พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 219 ข้อความบางตอนจาก พราหมณสูตร คนที่เกิดโทสะแล้ว อันโทสะครอบงำแล้ว มีจิตอันโทสะกลุ้มรุมแล้ว ...คนที่เกิดโมหะแล้ว อันโมหะครอบงำแล้ว มีจิตอันโมหะกลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อทำตนให้ลำบากบ้าง ฯลฯ ย่อมรู้สึกทุกข์โทมนัสในใจบ้างครั้นละโทสะ...โมหะเสียได้แล้ว เขาก็ไม่คิดเพื่อทำตนให้ลำบาก ฯลฯ ไม่รู้สึกทุกข์โทมนัสในใจ แม้อย่างนี้ พราหมณ์ พระธรรมเป็นสนฺทิฏฺฐิโก...
ดิฉันกำลังมีจิตอันโทสะกลุ้มรุมแล้ว อันโมหะครอบงำแล้ว จึงรีบเข้ามาเวปนี้เพื่อเปลี่ยนวิธีคิด แต่ก็ยังไม่ได้ผลทั้งที่รู้ว่ามีโทสะ พยายามนึกถึงข้อธรรมะที่ตรงกับเรื่อง แต่ทั้งสมองก็ยังเมื่อย และจิตก็ไม่สะอาด ไม่สบายค่ะ อย่างไรก็ตาม ขอกราบขอบพระคุณ เพราะเห็นหัวข้อนี้ อารมณ์ร้ายนั้นก็ชะงักงัน อารมณ์นั้นกำลังค่อยๆ คลายอยู่ค่ะ
ถึงจะรู้ว่าโทสะไม่ดี มีโทษทำลายตัวเองและคนอื่นด้วย ก็ยังมีโทสะอยู่ เราไม่สามารถห้ามไม่ให้โทสะเกิด แต่สามารถอบรมปัญญาในขณะนั้นได้ เช่น สติเกิดระลึกสภาพธรรมในขณะนั้นที่โกรธ รู้ลักษณะของโทสะว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ
ถึงแม้โมหะจะดูไม่มีพิษภัยเท่ากับโทสะหรือโลภะ แต่เพราะโมหะ คือ สภาพที่ไม่รู้ จึงไม่สามารถรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ได้ ความจริงแล้ว โมหะเป็นสภาพธรรมตัวฉกาจตัวหนึ่งทีเดียว โกรธทีไรก็ไม่รู้ว่าโกรธเป็นธรรม ติดข้องทีไรก็ไม่รู้ว่าติดข้องเป็นธรรม คอยปิดบังให้เข้าใจผิดว่าเป็นตัวตนอยู่เสมอ ธรรมที่จะรู้ได้ คือ ปัญญา ซึ่งเมื่อรู้แล้วจะค่อยๆ ละ และหนทางละมีหนทางเดียว คือ การเจริญสติปัฎฐานครับ
โลภะมีโทษน้อย แต่คลายช้า
โทสะมีโทษมาก แต่คลายเร็ว
โมหะมีโทษมาก แต่คลายช้า
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
หนทางเดียว คือ สติปัฏฐาน และอบรมบารมีในชีวิตประจำวัน คือกุศลทุกประการ เดือดร้อนกับอกุศลเพราะยังเป็นเรา เป็นธรรมดาที่จะต้องเกิด และก็เป็นธรรมดาที่ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม และสภาพธรรมที่เป็นธรรมดาขณะนี้เมื่อรู้ความจริงว่า เป็นธรรม (แม้ความโกรธ) สามารถดับกิเลสหมด ไม่ต้องเกิดความโกรธอีกครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ อ่านแล้วเข้าใจขึ้นค่ะ