสาวนายกเวียดนาม (ไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าถามไกด์ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในประเทศนี้) รถกระเช้าเพิ่งเริ่มเปิดให้ใช้งานครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภา ปีนี้เอง (โชคดีที่ไม่ใช่เป็นคณะแรก) ระยะทาง 6 กม. ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ค่าบริการคนละ 600,000 ด่อง (ประมาณ 900 บาท)
ระยะทางจากโรงแรมไปสถานีรถกระเช้าไฟฟ้าประมาณ 5 กม. สถานีใหญ่โตใหม่เอี่ยมสวยหรูมาก มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ต้องลงบันไดเลื่อน 3 ต่อเพื่อขึ้นรถกระเช้าใหญ่ที่จุได้ถึง 35 คน แต่รถกระเช้าก็หมุนไปเรื่อยๆ แล้วแต่ใครจะขึ้นได้กี่คน

รถกระเช้าพาพวกเราฝ่าหมอกหนาทึบจนไม่เห็นสายเคเบิล เหมือนกระเช้าลอยได้เองในบางครั้ง บางครั้งแสงแดดส่องให้เห็นพื้นป่าหนาทึบด้านล่าง เห็นน้ำตกจากยอดเขาไหลเป็นลำธารผ่านโขดหินสวยงาม ทั้งเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาแปรเปลี่ยนไปมา ไม่เที่ยง จริงตามที่ทรงแสดงไว้ แต่ก็ยังไม่ประจักษ์แม้ขั้นการฟัง เพราะยังคอยว่า เมื่อไรหมอกหนาจะเบาบางหรือหมดไปเพื่อจะได้เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาที่แปลกใหม่ สวยงามกว่าเดิมอีก ชีวิตอยู่ไม่ได้เลยสักขณะเดียวถ้าไม่มีความหวังที่เป็นนายใหญ่

รถกระเช้าพาถึงยอดเขาฟานซิปาน ยังไม่หมดแค่นั้น ต้องขึ้นบันไดไปอีกจนกว่าจะถึงยอดเขา ทั้งหนาว ทั้งชื้นเพราะหมอกหนา เดินต้องระวังเพราะพื้นลื่นและมองเห็นไม่ชัด แม้นายใหญ่อยากจะเห็นอย่างไร ก็ต้องอยู่แค่ชั้นล่างที่เป็นวิหารพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของพุทธมหายาน และเจ้าแม่กวนอิมที่แกะสลักจากหินเปลือกหยกสีเขียว อ่อนช้อยงดงามราวกับมีชีวิต

นั่งคอยผู้กล้าที่ยอมมอบกายถวายชีวิตรับใช้นายใหญ่จนถึงยอดเขา ทุกคนพร้อมกันขึ้นรถกระเช้ากลับที่พักเวลา 17.30 น. คณะเราเป็นคณะสุดท้าย ทุกคนมีสีหน้าอิ่มเอมพูดเหมือนกันว่า คุ้มที่สุด ถ้าไม่ได้มาเสียดายแย่เลย ยังไม่เห็นว่า ถ้าไม่ได้ตามโลภะก็จะเป็นโทสะทันที ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ร้อนเพราะทั้งโลภะและโทสะเป็นอกุศล ถ้าเข้าใจว่า ทั้งโลภะ โทสะ และสภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่เราก็จะดับความร้อนทั้งหมดได้ในที่สุด

ขอเชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมาได้ที่นี่ ...

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (1)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (2)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (3)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (4)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (5)

สนทนาธรรมที่ฮานอย ซาปา 2559 (6)

เพิ่ม Tag



ความคิดเห็น 1    โดย swanjariya  วันที่ 2 พ.ย. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

และขออนุโมทนากับทุกๆ ท่าน

อนุโมทนาขอบคุณมากค่ะคุณวันชัย ภู่งามผู้ถ่ายทอดบรรยากาศให้รับชมราวกับร่วมเดินทางไปด้วย อีกทั้งขออนุโมทนา พลอากาศตรีหญิงกาญจนา ที่นำพระสูตรต่างๆ มาสอดแทรกเข้ากับสถานการณ์ที่กล่าวถึงทำให้ผู้ติดตามอ่านได้รับความรู้เรื่องเกี่ยวกับพระสูตรนั้นๆ มากขึ้น เรื่องอานนทเศรษฐีเป็นข้อเตือนใจอย่างดีสำหรับทุกๆ คนค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 2 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย thilda  วันที่ 2 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ สำหรับเรื่องราวและการสอดแทรกธรรมะที่ช่วยให้ระลึกได้ค่ะ แม้จะไม่ได้ไปด้วย แต่ก็เป็นทาสนายใหญ่เสมอค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ผู้มีความประมาท  วันที่ 2 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย j.jim  วันที่ 2 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย นายสุรพล กิจพิทักษ์  วันที่ 2 พ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย Boonyavee  วันที่ 3 พ.ย. 2559

นายใหญ่ชอบใจที่ทาสรับใช้ไม่เคยห่างเลยค่ะ เป็นทาสที่ไม่ยอมเป็นไท ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ขอบพระคุณและขอกราบอนุโมทนาคุณแม่แดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวธรรมไว้เตือนให้ระลึกเสมอ และขอบพระคุณคุณวันชัย ภู่งาม ที่คอยเก็บภาพสหายธรรมตลอดการเดินทางครั้งนี้ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย papon  วันที่ 3 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 3 พ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 10    โดย orawan.c  วันที่ 3 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย rrebs10576  วันที่ 4 พ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 18 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ