เมื่อระลึกถึงความไม่มีตัวตน เป็นชั่วขณะสั้นๆ ที่สติเกิดระลึกหรือคิดนึกสลับกัน การ
ดำเนินชีวิตก็เป็นปกติธรรมดา ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน หรืออยู่ร่วมกับผู้อื่น ในขณะ
นั้นก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีเย็น ร้อน อ่อนแข็ง ตึงหรือไหว ทั้งหมดเป็นธรรมะเกิดดับ
ตลอดเวลา แต่ปรากฏต่อเมื่อปัญญาเกิดระลึกรู้ว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องเรียกชื่อ
ขณะที่ระลึกถึงความไม่มีตัวตนเป็นการคิดนึก..ขณะนั้นยังมีตัวตน...ยืน เดิน นั่ง นอน การทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การเรียน การทำงาน และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นเป็นปกติ แต่ถ้าประจักษ์ความไม่มีตัวตน.........สงสัยอยู่เมือนกันคะว่าจะเป็นอย่างไร..?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สภาพธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุ จึงหาความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่ตัวตน สำหรับบุคคลผู้ที่มิได้สดับตรับฟังพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา ย่อมจะมีความเห็นผิดยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังเรื่องของสภาพธรรมบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นไปตามลำดับ จึงจะเป็นไปเพื่อความละคลายความเห็นผิดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ ซึ่งต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสมปัญญา และที่สำคัญ ธรรมไม่พ้นไปจากปกติชีวิตประจำวันเลย มีธรรมอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติ ชีวิตของผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เป็นชีวิตที่ปกติ ผู้ที่ท่านรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น ท่านก็รู้
แจ้งสภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ตามปกติ ดังนั้น ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น จึงจะสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การดำเนินชีวิตตามปกติของปุถุชนคืออยู่ด้วยความไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่า
เป็นธรรมไม่ใช่เรา การดำเนินชีวิตของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลดับความเห็นผิดได้แล้ว เป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ความเห็นถูก สภาพธรรมที่เกิดขึ้นกับพระอริยบุคคลและปุถุชนไม่เปลี่ยนไปเลย มีเห็น ได้ยินมีการ
คิดนึก มีการเดิน ยืน นั่ง นอนตามปกติแต่ต่างที่ปัญญาความเห็นถูก ดังนั้นการดำเนิน
ชีวิตของผู้มีปัญญาย่อมเป็นไปในทางที่ถูกต้อง เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมจึงไม่
เบียดเบียนผู้อื่นมีการฆ่า เป็นต้น เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จึงไม่ได้หมายความว่าเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เราจะไม่ทำอะไรหรือละเลยหน้าที่ควรทำ แต่ว่า
ตรงกันข้ามปัญญานั้นเองที่เห็นถูกว่าเป็นธรรม จึงทำให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรไม่ควร
ตามความเป็นจริงและไม่ได้ยึดถือว่าไม่ใช่เราด้วยครับ การดำเนินชีวิตจึงเป็นปกติแต่เป็นไปเพื่อความเห็นถูกและเจริญในกุศลธรรมมากขึ้น
เพราะเกิดจากปัญญาความเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาค่ะ