ขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เป็นวิบากจิต คือรับผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต ส่วนขณะที่กำลังนึกคิด พูด กระทำ เป็นกรรมใหม่ที่กำลังกระทำ
อยากเรียนถามทางมูลนิธิฯ เพิ่มเติมว่า ในกรณีที่ขณะนั้น กำลังมีเจตนากระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ เช่น ขณะที่กระทำการอ่านหนังสือหรือพระไตรปิฎก ก็ย่อมมีวิบากจิตคือเห็นตัวหนังสือ (สี) ที่ปรากฏทางตา ขณะที่ตั้งใจฟังธรรมะก็มีวิบากจิตคือ รับรู้เสียง หรือขณะที่จับปากกาเขียนหนังสืออยู่หรือขณะที่กำลังจับไม้ขึ้นมาเพื่อตีหัวคน ก็มีวิบากจิตที่รับสัมผัสทางกาย เช่น แข็ง หรือขณะที่กำลังใส่บาตร ขณะนั้นก็มีการเห็นพระ (สี) และสัมผัสกับเย็นร้อน อ่อนแข็ง ในขณะที่กำลังหยิบจับของใส่บาตร
เรียนถามว่า วิบากจิตที่เกิดขึ้นรับรู้สี เสียง เย็นร้อน อ่อนแข็ง ฯลฯ เป็นต้น ในขณะที่กำลังกระทำกุศลกรรมใหม่หรืออกุศลกรรมใหม่อยู่ เป็นผลจากกรรมที่กระทำแล้วในอดีตที่เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้เกิดวิบาก สลับกันไปกับการกระทำกรรมใหม่อยู่ในขณะนั้น หรือว่าเป็นวิบากจิตที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ทางปัญจทวารที่กระทบ อันเป็นผลจากการกระทำกรรมใหม่นั้นเองครับ ซึ่งถ้าเป็นผลจากการที่กำลังกระทำกรรมใหม่อยู่ วิบากขณะนั้นเกิดจากปัจจัยใดครับ
ขอบคุณครับ
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมย่อมทราบเรื่องกรรมวิบากว่าเป็นเรื่องอจินไตย ไม่อยู่วิสัยของบุคคลทั่วไปควรคิด เพราะย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่าวิบากนี้เกิดจากกรรมใด กรรมในชาติไหนอนึ่ง โดยลำดับของวิถีจิตที่เกิดขึ้นมีจิตหลายชาติ เกิดสลับกันอยู่ตลอดครับ
โมทนาสาธุ ที่ตอบเช่นนี้ ขณะจิต เกิดดับสืบต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่เฉพาะกัมมปัจจัยเท่านั้น และรวดเร็วเกินความรู้ของเราจะเข้าใจได้
จากคำถาม อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องของอจินไตย หากแต่วัตถุประสงค์ที่เรียนถามมิได้เจตนาให้เป็นอย่างนั้นครับ หากแต่กำลังกล่าวถึงวิถีจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้น
ถ้าเรียนถามให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ ตัวอย่างเช่น ในขณะที่กำลังนึกคิดที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ภวังคจลนะไหว ภวังคุปัจเฉทะตัดกระแสภวังค์ จากนั้นมโนทวาราวัชนจิตเกิดขึ้น แล้วชวนจิตซึ่งประกอบด้วยเจตนาที่ตั้งขึ้นในการกระทำกุศลหรืออกุศลเกิดขึ้น เจตนานั้นเป็นปัจจัยจัยให้มีการกระทำไหวไปทางกายทวารก็ดี ทางวจีทวารก็ดี ซึ่งกว่าจะถึงการไหวไปเป็นการกระทำต่างๆ นั้นย่อมมีวิถีจิตเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน จนมีการกระทำกรรมออกมา แต่ในระหว่างที่กระทำกรรมนั้นเช่น หยิบไม้กวาดมากวาดลานวัด เป็นมโนกรรมที่กระทำทางกายทวาร แต่ในขณะที่หยิบจับไม้กวาดย่อมสัมผัสแข็ง ซึ่งจิตที่รู้แข็งย่อมต้องเป็นวิบากจิต จึงสงสัยว่าวิบากจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เป็นผลจากการกระทำอันเนื่องด้วยเจตนาที่ตั้งขึ้นในการกระทำนั้นเองหรือไม่
ส่วนขณะที่ไม่ได้มีการนึกคิดกระทำในสิ่งนั้น แต่ก็มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีสัมผัส เช่น ขณะที่กำลังเดินทาง ก็มีเห็นปรากฏ เห็นสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นวิบากจิตที่เกิดขึ้นอันเป็นผลจากกรรมในอดีตเป็นปัจจัย
อีกตัวอย่างหนึ่งที่พอจะเห็นชัดคือ เวลาที่รับประทานอาหาร ย่อมมีเจตนาจงใจในการรับประทาน ซึ่งผลกรรมในอดีตเป็นปัจจัยให้ได้รับรสที่ดีหรือไม่ดี ชิวหาวิญญาณซึ่งเป็นวิบากจิตก็เกิดขึ้นรับรสที่ดีหรือไม่ดีนั้น อันนี้จึงพอจะเข้าใจได้ชัด
หากแต่เมื่อเทียบเคียงกับการกระทำอื่นๆ เช่น การหยิบไม้กวาดเพื่อกวาดลานวัด หรือการกระทบสัมผัสที่เกิดขึ้นในขณะกระทำกรรมนั้นๆ อยู่ จึงทำให้เกิดความสงสัยดังที่ได้เรียนถามครับ หากแต่คำตอบสรุปลงที่อจิณไตย ก็ต้องขอขอบคุณครับ
ขณะนี้มีสภาพธรรมะกำลังปรากฏทางตา ทางหู ฯลฯ เป็นธรรมะที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ค่ะ
พระผู้มีพระภาคหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ทรงแสดงสภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทางตา หางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพื่อให้พุทธบริษัทได้รู้ตามความเป็นจริง ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ทุกขณะ ครับ
ที่ท่านถามมาทั้งหมดสามารถรู้ได้จริงๆ หรือเปล่า
เราไม่สามารถจะรู้ได้ถ้วนทั่วอย่างแน่นอนครับ เพียงแต่อย่างน้อยในหลักธรรมโดยเหตุโดยผลที่ทรงแสดง ซึ่งแสดงถึงความเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกับวิถีจิตต่างๆ เข้าใจว่า คงพอที่จะอธิบายโดยเหตุโดยผลได้ ซึ่งอาจมีหลายเหตุหลายปัจจัยอาจจะเป็นไปได้ทั้งกรรมในอดีตให้ผล หรือเป็นผลต่อเนื่องจากการกระทำในขณะนั้น (ไหม?) ซึ่งในเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ ทางมูลนิธิฯ จะมีความรอบรู้มากกว่าจึงได้เรียนถามในประเด็นที่สงสัยครับ
ผู้ถามคิดว่าไม่ได้ถามในสิ่งที่เกินเลยไปจากหลักธรรม เช่น ทำกรรมอะไรมาถึงต้องตาบอด ทำกรรมอะไรมาจึงต้องพิการ ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่เป็นอจิณไตยแต่ประเด็นที่ถามเน้นไปที่ความน่าจะเป็นเหตุปัจจัยอะไรได้บ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับวิถีจิตที่เกิดขึ้นและเป็นไปในชีวิตประจำวัน ซึ่งแม้คำตอบที่ได้รับคือ อจิณไตย ผู้ถามก็เข้าใจและต้องขอขอบคุณมูลนิธิฯ
ธรรมะที่กำลังปรากฏควรศึกษา ควรรู้ใช่ไหม
ใช่ครับ สภาพธรรมใดปรากฏควรระลึกรู้ตรงตามความเป็นจริงที่ปรากฏในขณะนั้น ซึ่งจะระลึกรู้ได้มากน้อยแค่ไหนก็ตามกำลังของบุคคล ที่ต้องค่อยๆ สั่งสมไปทีละเล็กละน้อย ซึ่งก็แน่นอนว่ายังไม่สามารถจะรู้ได้มากมายเท่ากับปริยัติที่ได้ศึกษา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติ ปริยัติจะศึกษามากมายแค่ไหนก็ได้เท่าที่กำลังจะศึกษาได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกโดยเรื่องราวโดยอรรถะ แต่เวลาที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ไม่ใช่ไปนั่งนึกคิดท่องปริยัติที่ได้ศึกษามา จึงเห็นว่าการสนทนาสอบถามความสงสัยโดยเหตุโดยผลในขั้นปริยัติก็น่าจะเป็นสิ่งที่กระทำได้
ดังที่เคยเรียนให้ทราบว่า ตนเองเป็นผู้ที่ติดตามฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์จากสื่อต่างๆ มานาน ด้วยความเคารพและชื่นชมอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อมีเว็บไซท์ของทางมูลนิธิฯ ก็รู้สึกดีใจ ที่หากมีข้อสงสัยประการใดจะได้สอบถามได้โดยตรง และเมื่อตนเองพิจารณาแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรก็เสนอความเห็นนั้นไปตามที่ตนเข้าใจ ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งความเห็นที่สอดคล้องกันโดยเหตุและผล แต่บางครั้งความเห็นนั้นก็อาจจะแตกต่างไปจากคำตอบของมูลนิธิฯ ซึ่งความเห็นที่ต่างไปจากคำตอบของทางมูลนิธิฯ นั้นหากพิจารณาแล้วก็เป็นไปโดยเหตุโดยผลอยู่ในหลักธรรมทั้งสิ้น มิใช่ดึงดันโดยขาดหลักการพิจารณา อีกทั้งความเห็นบางอย่างอาจต่างกันในตอนแรก แต่เมื่อได้สนทนาเพิ่มเติมและพิจารณาโดยเหตุโดยผลสนับสนุนเพิ่มเติมยิ่งขึ้น ก็ทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นได้ตรงกันในที่สุด (ดังความเห็นในกระทู้ต่างๆ ที่ผ่านมา ซึ่งทางมูลนิธิฯ คงสามารถค้นดูข้อมูลได้)
แต่บางคำตอบที่รู้สึกว่าอาจจะยังไม่ชัดเจน ก็เป็นเรื่องของการวินิจฉัยที่อาจต่างกัน แต่ก็อยู่บนหลักธรรมมิใช่เลื่อนลอย อย่างเช่นในกระทู้
ขณะปฏิสนธิกาลของอัณฑชกำเนิด
(บางครั้งผู้ถามได้เข้ามาติดตามกระทู้ เปิดดูโดยยังไม่ได้ล๊อกอิน เห็นว่ายังไม่มีการอัพเดทความเห็นล่าสุดที่ผู้ถามได้แสดงไว้)
ผู้ถามไม่แน่ใจว่า ประเด็นต่างๆ ที่ได้เรียนถามไปนั้น และในบางประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างไปจากคำตอบของทางมูลนิธิฯ จะเป็นการสร้างความลำบากหรือไม่สบายใจให้แก่ทางมูลนิธิฯ หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นขอทางมูลนิธิฯ กรุณาแจ้งให้ทราบ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ต้องขออภัยทางมูลนิธิฯ เป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ และคงขอยุติคำถามในประเด็นทั้งหมดที่สงสัยซึ่งอาจจะมีขึ้นได้ในวันหน้าไว้แต่เพียงเท่านี้ คงขอเป็นเพียงผู้ที่ติดตามฟังธรรมะจากท่านอาจารย์ฯ สุจินต์ ด้วยความเคารพและชื่นชมเหมือนเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ที่ยังไม่มีเว็บไซท์มูลนิธิฯ ส่วนข้อติดขัดสงสัยประการใด ผู้ถามเองคงต้องหาทางเพิ่มเติมเอาจากแหล่งความรู้อื่น เพื่อไม่ให้เป็นภาระหรือสร้างความลำบากให้กับทางมูลนิธิฯ
แต่หากมูลนิธิฯ ยินดีที่จะให้ใช้เว็บบอร์ดนี้เพื่อเรียนถามในข้อสงสัยต่อไป ซึ่งบางครั้งผู้ถามอาจมีความเห็นต่างออกไป ก็จะได้เรียนถามต่อไปเวลาที่มีประเด็นต่างๆ ที่ติดขัดสงสัยครับ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณมูลนิธิฯ ที่ได้กรุณาให้คำตอบ และแลกเปลี่ยนในประเด็นต่างๆ เป็นอย่างดียิ่งในหลายกระทู้ที่ผ่านมา และต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งหากความเห็นที่ต่างออกไปจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้มูลนิธิฯ ต้องลำบากใจหรือไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวงครับ
เรื่องผลของกรรมเป็นอจิณไตย เป็นเรื่องที่เกินวิสัยของปุถุชนที่จะสนทนาเพื่อหาคำตอบให้ได้ แม้เพียงเหตุผลก็ยังยากที่จะตอบจริงๆ ส่วนเรื่องของปัจจัยก็ยังเกินกำลังที่จะเข้าถึง ลำพังขั้นศึกษาเรื่องราวก็ยากมากแล้วครับ ถ้าจะให้รู้ความเป็นปัจจัยจริงๆ ของธรรมะที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ทั้งสภาพที่เป็นเหตุ หรือสภาพที่เป็นผล ก็ต้องเป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ 2 ปัจจยปริคหญาณ ซึ่งก็กล่าวได้ว่า อีกแสนไกล เหตุนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า การสนทนาธรรมที่จะมีประโยชน์จริงๆ คือ การสนทนาเพื่อให้เข้าถึงสภาพธรรมะที่กำลังมีในขณะนี้ครับ ถ้าเรายกเหตุการณ์ขึ้นมาอ้างอิง บางทีเหตุการณ์นั้นล่วงไปแล้วหรืออาจจะยังไม่เกิด จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างที่จะเกื้อกูลกันให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ในธรรมะขณะนี้ได้ยากครับ มีอะไรเราเปิดอกคุยกันตรงๆ ดีที่สุดครับ ผมก็เกิดความรู้จากคำถามของคุณ เรียนถามหลายประเด็นเหมือนกัน คิดว่าคุณคงไม่ได้น้อยใจนะครับ
ขอขอบพระคุณผู้ร่วมสนทนาทุกท่านที่ได้กรุณาให้ความเห็น สำหรับประเด็นนี้คงไม่ติดใจสงสัยอะไรเพิ่มเติมครับ และต้องขอขอบคุณในประโยคนี้ มีอะไรเราเปิดอกคุยกันตรงๆ ดีที่สุดครับ
ดังที่เรียนให้ทราบว่า ผู้ถามมีความเห็นอย่างไรก็อธิบายไปตามที่ตนเข้าใจอย่างตรงไปตรงมาโดยตลอด (บางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าอาจจะตรงเกินไปหรือเปล่า) ซึ่งก็มีทั้งความเห็นที่ตรงกันบ้าง บางครั้งก็อาจมีความเห็นต่างออกไปจากคำตอบที่ได้รับบ้าง บางครั้งความเห็นที่แตกต่างหากแต่ภายหลังเมื่อได้พิจารณาเพิ่มเติม ก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันดังในหลายๆ กระทู้ที่ผ่านมา ส่วนบางความเห็นก็อาจจะยังเห็นต่างกันอยู่ดังที่เห็นในบางกระทู้ แต่ผู้ถามก็อธิบายไปตามลำดับขั้นตอนด้วยเหตุด้วยผลในหลักธรรมทั้งสิ้น จึงมิได้น้อยใจแต่อย่างใดครับ แต่ว่ารู้สึกแปลกใจมากกว่าครับ คือแปลกใจว่าความเห็นที่แตกต่างไปจากคำตอบซึ่งได้รับจากทางมูลนิธิฯ แม้ผู้ถามจะอธิบายด้วยเหตุด้วยผลในหลักธรรมเพียงแต่เป็นมุมมองหรือวินิจฉัยต่างไป จะถูกปิดกั้นโดยปราศจากเหตุอันควร ดังเช่นในกระทู้
ขณะปฏิสนธิกาลของอัณฑชกำเนิด
ซึ่งจนถึงขณะที่พิมพ์กระทู้นี้ ยังไม่มีการอัพเดทความเห็นสุดท้ายที่ต่อจากความเห็นที่46 ซึ่งผู้ตั้งกระทู้ได้แสดงความเห็นไว้และอธิบายไปตามลำดับโดยเหตุโดยผล แต่ว่าอาจต่างไปจากคำตอบของทางมูลนิธิฯ เพราะผู้ถามยังไม่ชัดเจนในคำตอบที่ทางมูลนิธิฯ ได้กรุณาตอบ
ผู้ถามได้เรียนถามอย่างตรงไปตรงมา แต่ทางมูลนิธิฯ ไม่อัพเดทความเห็นของผู้ถามซึ่งมีความเห็นต่างออกไปจากคำตอบที่ได้รับดังในกระทู้ที่กล่าวถึง จะด้วยเหตุผลประการใดผู้ถามก็มิอาจทราบได้ เพราะมิได้รับการชี้แจงใดๆ จากทางมูลนิธิฯ ผู้ถามจึงใคร่ขอความกรุณาจากทางมูลนิธิฯ ช่วยอัพเดทกระทู้ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมาต่อกันครับ
ขอขอบพระคุณทางมูลนิธิฯ และขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ได้กรุณาร่วมแสดงความเห็นไว้ ณ ที่นี้ครับ
ขอร่วมสนทนาด้วยคนครับ
ในส่วนประเด็นคำถาม ผมเห็นว่ามีบทสรุปแล้วตามความเห็นที่ ๓ บรรทัดสุดท้ายและเสริมด้วยความเห็นที่ ๘ ครับ
ดังนั้น ประเด็นที่ยังสนทนาได้ต่อไป น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารจัดการคำถามคำตอบ และการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกในเวบไซต์บ้านธัมมะแห่งนี้ครับ ซึ่งผมเองในฐานะสมาชิกคนหนึ่งที่มิได้เป็นวิทยากรของมูลนิธิฯ และไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของบ้านธัมมะ จะขอแสดงความเห็นอันเป็นส่วนตัวนะครับ
เวบไซต์บ้านธรรมะเป็นสื่อรูปแบบหนึ่งที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาใช้ในการศึกษาและเผยแพร่พระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งทางมูลนิธิมีสื่อการสอนและกิจกรรมหลายอย่างสำหรับการเผยแพร่พระธรรม เช่น สื่อวิทยุ หนังสือ ซีดี การสนทนาธรรมที่มูลนิธิและสถานที่ต่างๆ ในโอกาสต่างๆ
เพื่อให้การเผยแพร่พระธรรมเป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง ผมจึงเห็นว่าการป้องกันความเห็นที่คลาดเคลื่อนสำคัญที่สุด สำคัญกว่าการบริหารจัดการสื่อให้มีประสิทธิภาพเพราะหากใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น มีผู้ฟังมาก ได้รับความนิยมมาก คนส่วนใหญ่พึงพอใจ แต่กลับเป็นแหล่งเผยแพร่ความเห็นผิด ย่อมไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลัก และผู้ศึกษาย่อมรู้ว่าความเห็นผิดนี้รู้ได้ยากและเป็นธรรมะที่หลอกลวง
ด้วยเหตุนี้ จึงมีบางคราวที่การบริหารจัดการสื่อโดยเฉพาะเวบไซต์บ้านธัมมะนี้ ดูเหมือนจะกระทบจิตใจผู้ใช้ ซึ่งรวมทั้งตัวผมเองด้วย แต่ด้วยความมั่นใจในความมั่นคงของท่านอาจารย์ และคณะผู้ทรงคุณวุฒิของมูลนิธิฯที่จะเผยแพร่พระธรรมตามแนวทางที่ถูกต้องเป็นหลัก ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าทุกการจัดการเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ศึกษาโดยรวม นั่นคือการป้องกันและหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ความเห็นที่อาจก่อให้เกิดความเห็นผิดได้
เนื่องจากผมเป็นผู้ที่ไม่มีภาระผูกพันธ์ในกิจการอันเป็นประโยชน์ใดๆ ของมูลนิธิฯ จึงได้อาศัยประโยชน์ในการศึกษาพระธรรมจากสื่อและกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิฯ ได้อย่างเต็มที่ตามความประสงค์ จึงขอกราบอนุโมทนาผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ช่วยกันทำให้การศึกษาของคนในยุคนี้เป็นไปได้ และเป็นไปด้วยความสะดวกยิ่งครับ
ขอบคุณครับ ตัวผู้ถามเองก็ได้ประโยชน์จากสื่อต่างๆ และติดตามฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์จากสื่อต่างๆ มานาน และเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จนต่อมาเมื่อมีเว็บไซท์แห่งนี้ ก็ได้แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมเป็นครั้งคราว ต่อมาเห็นว่าสื่อเว็บไซท์แห่งนี้มีประโยชน์สามารถจะแลกเปลี่ยนซักถามข้อสงสัยบางประการได้ จึงสมัครเป็นสมาชิกและมีข้อเรียนถามมาเป็นระยะๆ ซึ่งต้องขอขอบคุณทีมงานที่ดูแลเว็บไซท์แห่งนี้เป็นอย่างยิ่งครับ
ตัวผู้ถามเองเห็นด้วยที่มีการกลั่นกรองกระทู้ที่ไม่เหมาะสม หากแต่เมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น ทำให้เกิดความสงสัยว่า ความเห็นสุดท้ายที่ผู้ถามได้แสดงไว้ซึ่งไม่ได้รับการอัพเดทนั้น เป็นความเห็นที่ไม่เหมาะสมจริงหรือ? ผิดไปจากหลักธรรมจริงหรือ? กล่าวบิดเบือนไปจากหลักธรรมจริงหรือ? หรือเป็นเพราะจำนนต่อเหตุผล มิสามารถจะชี้แจงทำความกระจ่างได้เลยปกปิดนิ่งเฉยไว้ จึงขอความกรุณาทางผู้ดูแลเว็บไซท์ทบทวนว่าการกระทำที่กระทำต่อผู้เรียนถามนั้นถูกต้องแล้วหรือครับ
การกระทำเช่นนี้ทำให้ดูเสมือนว่าเป็นการโยนความผิดให้ผู้ถาม มิใช่การเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเห็นว่าผู้ที่ตรงต่อพระธรรม ตรงต่อเหตุและผลในหลักธรรมไม่น่ากระทำต่อผู้ที่เข้ามาพึ่งพาหาความรู้อย่างกรณีที่เกิดขึ้นนี้
หากทางผู้ดูแลเว็บไซท์เห็นว่าความเห็นนั้นผิด บิดเบือนต่อหลักธรรม ไม่สมควรอัพเดทขึ้นเว็บ อยากขอความกรุณาผู้ดูแลเว็บไซท์ได้ส่งความเห็นนั้นเป็นการส่วนตัวให้คุณ k ได้พิจารณาว่าความเห็นนั้นเป็นการบิดเบือนหลักธรรมหรือไม่ครับ
ผู้เรียนถามเข้ามาติดตามและชี้แจงในประเด็นนี้ เพราะเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้นทำให้รู้สึกว่าผู้เรียนถามซึ่งเข้ามาพึ่งพาหาความรู้ กำลังได้รับการกระทำที่บิดเบือนโดยการปกปิดความจริงไว้ครับ
ผมคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาจากธรรมชาติของสื่อด้วยครับ สื่อ Internet หรือ webboardเหมาะกับการเก็บฐานข้อมูลและการ Search ส่วนการถามการตอบยังมีข้อจำกัดอยู่มากซึ่งผู้ใช้ก็ต้องเข้าใจผู้บริการด้วย หากต้องการถามอย่างต่อเนื่อง ผมว่าน่าจะพูดคุยทางโทรศัพท์หรือไปถามท่านอาจารย์ที่มูลนิธิฯ น่าจะดีที่สุด
มีหัวข้อสนทนาที่น่าจะเกี่ยวข้องให้ทุกท่านได้ศึกษาเพิ่มเติมครับ
คำถามและการตอบคำถามตามที่ทรงแสดงไว้
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 12 โดย Sam
ผมคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาจากธรรมชาติของสื่อด้วยครับ สื่อ Internet หรือ webboard เหมาะกับการเก็บฐานข้อมูลและการ Search ส่วนการถามการตอบยังมีข้อจำกัดอยู่มาก ซึ่งผู้ใช้ก็ต้องเข้าใจผู้บริการด้วย หากต้องการถามอย่างต่อเนื่อง ผมว่าน่าจะพูดคุยทางโทรศัพท์หรือไปถามท่านอาจารย์ที่มูลนิธิน่าจะดีที่สุด
มีหัวข้อสนทนาที่น่าจะเกียวข้องให้ทุกท่านได้ศึกษาเพิ่มเติมครับ
คำถามและการตอบคำถามตามที่ทรงแสดงไว้
ได้อ่านกระทู้ตามลิ้งค์ คห.12 แล้ว เป็นประโยชน์ มากและก็เห็นด้วยกับคุณ K คห.10 ครับ
เท่าที่ทราบ การเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่กระดานสนทนา ในเวป นี้ โดยเฉพาะ ภายใน 1-2 เดือน ที่ผ่านมาก็เป็นการพยายามปรับปรุง พัฒนา เพื่อให้เป็นไปตามคำแนะนำ และความมุ่งหมายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหาวนเขตต์ ครับ
ขอบคุณคุณทางมูลนิธิฯ และผู้ดูแลเว็บไซท์ทุกท่าน ที่ได้กรุณาอัพเดทความเห็นสุดท้ายที่ผู้เรียนถามได้แสดงความเห็นไว้ต่อจากความเห็นที่ 46 ในกระทู้
ขณะปฏิสนธิกาลของอัณฑชกำเนิด
ขอขอบพระคุณทางมูลนิธิฯ ผู้ดูแลเว็บไซท์ และทุกท่านที่ได้กรุณาร่วมแสดงความคิดเห็นไว้ ณ ที่นี่เป็นอย่างยิ่งครับ