เมื่อปัญญาและบารมีเพียบพร้อม ต่อ การบรรลุธรรมแล้ว
-ปุถุชนผู้นั้นจะสามารถบรรลุได้เองโดยที่ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้ามาชี้แนะแนวทางได้ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปุถุชน คือผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส มากไปด้วยกิเลส แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้สะสมอบรมเจริญคุณความดีและปัญญามาพร้อมแล้ว จากความเป็นปุถุชน ก็สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคล ได้ ในกาลที่ว่างจากพระพุทธศาสนา ผู้ที่สะสมบารมีมาในฐานะของผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็สามาถถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ แต่ถ้า ในฐานะที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ในกาลที่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ไม่สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้เลย ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาครับ
แสดงว่าถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาในเวลานั้น ปุถุชนผู้ที่สะสมบารมีกับปัญญา มาครบแล้ว ก็จะตรัสรู้เป็นปัจเจกพุทธเจ้าเองเลย ใช่ไหมครับ
ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ
[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้า 111
ข้อความบางตอนจาก...
อรรถกถาขัคควิสาณสูตร
พระปัจเจกพุทธเจ้า
ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นแลพระอานนท์ผู้มีอายุไปในที่ลับหลีกเร้นอยู่ได้เกิดปริวิตกในใจอย่างนี้ว่า ความปรารถนาและอภินิหารย่อมปรากฏแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาปรากฏแก่พระสาวกทั้งหลาย แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายอย่างนั้นไม่ ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ท่านพระอานนท์ออกจากที่หลีกเร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามเรื่องนี้ตามลำดับ
ดูก่อนอานนท์ ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร มีปุพพโยคาวจรธรรม เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธะ และสาวกทั้งหลาย พึงประสงค์ความปรารถนาและอภินิหาร
ถามว่า ก็การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ควรนานเท่าไร
ตอบว่า การปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ควรนานถึงสองอสงไขยและแสนกัป ต่ำกว่านั้นไม่ควร พึงทราบเหตุในการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี้โดยนัยที่กล่าวแล้วในบทก่อนนั่นแล ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า โดยกาลแม้มีประมาณเท่านี้ พึงปรารถนาสมบัติ ๕ ประการในการสร้างอภินิหาร จริงอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น มีเหตุแห่งอภินิหารเหล่านี้ คือ
ความเป็นมนุษย์ ๑
ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑
การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ๑
อธิการ ๑
ความพอใจ ๑
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า การเห็นท่านผู้ปราศจากอาสวะ ได้แก่ การเห็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระสาวกองค์ใดองค์หนึ่ง
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ 17
ข้อความบางตอนจาก...
นิทานกถาวรรณนา
ฝ่ายพระปัจเจกโพธิสัตว์ทั้งหลาย บำเพ็ญอภินิหาร เพื่อเป็นพระปัจเจกโพธิ มีปัจเจกโพธิสมภาร อันสร้างสมมาแล้วโดยลำดับ ดำรงอยู่ในอัตภาพสุดท้ายในเวลาเช่นนั้น ถือเอาสังเวคนิมิต อันปรากฏแล้วโดยความที่ญาณถึงความแก่กล้า เห็นโทษในภพเป็นต้น โดยไม่แปลกกัน กำหนดปวัตติกาลและเหตุแห่งปวัตติกาลนิวัตติกาลและเหตุแห่งนิวัตติกาลด้วยสยัมภูญาณ เพิ่มพูนจตุสัจจกัมมัฏฐานมีสัจจะ ๔ เป็นอารมณ์ โดยนัยอันมาแล้ว มีอาทิว่าท่านมนสิการอยู่โดยแยบคายว่า นี้ทุกข์ ดังนี้ พิจารณาทบทวนสังขารทั้งหลายตามสมควรแก่อภินิหารของตน ขวนขวายวิปัสสนาโดยลำดับ บรรลุมรรคอันเลิศตามลำดับมรรค ชื่อว่า ย่อมตรัสรู้ปัจเจกสัมโพธิญาณจำเดิมแต่ขณะแห่งผลอันเลิศ (อรหัตตผล) ไป ชื่อว่า เป็นพระปัจเจกสัมพุทธะ ย่อมเป็นพระอรรคทักขิไณยบุคคลของโลก พร้อมทั้งเทวโลก
ขออนุโมทนาครับ