- เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ให้เขากล่าวถึงวิถีจิตที่กำลังเห็น เริ่มตั้งแต่ไหน (เดี๋ยวนี้มีเห็น ก่อนเห็นต้องมีอาวัชชนจิตที่ทำหน้าที่รู้ว่าอารมณ์อะไรกระทบกับทางนั้น จิตนี้ไม่ใช่วิบากแค่ทำหน้าที่รู้ว่าอารมณ์อะไรกระทบ) เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่ให้เขาจำและให้บอกเราตามที่เขาจำ แต่ให้เขาเข้าใจ เห็นเดี๋ยวนี้ที่มี แล้วค่อยๆ เข้าใจทุกคำที่เราพูดว่า ก่อนเห็นมีจิตอะไร ทีละอย่าง ทีละนิดทีละหน่อย เตือนความจำให้ไม่ลืมว่า ขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ให้เขาไปจำไว้ว่ามีจิตอะไรบ้าง ทำกิจอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ให้เขาเริ่มรู้จักตัวจริงของธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น ก่อนเห็นมีเห็นไหม ไม่ใช่ให้เขาจำแล้วตอบ แต่ให้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ต่างกันไหม?
- เพราะฉะนั้น เขาต้องรู้จุดประสงค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจความลึกซึ้ง เราสามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ไหม? จุดประสงค์ไม่ใช่ให้จำชื่อ จำคำ แต่จุดประสงค์ให้เริ่มรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- พูดถึงธรรมอย่างหนึ่งอย่างใด สามารถทำให้เข้าใจธรรมอื่นๆ ได้ด้วย พูดเรื่องกิจของจิตทำให้เข้าใจจิตต่างๆ ซึ่งเกิดเพราะปัจจัยต่างๆ จึงทำกิจต่างๆ ถ้าไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจอะไร แต่เมื่อพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เข้าใจ ก็ทำให้เข้าใจสิ่งอื่นด้วย แสดงให้เห็นว่า ฟังเท่านี้สามารถเข้าใจได้ว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้ ต่างกันไปแต่ละขณะ ตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นก็ละความเห็นผิดว่า เป็นเราได้ ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น.
- มีหนทางอื่นไหมที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมี แล้วค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ เพราะฉะนั้น นี่เป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะรู้จักพระพุทธเจ้าและคำสอนของพระพุทธเจ้า.
- ถ้าไม่มีกรรม จะมีเห็น จะมีได้ยิน ได้มีได้กลิ่น จะมีลิ้มรส จะมีการรู้สิ่งที่กระทบปรากฏทางกายไหม? (ไม่มี) เพราะฉะนั้น เกิดมาจะต้องเป็นไปตามกรรมส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น เกิดมาต้องรู้ว่าเป็นผลของกรรมหนึ่ง เพราะฉะนั้น กรรมทำให้เกิดเป็นกิจหนึ่งของจิตซึ่งเป็นผลของกรรม กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ดับแล้ว กรรมก็ทำให้จิตเกิดสืบต่อดำรงความเป็นบุคคลนั้น จนกว่าจะหมดสิ้นกรรม เมื่อกรรมทำให้เกิด และกรรมทำให้ดำรงอยู่เพื่อที่จะเห็น เห็นแล้วจบ เป็นผลของกรรมที่จะต้องเป็นภวังค์ ยังจุติไม่ได้.
- เห็นแล้วเกิดกิเลสไหม? (เกิด) เพราะฉะนั้น กิเลสเป็นเหตุให้เกิดกรรม กรรมนั้นจะให้ผลเมื่อไหร่ใครจะรู้ กรรมในชาตินี้ให้ผลในชาตินี้ก็ได้ กรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ไม่ให้ผลในชาตินี้ให้ผลในชาติต่อไปก็ได้ กรรมที่ทำในชาตินี้ไม่ให้ผลในชาตินี้หรือชาติต่อไป แต่ให้ผลในชาติต่อๆ ไปหลังจากชาติหน้าก็ได้.
- มีใครรู้บ้างว่ากรรมที่ทำให้เกิดเป็นคนนี้จะหมดสิ้นเมื่อไหร่ ถ้ากรรมอื่นยังไม่หมดสิ้นก็ต้องเห็นต่อไป ได้ยินต่อไป เกิดกิเลสต่อไป ทำกรรมต่อไป กรรมที่ทำให้เป็นคนนี้จะจบหมดสิ้นเดี๋ยวนี้ได้ไหม? (ได้) เย็นนี้ได้ไหม? (ได้) พรุ่งนี้ได้ไหม? (ได้) ใครรู้? กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด และผลของกรรมที่จะเกิดก็เป็นสภาพที่ปกปิด จะจากคนนี้ไม่เหลือความเป็นคุณอาคิ่ลเลย เป็นอะไรต่อไปใครรู้ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเป็นคนอื่นต่อไป คนนี้ทำอะไรไม่สูญหายเลย จะติดตามไปแม้ว่าจะไม่ใช่คนนี้อีกต่อไป เป็นคนอื่นก็มาจากคนนี้ในชาตินี้.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- กรรมทำกิจให้เกิดวิบาก คือ ผลของกรรม ถ้าไม่มีกรรมจะมีผลของกรรมได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น ชาตินี้กึ่งหนึ่งเป็นผลของกรรม อีกกึ่งหนึ่งเป็นกรรมที่จะให้ผลต่อไป ด้วยเหตุนี้ จึงรู้ว่า ไม่มีใครเลยนอกจากมีธรรมที่เป็นเหตุและเป็นผล.
- สภาพรู้เกิดขึ้นรู้ และทำกิจของตนๆ สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจเห็น สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจได้ยิน สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจติดข้อง สภาพรู้เกิดขึ้นทำกิจไม่พอใจ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมทั้งหมด.
- เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ก็รู้ว่า อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ ซึ่งจะทำให้ละคลายความไม่ดีมากขึ้น เพราะเห็นโทษของความไม่ดี เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เตรียมพร้อมสำหรับในชาติต่อไป.
- (คุณอาคิ่ลถามว่า กุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ทำตอนนี้ จะให้ผลในชาตินี้ หรือชาติต่อไป หรือชาติในอนาคต ชาติไหนก็ได้เราไม่สามารถทราบได้ คุณอาคิ่ลถามว่าพระพุทธองค์และพระอริยบุคคลก็ไม่ทราบหรือ) ถ้าไม่พูดถึงคน แต่เป็นปัญญาได้ไหม? เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของพระองค์ หรือแม้ผลในชาตินี้ได้รับเป็นมาจากกรรมที่กระทำไว้ในครั้งไหน.
- กำลังเห็นไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ควรรู้ หรือควรรู้ว่าชาติก่อนเป็นใคร เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด ไม่มีใครรู้ว่าจะให้ผลเมื่อไหร่ ให้ผลทางไหนอย่างไร และผลของกรรมเดียวนี้ที่กำลังเห็น ก็ไม่มีใครบอกได้ว่า เป็นผลของกรรมอะไรในชาติไหน.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
- สภาพจำมีจริงๆ สภาพจำเกิดขึ้นต้องจำ ไม่จำไม่ได้ แต่ต้องไม่ลืม สิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ คือ ธรรม สภาพจำทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจำ สภาพคิดมีจริงไหม? (มี) บังคับให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ไหม? (ไม่ได้) ถ้าคิด คิดถึงเมื่อวานนี้ได้ไหม? (ได้) ถ้าคิด คิดถึงเมื่อปีก่อนได้ไหม? (ได้) เพราะฉะนั้น บังคับให้คิดได้ไหม? (ไม่ได้) ต้องตามเหตุตามปัจจัยซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทุกอย่างไว้โดยละเอียด ที่ต้องเริ่มเข้าใจและมั่นคงในความจริงว่า ไม่ใช่เรา.
- คุณอาช่าอยากลืมอะไรบ้างไหมที่ไม่ดี ไม่ดี? (อยากลืม แต่ทำไม่ได้) เพราะจำ ห้ามจำไม่ให้จำไม่ได้ ถ้าลืมก็ห้ามลืมไม่ได้ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น อะไรเป็นประโยชน์ที่สุดกว่าอย่างอื่นทั้งหมด (เข้าใจความจริง) เพราะฉะนั้น จำสิ่งที่มีจริง รู้สิ่งที่มีจริงเป็นประโยชน์ แต่สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์จะจำทำไม แต่บังคับความจริงไม่ได้เลย เป็นอนัตตา อยากลืมก็ไม่ลืม อยากจำก็ไม่จำ แต่ถ้าเข้าใจความจริง ไม่ต้องเดือดร้อนเลย จะลืมหรือจะจำก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เข้าใจความจริงละเอียดขึ้นชัดขึ้นจะทำให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์จริงๆ และสิ่งใดไม่มีประโยชน์เลย.
- ถ้ารู้ความจริงก็จะมีแต่ประโยชน์เพิ่มขึ้น เข้าใจความจริงว่า ทุกอย่างไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย จะไม่เดือดร้อนเลย บังคับไม่ได้แต่เริ่มสะสมความเห็นที่ถูกต้องได้ เพราะฉะนั้น เริ่มเห็นประโยชน์ของความเข้าใจและค่อยๆ เข้าใจเป็นประโยชน์สูงสุด แต่ทุกอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องไม่ประมาทที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น.
- เบื่อที่จะเข้าใจธรรมแล้วยัง? (ไม่เบื่อ) เพราะฉะนั้น เวลายังมีถ้ามีใครสงสัยที่เราจะพูดถึงให้เข้าใจขึ้น ขอเชิญ ทุกอย่าง ทุกเรื่อง เป็นธรรมทั้งหมด.
- (อาคิ่ล: เห็นตอนนี้เป็นผลของธรรม หลังจากเห็นดับแล้วมีจิตอื่นสืบต่อคือสัมปฏิจฉันนะ อยากทราบว่าสัมปฏิจฉันนะเป็นผลของกรรมเดียวกันใช่ไหม?) สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ เพราะรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพียงเห็นเกิดขึ้นขณะเดียว ไม่เป็นปัจจัยให้เกิด โลภะ โทสะ ต้องมีขณะอื่นต่อจากนั้น เพราะจิตเกิดดับสืบต่อเร็วมาก และจิตที่เกิดต่อรู้อารมณ์เดียว เพราะกิจของเขามีหน้าที่รับรู้อารมณ์ต่อจากจิตเห็น เพราะฉะนั้น กรรมเดียวกันนั้นทำให้จิตเห็น เห็น เกิดขึ้น ๑ ขณะ แล้วยังไม่พอเพราะเพียงเห็น จะต้องมีการรู้อารมณ์นั้นอีกเป็นผลของกรรมเดียวกันเพราะรู้สิ่งเดียวกันที่ยังไม่ดับ เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถจะรู้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมเป็นสภาพที่ปกปิด และผลของกรรมเป็นสภาพที่ปกปิด สัมปฏิจฉันนะเป็นผลของกรรมเกิดขึ้นรู้อารมณ์ต่อจากจิตเห็น เป็นสภาพที่ปกปิด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
กราบเท้าอาจารย์ด้วยความเคารพครับ สาธุอนุโมทนาครับ