ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ วันอังคารที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๒ มีการสนทนาธรรม ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จัดโดยสาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ คณะบริหารธุรกิจ ร่วมกับมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่ง ผศ. ดร. สุวรจน์ เขมาวุฒานนท์ อาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ [สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๑๕๙๓] เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จึงมีความประสงค์ที่จะให้โอกาสแก่บุคคลอื่นได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องด้วย ตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ คือ "เพื่อให้นักศึกษา บุคลากรของมหาวิทยาลัยและผู้สนใจ เข้าใจความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าสูงสุด" โดยได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาโดยตลอด รวมถึงหัวข้อแห่งการสนทนาด้วย ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ "ชีวิตจะไปทางไหน" แต่ละคนที่เกิดมา มีชีวิตเป็นไปอยู่ทุกขณะ แล้วจะไปทางไหน ทางผิด หรือ ทางถูก แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรว่า ทางไหนผิด ทางไหนถูก ก็ต้องได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จึงเป็นโอกาสที่จะได้สนทนา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไป เป็นการได้ฟัง ได้ศึกษาในสิ่งที่มีค่าที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต
อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ได้นำสนทนาเป็นลำดับด้วยดี เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่สำคัญในครั้งนี้ ได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ตามความเป็นจริง สำหรับวีดีโอการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ประมาณสองชั่วโมงครึ่ง จะได้เผยแพร่ทางยูทูป ช่อง มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ต่อไป ในโอกาสอันไม่นานนี้
แต่ละคนที่เกิดมา ก็เป็นมนุษย์ มีชีวิตเป็นไปแต่ละขณะๆ นั้น ก็ควรที่จะได้เข้าใจด้วยว่า มนุษย์ มีความหมายว่าอย่างไร แล้วที่มีความประพฤติเป็นไปอยู่ในชีวิตประจำวันนั้น เป็นมนุษย์จริงๆ ตามคุณธรรมของมนุษย์หรือไม่
ข้อความในปรมัตถทีปนี อรรถกถา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปฐมปีฐวิมาน อธิบายความหมายของมนุษย์ไว้ว่า
“ในบทว่า มนุสฺสภูตา นี้ ชื่อว่า มนุษย์ เพราะมีใจสูง คือ มีใจอันสร้างสมโดยคุณคือสติ (ระลึกเป็นไปในกุศล) ความกล้า (ในทางที่เป็นกุศล) ความประพฤติอย่างประเสริฐ ความเพียร ความมั่นคง มีจิตประกอบด้วยคุณอันสูงสุด”
และ
“ผู้ใด รู้จักประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ของตน เชื่อผลแห่งกรรม มีหิริ (ละอายบาป) โอตตัปปะ (เกรงกลัวบาป) สมบูรณ์พรั่งพร้อมด้วยความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง มากไปด้วยความสลดใจ งดเว้นอกุศลกรรมบถ ประพฤติเอื้อเฟื้อในกุศลกรรมบถ บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุทั้งหลาย ผู้นี้ ตั้งอยู่ในมนุษยธรรม ชื่อว่า มนุษย์โดยปรมัตถ์ (คือเป็นมนุษย์ที่แท้จริง) ”
เพราะฉะนั้น มนุษย์ หมายถึง ผู้ที่มีใจสูง ใจสูงด้วยคุณธรรม สูงด้วยความดีประการต่างๆ สูงด้วยศีล ด้วยความเพียร ด้วยความประพฤติอันประเสริฐ ด้วยความมั่นคงที่จะเจริญซึ่งความดีประการต่างๆ และนอกจากนั้น มนุษย์ ยังหมายถึง ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ และ มิใช่ประโยชน์ ด้วย เมื่อรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งมิใช่ประโยชน์แล้ว ก็น้อมประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วละเว้นในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ นี้คือ ความหมายของมนุษย์ และเป็นมนุษย์ที่แท้จริงด้วย
การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม เท่านั้น แต่เพราะมีจิตที่หลากหลายต่างกันออกไป มีการกระทำที่แตกต่างกัน มีการได้รับผลของกรรมที่ต่างกัน มนุษย์จึงมีหลายประเภท ก็เพราะจิต นั่นเอง กล่าวคือ ถ้าจิต ดี เป็นกุศลจิต มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ก็เป็นมนุษย์ที่ดี แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นอกุศลจิต เป็นจิตที่ไม่ดี มีการกระทำที่ไม่ดี ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่ดี
ถ้าจะถามว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ มีชีวิตที่สั้นแสนสั้นแล้วจะทำอะไร จะไปทางไหน? แต่ละบุคคลก็อาจจะตอบกันไปคนละอย่างตามการสะสม แต่สำหรับบุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้สะสมความเห็นถูก เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต ย่อมจะมีความเข้าใจว่า ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้เลยแม้แต่คนเดียว สิ่งที่คิดว่าได้มาแล้วทั้งหมด ที่แสวงหาอยู่ทุกๆ วัน แม้แต่เมื่อวานนี้ ขณะนี้อยู่ที่ไหน ความสุขเมื่อวานนี้ อยู่ที่ไหน สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสนุกสนานเพลิดเพลิน อาหาร หรือ ลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ เป็นต้น เหล่านี้ ไม่สามารถจะติดตามไปถึงโลกหน้าได้เลย ประโยชน์สูงสุดที่เกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ แท้จริง ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา มีความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นที่พึ่งในชีวิตได้จริง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้สะสมกุศล คือ ความดี นำมาซึ่งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์สูงสุด คือ สามารถทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด มีแต่จะนำมาซึ่งประโยชน์โดยส่วนเดียวเท่านั้นจริงๆ ซึ่งต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตั้งแต่ในขณะนี้ เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีปัญญาเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี นำไปสู่คุณความดีทั้งปวง ไม่นำพาไปในทางที่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเหตุว่า บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมรู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรถูก อะไรผิด แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ จึงเป็นเสมือนมีเครื่องปกครองหรือเครื่องนำทางชีวิตที่ดี ว่า สิ่งนี้ท่านควรทำ สิ่งนี้ท่านไม่ควรทำ สิ่งนี้ควรอบรมให้เจริญมากขึ้น เป็นต้น เพราะปัญญาที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นนั่นเอง
ในหนังสือ เก็บไว้ในหทัย ก็มีหลายท่อนทีเดียว ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวถึงคุณของปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ดังนี้ คือ
~ ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก นำไปในกิจทั้งปวงที่เจริญ ที่เป็นกุศล ที่ถูกต้อง ไม่ใช่มีเราสามารถบังคับตัวเองให้เราเป็นคนดีได้ แต่ว่าความเข้าใจธรรมต่างหากที่ค่อยๆ ขัดเกลาความไม่ดีและความไม่รู้
~ ความเข้าใจถูกความเห็นถูก คือ ปัญญา นำไปในกิจทั้งปวงที่ดีงามที่เป็นกุศล อกุศล ความไม่รู้ จะนำไปสู่ความดีไม่ได้เลย ตัวเองก็ไม่ดีแล้วจะนำไปสู่ความดีได้อย่างไร
~ แค่ปัญญาที่เห็นโทษของอกุศลแล้วก็เห็นประโยชน์ของกุศล ก็จะค่อยๆ นำไปสู่การที่จะเห็นประโยชน์ของกุศลเพิ่มขึ้น
~ บุคคลที่รู้ความจริงจะไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ จะไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศล แต่ว่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำสิ่งที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น โลกนี้ จะเป็นสุขขึ้น เพราะธรรม คือ ความเข้าใจความจริง
~ ความเข้าใจความเป็นจริงของธรรม จะนำไปสู่กุศลทั้งปวง ไม่รั้งรอโอกาสด้วย เพราะใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน เดี๋ยวนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้
~ โอกาสที่จะทำความดี หายาก เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะทำความดีเมื่อไหร่ ถ้าไม่ทำ ขณะนั้นก็เป็นอกุศล ก็สะสมอกุศลต่อไป
~ เข้าใจธรรม เมื่อมีปัญญาแล้ว ปัญญาก็นำไปในกิจทั้งปวงที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่สำคัญว่าใครจะรัก ใครจะชังหรืออย่างไร แต่ได้ทำสิ่งที่ถูก ก็เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิต
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกขณะที่ได้เข้าใจพระธรรมค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ