ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากร ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ได้เดินทางไปสนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะลำพูน เลขที่ ๑๑๐ หมู่ ๘ บ้านใหม่สันมะนะ ต.ต้นธง อ.เมือง จ.ลำพูน
หลังเสร็จภารกิจจากการสนทนาธรรมกับนักศึกษาชั้นปีที่ ๑ ของคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ สมาชิกชมรมผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลแม่เหียะและตำบลสุเทพ ที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๕ ธันวาคม แล้ว ท่านอาจารย์และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังบ้านธัมมะลำพูน ซึ่งตั้งอยู่ที่เลขที่ ๑๑๐ หมู่ ๘ บ้านใหม่สันมะนะ ต. ต้นธง อ. เมือง จ. ลำพูน เพื่อสนทนาธรรมต่ออีกเป็นเวลาสองวันคือวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐
บ้านธัมมะลำพูน บ้านแสนสวยงดงามใหญ่โต โอ่อ่าอลังการหลังนี้เกิดขึ้นจากกุศลศรัทธาของพี่พรทิพย์ พัวสุวรรณ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๕๓ มีจิตศรัทธามอบที่ดิน ๑ ไร่ ๒ งาน ๔๑ ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๑๐ หมู่ ๘ บ้านใหม่สันมะนะ ต. ต้นธง อ. เมือง จ. ลำพูน แก่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพื่อเป็นสถานที่ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามเจตนารมณ์ของมูลนิธิฯ ซึ่งนอกจากพี่พรทิพย์จะบริจาคบ้านและที่ดินให้กับมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาแล้ว พี่พรทิพย์ยังปวารณาที่จะดูแลบ้านไปตลอด โดยที่ทางมูลนิธิฯ ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายใดๆ แม้ในการปรับปรุงทั้งหมดอีกด้วย
เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งของข้าพเจ้าที่ได้เดินทางมาเยือนบ้านธัมมะลำพูนในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ทราบข่าวคราวและเรื่องราวของการมอบบ้านหลังงามของพี่พรทิพย์หลังนี้แก่มูลนิธิฯมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้มา เมื่อได้มาเห็นก็รู้สึกอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่พรทิพย์เป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถสละของที่มีค่าใหญ่ในชีวิต หลังจากที่ได้พบและมีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในหนทางที่ถูกต้องแท้จริงจากการแสดงของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์แล้ว ก็เกิดกุศลศรัทธาสละทรัพย์สินที่มีเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่นที่จะมีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมด้วย กราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาอันใหญ่ยิ่งของพี่พรทิพย์ มา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งนะครับ เป็นบ้านที่สวยงามสมบูรณ์แบบจริงๆ กล่าวคือ สวยงามทั้งสถานที่ และสวยงามด้วยใจคือกุศลศรัทธาของท่านผู้ให้ ครับ
อนึ่ง ข้าพเจ้าและอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ พร้อมสหายธรรมอีกสามท่าน ออกเดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่โดยความกรุณาของพี่จำลอง แก้วเรือน ที่นำรถเก๋งคันใหญ่ใหม่เอี่ยมมาช่วยขนทั้งสัมภาระและพวกเรา เดินทางไปยังจังหวัดลำพูน เข้าพักที่บ้านเคียงจันทร์ รีสอร์ท ซึ่งทางบ้านธัมมะลำพูนกรุณาจัดให้ ก่อนเข้าที่พัก ทางบ้านธัมมะลำพูนได้กรุณามอบหมายให้คุณแจ๊ค (สุทธิพงศ์ อุนจะนำ) พาพวกเราไปเลี้ยงอาหารเย็นจนอิ่มหนำสำราญ กราบอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ
บ้านเคียงจันทร์ รีสอร์ท เป็นที่พักที่สะอาด ใหม่ และบรรยากาศที่ดีมากแห่งหนึ่งของจังหวัดลำพูน ทราบว่าพี่พรทิพย์ เดินทางมาสำรวจสถานที่ด้วยตัวเอง ด้วยประสงค์ที่จะให้ทุกท่านที่มาร่วมสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะลำพูน ได้พักผ่อนในสถานที่ที่มีความสะอาด ปลอดภัยและสะดวกสบายที่สุด ซึ่งทางเจ้าของรีสอร์ทก็ดูแลเอาใจใส่พวกเราเป็นอย่างดี จึงขออนุญาตนำภาพมาลงไว้ เพื่อเป็นตัวเลือกของท่านที่จะเดินทางไปสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะลำพูนในคราวต่อๆ ไปจะพิจารณานะครับ
อ.คำปั่น หลายท่านที่ได้ฟังการสนทนาธรรมะที่สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็บอกว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ท่านอาจารย์และอาจารย์วิทยากรได้กล่าวถึงความเป็นจริงตั้งแต่เบื้องต้นของการศึกษาธรรมะ ในคำว่าธรรมะ ในคำว่านามธรรม รูปธรรม จิต เจตสิก รูป และอนัตตา ซึ่งก็เป็นประโยชน์มากเลยนะครับ
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ ท่านใดที่มีประเด็นต่อเนื่องที่จะสนทนา ก็ขอเชิญนะครับ เป็นการสนทนาธรรมะ ที่บ้านธัมมะ ซึ่งก็เป็นบ้านของพวกเรา บ้านหลังใหญ่ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ สนทนาธรรมะอยู่บ้านนะคะนี่ (หัวเราะ) ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนเลย อยู่บ้านของเรา แล้วก็สนทนากัน ใครจะทำอะไรก็ตามอัธยาศัย สนทนาเรื่องอะไรกันก็ตามอัธยาศัย เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งมี แต่ก็ไม่รู้!! ไม่ว่าเราจะพูดคำอะไรทั้งหมด เช่นพูดคำว่า "ธรรมะ" ก็ลืม ถ้าพูดว่า "รูปธรรม" ก็ลืม พูดว่า "นามธรรม" ก็ลืม เพราะว่า ความจริงมี แต่ถูกปกปิดไว้นานมาก เพราะฉะนั้น ฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีก จนกว่าจะมั่นคง จนกว่าจะ "ถึงลักษณะ" ที่เราพูดถึงบ่อยๆ
เราพูดถึง "จิต" เดี๋ยวนี้ก็เป็นจิตทั้งหมดเลย ไม่มีขณะไหนเลยซึ่งไม่มีจิต แต่จิตก็ไม่ได้เปิดเผยให้รู้เลยว่า ขณะนี้เป็นจิตที่กำลังเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะรู้จิตไหน? เร็วสุดที่จะประมาณได้!! เพราะฉะนั้น ก็ ไม่ใช่คาดหวัง ว่าเราจะไปดูจิต เราไปรู้จิต นั่นคือ "เรา" แต่ว่า "ความเป็นเรา" แทรกซึมอยู่ในทุกอย่างที่มี เพราะไม่รู้!!
ด้วยเหตุนี้ รูปที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็นเดี๋ยวนี้ ก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริงแค่เมื่อปรากฏให้เห็น น่าอัศจรรย์ พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกว่าใครจะรู้อย่างนั้นได้ ก็ต้อง "ฟัง" เพราะว่าสิ่งที่ปกปิดไม่ให้รู้ความจริงก็คือว่า ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยคิด ถึงสภาพความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ พอเห็นก็ไม่รู้ แล้วก็หลงไปเลย จำได้ว่ารูปร่างอย่างนี้เป็นอะไร ก็จำอย่างนั้นมาตลอดในสังสารวัฏฏ์ ว่านี่เป็นคนที่กำลังนั่งอยู่ นั่นเป็นโต๊ะ นั่นเป็นเก้าอี้ จำรูปร่างสัณฐานสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ ว่าเป็น "สิ่งหนึ่งสิ่งใด"
ซึ่งความน่าอัศจรรย์ก็คือว่า เดี๋ยวนี้ ถ้าแยกทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏรวมกันออกเป็นแต่ละหนึ่ง "แต่ละหนึ่ง" นั้นเกิดดับ แล้วเราแยกได้ไหม? ดอกไม้บนโต๊ะนี้กี่ดอก? แต่จิตเกิดดับเท่าไหร่? กว่าจะเห็นเป็นดอกไม้กี่ดอก บนแจกัน บนโต๊ะ เป็นคน
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ไม่ใช่มีตัวเรา ที่คิดว่าเรามุ่งมั่นที่จะพยายามทุกวิถีทาง ที่จะละคลายกิเลส เป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้!! แต่ถ้า "ความเข้าใจจากการฟัง" ซึ่งผู้ที่เป็นพระสาวกในครั้งอดีต เป็นตัวอย่างให้เราระลึกได้ว่า ท่านฟังกันมานานเท่าไหร่ กว่าสภาพธรรมะจะปรากฏ ที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมะได้
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปนั่งนับวัน เดือน ปี ว่ากี่ชาติ กี่กัป แต่ว่ามีโอกาสได้ฟัง เครื่องพิสูจน์คือ "เข้าใจคำที่ได้ฟัง" มากน้อยแค่ไหนว่า "เป็นธรรมะ" คือ "เป็นสิ่งที่มีจริง" เท่านั้นเอง ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ตรงกับความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มี ถ้าไม่มี แล้วใครจะติดข้อง? ในเมื่อไม่มี!! แต่เมื่อมี แล้วไม่รู้ จึงติดข้อง!!
เพราะฉะนั้น กว่าความไม่รู้จะค่อยๆ ลดน้อยลงไป จนกระทั่งไม่มีอะไรกั้น สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง ก็เข้าใจธรรมะอย่างเดียว ไม่หลงทาง ข้อสำคัญที่สุดคือ "ตัวตน" มากมายมหาศาล และโลภะก็ติดข้อง ต้องการทุกอย่าง "เพื่อตัวตน" ถ้าไม่มีตัวตนแล้วจะต้องการอะไร ก็ไม่มีความต้องการอะไร แต่เพราะเหตุว่า มีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็เลยยึดถือมั่นคงว่าเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะเพื่อรู้ความเป็นอนัตตาว่า ไม่มีใครไปทำอะไร!! แต่ว่า "ตัวธรรมะ" แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่สะสมมา ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สะสมความโกรธไว้มาก บ่อยๆ ได้ยินใครเขาว่าเราก็โกรธแล้ว ใช่ไหม? เป็นเราแล้ว เขาด้วย แล้วก็ว่าเราด้วย!! แต่ถ้าสะสมความเข้าใจถูก ก็ไม่มีเรา ใครจะว่า เขาว่าใคร? เขาคิดต่างหาก ว่ามีคนนั้น มีคนนี้ แต่ความจริงก็ไม่มีอะไร
เพราะฉะนั้น เรื่องของการฟังธรรมะ ก็เป็นเรื่องของ "การสะสมแต่ละชาติ" ซึ่งมีโอกาสจะได้ฟัง แต่ข้อสำคัญที่สุดคือ ต้องเห็นความละเอียด ความลึกซึ้ง ของธรรมะ ประมาทแต่ละคำไม่ได้เลย ให้รู้ว่า ธรรมะมีเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจธรรมะก็คือ เข้าใจคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะละคลายความยึดมั่นว่าเป็นเรา!! โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีเราไปละคลาย แต่ปัญญาที่เข้าใจถูกนิดหนึ่ง นั่นก็ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ไปนิดหนึ่ง
ฟังธรรมะกันมานานแล้วใช่ไหม? บ้านนี้ฟังธรรมะมาหลายหน (หัวเราะ) แล้วก็ฟังธรรมะก็คงจะนับครั้งไม่ได้ แต่ก็จะต้อง "ฟังต่อไป"
อ.คำปั่น เพราะว่า มีชีวิตอยู่ เพื่อเข้าใจพระธรรม ใช่ไหมครับ สิ่งที่ประเสริฐในชีวิตก็คือความเข้าใจพระธรรม ซึ่งก็ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ จึงมีการฟัง มีการศึกษา เพื่อความเข้าใจความจริง เพราะว่า ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษา ความเข้าใจไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้เลย เมื่อมีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการทรงแสดงพระธรรม ประกาศคำจริงแต่ละคำ ผู้มีศรัทธาก็ฟัง ศึกษาในคำจริงที่พระองค์ทรงแสดง ก็จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่หลงทาง ก็เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์มาก คือ ฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคง
ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์เป็นเบื้องต้นครับ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า สภาพธรรมะปรากฏตามความเป็นจริง มีความละเอียดอย่างไรครับ เพราะว่าขณะนี้ก็เหมือนกับมีเห็น มีได้ยิน มีสี มีกลิ่น อะไรต่างๆ เหล่านี้ เหมือนกับว่ามีธรรมะที่กำลังปรากฏ แต่ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า สภาพธรรมะกำลังปรากฏตามความเป็นจริง คืออย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนเป็นอื่นได้ไหม? ต้องเห็น แค่นี้ แล้วก็คิด เพราะฉะนั้น เห็นต้องเป็นเห็น จะเป็นอื่นไม่ได้เลย สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ เปลี่ยนเป็นอื่นไม่ได้ ต้องอย่างนี้เอง แต่ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น กว่าจะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบตา แล้วธาตุรู้คือ "จิตเห็น" เกิดขึ้นเห็น แค่ "เห็น" เพราะฉะนั้น จะมีอะไรในขณะที่จิตเห็นไม่ได้ นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เท่านั้น
อ.คำปั่น ก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และสภาพธรรมที่จะรู้ตรงตามความเป็นจริง ก็ต้องเป็นความเข้าใจอย่างถูกต้อง ที่เริ่มจากการได้ยินได้ฟัง แม้ในเรื่องของ "เห็น" คือ อะไร? แล้วก็ เห็นอะไรครับ ท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "ฟัง" ว่า เดี๋ยวนี้ "เห็น" แล้วก็ "สิ่งที่ปรากฏ" กำลัง "ถูกเห็น" เพียงเท่านี้ กว่าจะไม่ใช่คน ที่ถูกเห็น หรือใครที่กำลังนั่งอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพียง "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" หลับตาก็ไม่มีเลย ทันทีเลย ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้เลย
อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ แม้เพียงกล่าวถึงสภาพธรรมะสองประการ ก็คือ "เห็น" กับ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" ก็แสดงถึงว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่เป็นสภาพธรรมะที่มีจริงๆ ที่ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นธรรมะที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นเป็น "สิ่งหนึ่งสิ่งใด" แล้ว เพราะ "คิด" โต๊ะ เก้าอี้ อยู่ที่ไหน? ไม่ใช่มากระทบตาแล้วเห็นโต๊ะได้ เห็นเก้าอี้ได้ แต่มีแต่เพียงสิ่งที่กระทบตาได้และกำลังปรากฏให้เห็น แต่ก็นึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเพราะเกิดดับเร็วมาก จึงปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำได้ เท่านั้นเอง ทุกชาติก็หลงเข้าใจว่า มีเราแล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอด
กว่าจะถึงกาล ที่เพิ่มความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ นี่แค่ทางตา ทำไมถึงยากอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่า เราไม่รู้มานาน นานมาก เกินแสนโกฏิกัปป์ แล้วก็ จะให้ความที่เคยจำผิด รู้ผิด เข้าใจผิด หมดสิ้นไปได้ ไม่ใช่ภายในเวลาที่รวดเร็ว
เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรง แล้วก็จริงใจ ว่าได้ฟังธรรมะแล้ว เปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้ จึงทรงแสดงความจริงของธรรมะด้วยคำซึ่งเป็นสัจจะวาจา รู้ความจริงถึงที่สุดแล้ว จะเปลี่ยนอีกได้อย่างไร ถ้ายังไม่ถึงที่สุดก็คิดไปคิดมา เข้าใจอย่างนั้นบ้าง เข้าใจอย่างนี้บ้าง แต่ถ้าถึงที่สุดก็คือว่า สามารถเข้าใจถูกต้องได้ว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ลองคิดดู ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้นอย่างนี้ จะค่อยๆ ละคลายความยึดมั่นไหม? เพราะเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา และสิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย กว่าปัญญาสามารถที่จะคล้อยตาม จนกระทั่งรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเราเมื่อไหร่ การละคลายความเป็นเราก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้น
แต่นี่คือ "ขั้นฟัง" เห็นไหม? ปัญญาเทียบแล้วกับคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว มีถึง ๓ ระดับ ขั้นฟัง แค่ฟังคำให้เข้าใจก็ยาก เพราะว่า เป็นคำที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย ตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็สอนว่า ต้นไม้เป็นอย่างนี้ พ่อแม่เป็นอย่างนี้ เพื่อนฝูงเป็นอย่างนี้ บ้านช่องเป็นอย่างนี้ สอนทุกอย่าง อาหารการกินเป็นอย่างนี้ ก็ได้ยินแต่อย่างนี้
แต่พอได้ยินคำ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งคิดไม่ถึง คิดเองก็ไม่ได้!! คิดอย่างไรก็คิดไม่ได้!! แต่ผู้ที่ทรงตรัสรู้ แสดงความละเอียดยิ่ง แต่ละคำ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะคือเห็นคุณของแต่ละคำ แล้วก็ไม่ประมาทด้วยว่า เพียงคำเดียวยังรู้ทั่วไม่ได้เลย เช่น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วแต่ละหนึ่งไม่เห็นพูดถึงเลย ทุกสิ่งทุกอย่่างเป็นธรรมะ ก็ง่าย ใช่ไหม? แต่ว่า พูดถึงทีละอย่าง ให้ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่ว่าอะไรขณะนี้ที่ปรากฏทางตา ปรากฏชั่วขณะที่จิตเห็นเกิด แค่ไม่เห็น ก็ไม่มี ไม่มีจริงๆ คือ เกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก
นี่คือ การที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้ง สิ่งซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าใจได้ แล้วก็หลงทางกันมาก ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความประมาท ด้วยความไม่เห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้ว่ากิเลสนี้สะสมมามากมายเหลือเกิน คำสองคำ ไม่สามารถที่จะทำให้จิตที่หมักหมมด้วยความไม่รู้ สามารถจะเข้าใจได้ จนกระทั่งต้องทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ไม่ใช่คำเดียว แต่ ๔๕ พรรษา ทุกคำก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งเมื่อกี้เรากล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ พอไหม? แค่นี้จบ แค่พูด
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ เมื่อตอนต้นที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ความเป็นธรรมะนี้อัศจรรย์ แต่ว่าธรรมะนี้ก็เป็นปกติ ความเป็นปกติจริงๆ ของธรรมะ ทำไมจึงเป็นความอัศจรรย์ครับ ทั้งๆ ที่ก็เป็นปกติ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ปกติก็ไม่รู้
อ.อรรณพ เมื่อไม่รู้ก็ไม่อัศจรรย์
ท่านอาจารย์ แต่ฟังแล้ว อัศจรรย์ ที่รู้ได้!!
อ.อรรณพ รู้ได้ในความเป็นปกติธรรมดา
ท่านอาจารย์ ในสังสารวัฏฏ์ไม่เคยรู้ แต่พอได้ยิน "คำ" ที่สามารถทำให้เริ่มเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่มี "คำนั้น" น่าอัศจรรย์ไหม?
อ.อรรณพ น่าอัศจรรย์ครับ เพราะว่า ปกติก็เห็นว่าเป็นธรรมดา ก็อยู่อย่างนี้ก็เป็นปกติ แต่ว่าพอ ถ้าปัญญารู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มา รู้ในความเป็นธรรมดา ขณะนี้เป็นธรรมดาแต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น อัศจรรย์ที่ปัญญา ที่ได้รู้ใช่ไหมครับท่านอาจารย์ ที่ว่าอัศจรรย์ จากการที่ไม่เคยได้รู้อะไรมาเลยจริงๆ
ท่านอาจารย์ เคยเข้าใจว่าเป็นคุณอรรณพ เห็นคุณอรรณพ แต่เริ่มเข้าใจถูกว่า ไม่มีคุณอรรณพ ที่สิ่งที่ปรากฏทางตา
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า ถ้ารู้อย่างนั้นจะตกใจไหม?
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ไม่มี แต่ก่อนก็เข้าใจว่ามีคุณอรรณพตลอดเวลา แล้วปรากฏว่าไม่มีคุณอรรณพ ไม่มีคุณคำปั่น ไม่มีอะไรเลย มีแต่เพียงสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วดับไป ดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แล้วจะมีได้อย่างไร?
อ.อรรณพ ถ้ารู้อย่างนั้น อย่างชัดเจน คงจะอัศจรรย์ใจมากครับท่านอาจารย์ เพราะว่าปกติแค่ในชาตินี้ เราคิดว่ามีอันโน้นมีอันนี้ แล้วไม่มีจริงๆ ก็คงอัศจรรย์ว่า เคยคิดว่ามีแล้วไม่มี สิ่งที่เราคิดว่ามีมาตลอดสังสารวัฏฏ์
ท่านอาจารย์ อัศจรรย์ว่าความไม่รู้ที่มีมานาน แล้วไม่เคยสามารถที่จะรู้ได้เลยด้วยตัวเอง ก็กลับสามารถที่จะปรากฏได้ เมื่อได้มีความเข้าใจ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็เป็นคุณอรรณพอยู่อย่างนี้ อัศจรรย์เมื่อเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ที่ใช้คำว่า "วิปัสสนา" รู้แจ้งในสิ่งที่ได้ฟัง คิดดู จะอัศจรรย์ไหม? ว่าไม่เคยคิดว่าจะรู้ได้ถึงอย่างนี้!!
(ข้อความบางตอนจากกระทู้...นี่คือความอัศจรรย์ !)
"...บางท่านฟังธรรมแล้ว ไม่ได้เกิดความรู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ตรงข้าม กลับเกิดความไม่รู้มากขึ้น แม้ในการปฏิบัติ ซึ่งกล่าวว่าเป็นการอบรมเจริญภาวนา ซึ่งความหมายของ "ภาวนา" หมายถึง "ความเกิดขึ้นของปัญญา"
แต่เมื่อไม่ได้อบรมเจริญปัญญา เวลาที่ปฏิบัติไป ปฏิบัติไป ก็เป็นความไม่รู้ขึ้น ไม่รู้ขึ้น ในสภาพธรรมที่ปรากฏ และบางท่านเข้าใจว่านั่นเป็นความอัศจรรย์มาก เมื่อปรากฏสิ่งแปลกประหลาด ผิดปกติ ท่านกลับเห็นว่าเป็นความอัศจรรย์
แต่สำหรับพระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ซึ่งสาวกทั้งหลายของพระองค์สรรเสริญ เพราะว่า
พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงธรรม มีเหตุ มิใช่ทรงแสดงธรรมไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมมีความอัศจรรย์ มิใช่ทรงแสดงธรรมไม่มีความอัศจรรย์
"อัศจรรย์" ในที่นี้ คือ ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอด ในสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ในขณะนี้ นี่คือ ความอัศจรรย์!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่พรทิพย์ พัวสุวรรณ และสมาชิกชมรมบ้านธัมมะลำพูน-เชียงใหม่ ทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
.........
ขอเชิญคลิกชมบันทึกภาพและเสียงการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่นี่...
ขอเชิญคลิกชมตอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ที่นี่...
- บ้านธัมมะหลังใหม่ที่ลำพูน
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้าน ดร.มล.ญาศินี จักรพันธ์ุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๐
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๑๓-๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐
กราบอนุโมทนาครับ