การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือเข้าใจพระธรรม
โดย sutta  20 พ.ย. 2562
หัวข้อหมายเลข 31311

เมือง Landour near Mussoorie India

การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือเข้าใจพระธรรม กับ อ.สุจินต์ เมือง Landour near Mussoorie India 21-25 มกราคม 2562

กระทู้การเดินทางครั้งนี้มากับท่านอาจารย์สุจินต์และคณะสหายธรรมหลายๆ ท่าน มี คุณ Ann Marshall ชาวแคนาดา สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ 929 ที่ฟังธรรมท่านอาจารย์มานาน สี่สิบกว่าปีและสามารถฟังธรรมภาษาไทยได้

คุณ Ann Marshall ได้มีโอกาสฟังวีดีโอยูทูปการสนทนากับท่านอาจารย์ ที่เมือง Landour ใกล้เมือง Mussoorie ทางอินเดียตอนเหนือใกล้ภูเขาหิมาลัย วีดีโอมีความยาวยี่สิบกว่านาที ซึ่งคุณ Ann Marshall ได้ปรารภกับผมว่าชอบมาก เพราะแสดงถึงจุดประสงค์การศึกษาธรรมคืออะไร ให้เข้าใจความจริงขณะนี้ ไม่ใช่เราเป็นธรรมและแสดงความละเอียดของสภาพธรรมแต่ละอย่าง มี อนุสัย เป็นต้น รวมทั้ง กล่าวถึงเรื่องสำนักปฏิบัติธรรมผิดอย่างไร เข้าใจได้เป็นอย่างดี

ควรอย่างยิ่งที่จะนำการถอดเทปสนทนาธรรมเพื่อประโยชน์กับท่านอื่นๆ อีกหลายๆ ท่านที่จะได้อ่านและขอนำภาพการเดินทางพักผ่อนสบายๆ เป็นปกติ อนัตตา รวมทั้งข้อความธรรมที่มีสาระดีมากๆ ซึ่งประโยชน์ที่แท้จริงของกระทู้นี้ คือ ผู้อ่านได้เกิดปัญญาเข้าใจธรรมในหนทางที่ถูกต้อง

การเดินทางของคณะท่านอาจารย์ทั้งหมด 17 ท่าน มีไกด์โจ้ มืออาชีพไปดูแล ข้าพเจ้าเลือกสถานที่ที่อากาศดี บริสุทธิ์ แทนที่จะเที่ยวเยอะ ก็ให้ผู้มีพระคุณได้พักผ่อนนิ่งๆ ในอากาศที่ดีมากๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาหาอยู่นานในประเทศอินเดีย จนพบรีสอร์ทที่สวยงาม ชื่อ Rokeby Manor ในเมือง Landour ใกล้เมือง Mussoorie เมืองนี้ได้ฉายาในประเทศอินเดียว่า ราชินีแห่งขุนเขา เพราะอยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัย ล้อมรอบ ดินแดนที่พระปัจเจกพุทธเจ้าสมัยพระพุทธศาสนาและพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ เสด็จประทับอยู่ที่นี่

เริ่มเดินทางในวันที่ 21 มกราคม 2562 โดยเริ่มจากสนามบินพาราณสี เพื่อบินต่อไปสนามบินเดลี และ บินต่ออีกครั้งไปเมือง Dehradun ซึ่งเป็นการบินสั้นๆ สบายๆ

ท่านอาจารย์เปี่ยมด้วยเมตตา เห็นคุณค่าของเวลาที่จะมีให้ผู้อื่น ที่จะให้เกิดปัญญาเข้าใจพระธรรม ในวันที่ 21 มกราคม 2562 คณะเดินทางกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางกลับประเทศไทยที่สนามบินพาราณสี ท่าน อ.สุจินต์ ก็ได้เกื้อกูลคณะนั้น เพราะเขามีศรัทธา เขามาหาท่านอาจารย์เพื่อรับฟังพระธรรมที่ถูกต้องตามความเป็นจริง

พระธรรมจึงเป็นเรื่องปกติ อะไรเกิดแล้วก็เป็นปกติ จะสนุก จะเที่ยว จะฟัง จะได้ยินพระธรรม ก็เป็นปกติ อนัตตา เกิดแล้วตามเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนที่จะไปทำ ให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของธรรมทำกิจ อยู่ที่ไหน ก็อบรมปัญญาได้ ที่สนามบิน ก็อบรมปัญญาได้ เพราะมีการฟัง มีการได้ยินพระธรรมที่ถูกต้อง และมีธรรมที่กำลังเกิด ไม่ใช่จะต้องเจาะจงไปที่สำนักปฏิบัติธรรม ที่ทำให้เข้าใจผิด เพราะลืมว่า ธรรมมีอยู่แล้วในขณะนี้ ขาดเพียงแต่ปัญญาเท่านั้นที่จะเกิดรู้ขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แล้วปัญญาจะมีได้อย่างไร ก็ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม

เครื่องบินออกเดินทางจากสนามบินพาราณสี สู่ สนามบินเดลี ใช้เวลา 1 ชั่วโมง และ เราก็เตรียมบินต่อ ในช่วงเย็นวันนี้ ที่สนามบินเดลี ครับ ไปที่เมือง Dehradun

ถึงสนามบินเดลีแล้ว ก็รับประทานอาหารกลางวัน และ สบายๆ ตามปกติ ตามธรรมที่เกิด รอบินต่อ

ชีวิตปกติ เห็น ได้ยิน ไม่พ้นจาก ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนกว่าจะมั่นคงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ละขณะ

เราก็บินต่อไปเมือง Dehradun อีกหนึ่งชั่วโมง และเดินทางมาถึงโรงแรม Regenta Lp Vilas By Royal Orchid Hotels โรงแรม 5 ดาว ในเมือง Dehradun ในช่วงค่ำ โรงแรมและเมืองนี้ มีคนไทยมาบ่อยครับ คนไทยเชื้อสายอินเดีย จะส่งบุตรของตนเองมาเรียนหนังสือ ชั้นประถม และชั้นมัธยมที่นี่ เพราะเมืองนี้ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องการศึกษาที่ดีมาก เพราะ ทางอังกฤษเคยมาวางรากฐานการศึกษาที่เมืองนี้

โรงแรมก็เตรียมอาหารไทยสไตล์อินเดีย แต่ เป็นครั้งแรกที่ทำได้ใกล้เคียงกับเมืองไทย ทำทั้งข้าวกระเพรา แกงเขียวหวานก็ทำได้ดี ใกล้เคียงมากครับ มื้อนี้ เราก็เลยรับประทานกันเยอะ เพื่อ เตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ เพื่อไปเมือง Landour เมืองตากอากาศของชาวอังกฤษ ที่จะต้องขึ้นเขาไปประมาณ สองชั่วโมง

เช้านี้ที่โรงแรม อากาศเย็น 10 องศา เนื่องจากเป็นช่วงหน้าหนาวของอินเดีย จะมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันมากๆ หนาว ก็หนาวจัด ร้อนก็ร้อนจัด

เมื่อคืน พยากรณ์อากาศแจ้งว่า บนยอดเขา ประมาณ 3-4 องศา อาจมีฝนหรือหิมะ เกิดมาไม่เคยเจอหิมะที่อินเดีย เลยแจ้งสมาชิก 17 ท่าน เตรียมเสื้อกันหนาวให้พร้อมสำหรับเดินทางพรุ่งนี้

เช้านี้ เริ่มออกเดินทางไปเมือง Landour ใกล้เมือง Mussoorie เมืองที่ได้ฉายาว่า ราชินีแห่งขุนเขา เพราะ ล้อมรอบด้วยภูเขาและใกล้หิมาลัย ไปกันต่อครับ เราจะพาท่านอาจารย์และสมาชิกไปพักผ่อนนิ่งๆ อยู่ที่เดียวหลายคืนที่เมืองตากอากาศ อากาศดีกัน

เราค่อยๆ นั่งรถไต่ระดับความสูงมาเรื่อยๆ ครับ

หมู่บ้านของอินเดีย ก็ปลูกตามไหล่เขาครับ จนไต่สูงขึ้นมาเรื่อยๆ

เริ่มเห็นหุบเขา สวยๆ ในวิวสวยๆ แล้วครับ นั่งมาได้สองชั่วโมงกว่า ก็ใกล้ถึงที่หมาย ทางไกด์อินเดียบอกในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น แม้จะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎ คือ ฝนเริ่มตก ครับ ก็ไม่คิดมากอะไร สักพัก ฝน ก็ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่ขาวๆ ปุยๆ เล็กน้อย ไกด์บอกนี่หิมะตกแล้ว ไม่คิดว่าจะตกเร็วแบบนี้ หิมะ ถ้าตกหนักมาก รถจะเดินทางต่อไม่ได้

วิ่งไปเรื่อยๆ ข้างทางมีหิมะแล้วครับ วิ่งไปเรื่อยๆ คราวนี้หิมะ เริ่มตกเรื่อยๆ รถไปไม่ได้แล้วครับ เพราะ หิมะเริ่มเยอะ รถคันข้างหน้า ข้างหลัง ต้องจอดไปไม่ได้กันหมด คนอินเดียอยู่ข้างหน้า ก็เล่นปาหิมะกันใหญ่

ถามว่าข้างนอกหนาวไหม หนาวใช้ได้ครับ แต่เตรียมเสื้อผ้ามากันพร้อม สิ่งที่ปรากฎทางกาย คือ รู้ความหนาว กับ ทางตา คือ สีขาว ที่สมมติเรียกว่าหิมะ ก็เป็นธรรมคนละอย่าง ไม่ปนกัน

ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

ไกด์แจ้งว่าหิมะ จะตกไปเรื่อยๆ สองวันเต็มๆ ทั้งวันทั้งคืน จริงหรือเนี่ยครับ! หนักขนาดนั้น ไกด์บอกว่าเราต้องรีบไป ก่อนที่รถลุยหิมะ จะเดินทางไม่ได้ เพราะ หิมะที่ถนนจะหนามากๆ

ทางโรงแรมที่ผมจองไว้ ชื่อโรงแรม rokeby manor landour โทรมาแจ้งไกด์ว่า คุณอยู่ห่างจากโรงแรม 700 เมตร คุณโชคดีมาก ไม่เช่นนั้นขึ้นไม่ได้

โรงแรม rokeby manor landour ก่อนหิมะตก แจ้งเราว่าจะเอารถลุยหิมะมารับ อยู่ห่างจากที่เราจอดรถไว้ 700 เมตร แต่เป็นทางลาดชัน

บ้านที่จะพักกัน รูปก่อนหิมะตก

รถลุยหิมะ นั่งได้ครั้งละสองคน ผมพาท่านอาจารย์ไปก่อน ครับ และ คุณป้าจี๊ดค่อยตามไป ส่วนคนอื่นๆ บางคนไม่รอ ขอเดินไปเลย ครับ โห ตามเหตุปัจจัยครับ อยากเดินลุยหิมะ ขอนำภาพระหว่างทางจนถึงโรงแรมของสหายธรรมแต่ละท่านมา ครับ หิมะตก เปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นอีกแบบทันที และขอนำคำสนทนาธรรม กับท่านอาจารย์ ที่ได้ถอดเทป ในการมาพักผ่อนและสนทนาธรรมครั้งนี้ ตลอด ยี่สิบกว่านาที มาให้อ่านด้วย เนื้อหาดีมากจริงๆ

ท่านอาจารย์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มี

ผู้ถาม แล้วอดีตที่ผ่านมาหละครับ

ท่านอาจารย์ หมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละหนึ่งที่เขาเกิด สะสมอยู่ในจิตเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้เกิดข้างหน้า จะชอบอะไร จะไม่ชอบอะไร มีวิถีชีวิตยังไงต่อไป แต่ปัจจุบันขณะสำคัญที่สุด

เพราะถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ปรากฎโลกก็ไม่มี ลองคิดดูสักหนึ่งขณะจิตถ้าไม่มีอะไรปรากฎเลยเนี่ย โลกจะมีไหม

สิ่งที่มีแน่นอน มันต้องเกิด แต่ว่าไม่มีใครไปทำ ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขา พระอาทิตย์ จักรวาล ไม่มีใครไปทำ แต่มีปัจจัยให้เกิดก็เกิด

และถ้าเกิดเพียงรูปธรรม ไม่มีนามธรรมเลย โลกก็ไม่ปรากฎ แต่ว่าใครก็ยับยั้งธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิกไม่ได้ ทั้งหมดเป็นธาตุ

พอพูดถึงคำว่าธาตุ ก็เหลือวิสัยที่ใครจะจัดการอะไรทั้งสิ้น เพราะความเป็นไปของเขาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงมีธรรมนะคะ ที่เป็นนามธรรม คือ จิต เจตสิก อาศัยกันและกันเกิดขึ้นซึ่งเป็นสภาพรู้

ท่านอาจารย์ รวมทั้งท่านอื่นๆ ก็ทยอยตามกันมา เข้ามาในโซนของโรงแรม rokeby manor landour โรงแรมนี้ มีอายุ ร้อยกว่าปี เป็นโรงแรมห้าดาว เคยเป็นศูนย์โทรเลขเก่าของอังกฤษรวมทั้งที่พักตากอากาศของชาวอังกฤษ ลักษณะของบ้านจึงเป็นแบบชาวอังกฤษครับ ข้างในอุ่นมากๆ และ มีฮีตเตอร์ทุกตัวในห้อง โดยตัวแอร์นั้นเองเป็นฮีตเตอร์

บริเวณล็อบบี้โรงแรมส่วนกลางครับ เสริฟช็อกโกแลตร้อนให้ท่านอาจารย์ดื่ม ที่โซนล็อบบี้ ก็จะมีทางเดินไปสู่ห้องต่างๆ รวมทั้งบ้านหลังใหญ่ที่ผมจองไว้ เพื่อเป็นที่ส่วนกลางสำหรับพูดคุยกันด้วย บ้านหลังนี้

บ้านหลังใหญ่ตอนหิมะยังไม่ตก

พวกเราเตรียมเดินไปส่งอาจารย์ที่บ้านหลังใหญ่นี้ครับ เดินไปไม่ไกล แต่ หิมะยังตกอยู่ ท่านอาจารย์ดูหิมะ และกล่าวว่า ดิฉันเคยเห็นแต่ตอนหิมะตกไปแล้ว แต่ตอนหิมะกำลังตกไม่เคยเห็นเลยค่ะ สวยมาก ค่ะ และโรงแรมก็แจ้งว่าหิมะไม่ได้ตกมาที่นี่ สี่ปีแล้ว ช่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่บังเอิญแท้ๆ

ไกด์อินเดียมาเล่าตอนกลับว่า กลุ่มคุณโชคดี มีกลุ่มอื่น เดินทางขึ้นมาเส้นนี้เหมือนกัน เขาโทรมาหาผมว่าติดหิมะ ช่วงวันเดียวกับเราเลย แต่เขาช้ากว่ากลุ่มเราไป 30 นาที และห่างจากโรงแรม 4-5 กิโล แต่เขาต้องลงเดินเพราะรถไปต่อไม่ได้ รถลุยหิมะก็เข้าไม่ถึง เขาเดินไปโรงแรมที่พัก 6-7 ชม. เพราะไม่เดินต่อไป หิมะ จะตกหนักเรื่อยๆ สองวันสองคืน และ หิมะก็ตก เฉพาะช่วงที่เราไป เพียง สามวันแล้วก็ไม่ตกอีกครับ ก็ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยของแต่ละคน แต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลย

โรงแรมที่เราพักกลายสภาพเป็นแบบนี้แล้ว

บ้านพักใหญ่ส่วนกลาง

ตามทางเดินที่จะเข้าสู่บ้านหลังใหญ่

มองจากด้านล็อบบี้เข้าไปที่บ้านหลังใหญ่

ผมและสหายธรรมพาท่านอาจารย์กางร่มผ่านหิมะที่ยังไม่ตกหนักมาก ไปบ้านหลังใหญ่ ประมาณ 30 เมตร

สดใส สบายๆ ตามปกติ พักผ่อน ด้วยสถานที่และอากาศที่ดี และบรรยากาศงดงามและพักผ่อนที่ดีที่สุด คือ เข้าใจพระธรรม

สั่งอาหาร โรงแรมนี้เป็นโรงแรมแบบอังกฤษ มื้อแรก ก็จะเป็นอาหารฝรั่งครับ มาเสริฟในห้องเลย

ท่านเข้าบ้านพัก อบอุ่น สบายๆ และ ก็มาชื่นชมบรรยากาศ ชีวิตปกติ แต่ไม่ทิ้งธรรม

บรรยากาศกระเช้าต้นไม้ที่มองออกมานอกหน้าต่างบ้านหลังใหญ่

ส่งผู้มีพระคุณ สบายเรียบร้อยแล้ว สหายธรรมบอกว่าโมเม้นต์นี้หายาก เล่นหิมะ ถ่ายรูปกันต่อ ขอนำภาพและสาระธรรม มาต่อ

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหมดที่ต้องเข้าใจจริงๆ คือสิ่งนี้ สิ่งที่มี ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่มีต้องเกิด เกิดแล้ว ที่เราไม่รู้ก็คือดับ

แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งทั้งหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลอย่างเราเนี่ยถ้าไม่เคยได้ฟังเลย จะคิดหรือว่าเดี๋ยวนี้ดับ ไม่มีทางรู้เลย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง แม้แต่จิต เจตสิกที่เกิดแต่ละหนึ่งพระองค์ก็ทรงรู้และรู้ว่าไม่ใช่เรา

พระพุทธศาสนา พุทธะ คือ ปัญญา ศาสนาคือคำสอน เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของผู้เลิศด้วยปัญญา ไม่มีใครเทียบเท่าเลยนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าพระองค์ไม่สอนใครจะรู้ได้ แต่เมื่อมีพระพุทธเจ้าแล้วก็มีพระธรรม ที่เป็นคำสอนที่เป็นพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจถูกตามพระองค์

เพราะว่าสัตว์โลกไม่มีทางที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นคำที่พระองค์ทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริง เพราะพระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงจึงได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เกิดแล้วก็ดับ นี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันพรุ่งนี้และมะรืน ก็พักผ่อนกันที่นี่ครับ เพื่อให้ท่านอาจารย์ได้พักผ่อนเต็มที่ สนทนากันสบายๆ บ้าง ซึ่งจะมีในวันสุดท้าย และได้ลงยูทูป และผมก็ได้ถอดเทปให้อ่านเป็นช่วงๆ ในกระทู้นี้ ครับ

วันรุ่งขึ้น ไกด์โจ้ ก็นำอาหารไทยมาจากเมืองไทย มากมาย ทำอาหารให้พวกเราและท่านอาจารย์กันครับ รวมทั้งก็มีกลุ่มย่อยสนทนาธรรม ตามกาล

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องตั้งต้นมั่นคงในใจของเรานะคะ ธรรมเป็นอนัตตา ถ้าจะพูดภาษาไทย คือ ไม่ใช่เรา หรือ ไม่มีเรา เพราะว่าเกิดแล้วดับไปไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างไม่กลับมาเลย เพราะฉะนั้นไม่มีเรา ไม่มีตัวตน แต่การเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ต่อกันสนิทๆ จนเป็นนิมิต เนี่ยรูปร่างสัณฐานแต่ละอัน ทำให้สัญญาเจตสิกที่เป็นสภาพธรรมที่ต้องจำเกิดขึ้น

จำคลาดเคลื่อน (สัญญาวิปลาส) จึงใช้คำว่า วิปลาส สัญญาวิปลาส คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะเหตุว่าอันนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎ แล้วก็เกิดดับและปรากฎเป็นนิมิต จำนิมิตว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตานุทิฎฐิ อัตตานุทิฎฐิไม่ว่าอะไรทั้งหมดนะคะที่เราเข้าใจว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นอัตตานุทิฎฐิ

แต่อัตตานุทิฎฐิที่ตัวเรา ที่ยึดถือที่กายตัวเรา เรียกว่า สักกายทิฏฐิ กับ อัตตานุทิฎฐิเท่ากันเลย 20 อย่าง เหมือนกันเป๊ะ เพราะอันนี้ก็คืออันนี้ อันนี้ก็คืออันนี้ แต่ถ้ายึดถือที่กายเรา ไม่ใช่วัตถุอื่น ก็เป็นสักกายทิฏฐิ

อย่างถือว่าเป็นคุณเล็กก็เป็นอัตตานุทิฎฐิแต่ตัวคุณเล็กเองเป็นสักกายทิฏฐิเพราะว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็ยึดถือว่ามีเรา มีของเรา แต่ความจริงมันไม่มี เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดดับ พอรู้อย่างนี้จึงเห็นพระปัญญาคุณ และเห็นคุณของพระธรรมที่ทรงแสดงว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเราศึกษาง่ายๆ แล้วก็ไปนั่งทำสมาธิแล้วก็ไม่รู้อะไร ไม่ใช่เลยค่ะแต่ว่าเป็นการดับกิเลส

กิเลสอนุสัยนะคะซึ่งมันสะสมอยู่ในจิต แต่เป็นปัจจัยให้มากระทบอะไรเนี่ยเกิดเป็นกิเลส อนุสัยไม่เกิดเลย อนุ (ตาม) สย (นอน) ตามนอนอยู่ในจิต แล้วก็สะสมหนาแน่น ตัวมันเองไม่เกิดแต่มันเป็นเชื้อไงคะ ในฐานะที่มันเคยเกิดแบบคราบกาแฟเนี่ย ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นคราบกาแฟดื่มไม่ได้หรอก เวลาที่อกุศลเกิดและดับไป ตัวนี้แหละที่ติดอยู่ในจิตเป็นอนุสัยกิเลส

กิเลสทั้งหมด อกุศลเจตสิกพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงประเภทต่างๆ เพราะมันต่างกันใช่ไหมคะ อย่างความติดข้องในรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเนี่ย เกิดมาก็ติดแล้ว เพราะฉะนั้นเป็น กามราคานุสัย ความติดข้องในกาม กามได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นอนุสัย

แล้วปัญญาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราเนี่ย คุณค่ามหาศาลนะคะ เพื่อให้ดับอนุสัยกิเลส เพราะฉะนั้นฟังธรรมไม่ใช่แค่ฟังแค่เผินๆ แต่ฟังด้วยความรู้คุณจริงๆ ค่ะ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่รู้เรื่องว่าขณะนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ทั้งหมดเป็นธรรม ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืนที่จะเป็นของเรา พอสิ่งนี้ยั่งยืนก็ติด (ติดข้องด้วยกิเลส) แต่จะหมดความติดข้องเมื่อเห็นความไม่มีของสิ่งนี้เมื่อดับ

เช้าวันสุดท้ายของวันที่ 24 มกราคม 2562 จะมีทีมต้องบินกลับกันก่อน 7 คน ส่วนอีก 8 ท่าน อยู่พักที่นี่อีกคืน วันนี้หิมะหยุดตกแล้ว ฟ้าเปิด อากาศสดใสมาก

พาท่านอาจารย์มาเดินเล่น สบายๆ และ ทานอาหารมื้อเช้ากันครับ ที่นี่มีแมวและสุนัขด้วย ท่านอาจารย์เอ็นดูและเมตตา สหายธรรมก็ให้อาหาร ปลาทูและอื่นๆ

ผู้ถาม ท่านอาจารย์ครับ ประโยชน์อะไรที่ท่านอาจารย์ถึงเน้นเรื่องความไม่ใช่เรา

ท่านอาจารย์ เพราะธรรมเป็นความจริงอย่างนั้นค่ะ เราใช้คำว่าธรรม เราไม่ได้บอกว่า ถ้วย แก้ว โต๊ะ เก้าอี้ แต่ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย

ผู้ถาม ท่านอาจารย์คะ อนุสัยกิเลสมันนอนเนื่องอยู่ ถ้ามันไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทบ ไม่มีเห็น ให้เรามีความเข้าใจว่าเห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา

ท่านอาจารย์ เราข้ามความละเอียดไม่ได้ค่ะ กำลังนอนหลับสนิท ไม่เห็น เหมือนไม่มีกิเลสใช่ไหมคะ แต่พระอรหันต์นอนหลับสนิท ไม่เห็น แต่จิตของพระอรหันต์ไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้นจิตมันต่างกันนะคะ ไม่มีใครเห็นจิตกับเจตสิกได้เลย แต่อาการที่ออกมาข้างนอกโดยกาย บ่งบอกถึงขณะนั้นจิตทำให้เกิดจิตตชรูปประเภทนั้นๆ

จริงๆ แล้วธรรมถ้าได้สนทนาแบบนี้จะทำให้เข้าใจเบื้องต้นว่าขาดความเข้าใจเบื้องต้นไม่ได้เลยว่าธรรมต้องเป็นธรรม เป็นเราไม่ได้ เป็นคนไม่ได้ เป็นเก้าอี้ เป็นโต๊ะเป็นพระจันทร์ไม่ได้ แต่เป็นธรรมทั้งหมด แต่มีสองอย่างคือ นามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้นใครจะเปลี่ยนลักษณะของเขาไม่ได้ แพราะป็นธาตุที่ทรงไว้ต้องเป็นแบบนั้น อย่างแข็งก็แข็ง ใครเปลี่ยนไม่ได้ เกิดแล้วดับทันที เร็วมากเลย

ในพระไตรปิฎกนะคะใช้คำว่า สิ่งที่ปรากฎเป็นนิมิต มันไม่ปรากฎทีละหนึ่ง รวดเร็วมาก และนิมิตก็มีความละเอียดต่างกัน แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจะรู้ได้นะคะว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้ความจริง ซึ่งจริงเพราะเกิดปรากฎแล้ว จะมีอะไรเกิดขึ้น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่มันมี แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็เดือดร้อนกัน แต่ถ้ารู้ความจริงไม่เดือดร้อนเลยเพราะว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนธรรมะ หรือทำธรรมะให้เกิดขึ้นได้ หรือหยุดไม่ให้ธรรมเกิดไม่มีทาง

ความมั่นคงในความเป็นธรรมก็ต้องรู้ ไหนๆ ฟังธรรมแล้วก็ต้องเข้าใจถึงประโยชน์ที่สุด คือ รู้ว่าเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้าการกระทำใดๆ ทั้งสิ้นถ้าไม่เป็นไปเพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตาผิดหมด ไปสำนักปฏิบัตินั่นอัตตาแล้ว ก็เดี๋ยวนี้เห็น จริง พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดง จักขุวิญญาณ มีเจตสิกเกิด 7 ดวง แล้วพระองค์แสดงทำไม เพื่อให้ค่อยๆ คลายความไม่รู้และรู้ทั่วในตัวเราทั้งหมดว่าเป็นรูปเป็นนาม

ผู้ถาม ท่านอาจารย์คะในชีวิตประจำวันอย่างที่เรากำลังฟังเริ่มจะพอเข้าใจใช่ไหมคะ ว่าสัญญา จำ

ท่านอาจารย์ เวลานี้สัญญาจำตลอดนะคะ เราอยู่ในโลกของความจำ ลืมตาขึ้นมาก็จำแล้ว แต่อุปทานคือเราจำ แนบเนียนสนิทติดจนไม่รู้ว่าเป็นเราเลย เห็นไหมคะ แท้ที่จริงเป็นสัญญา แต่กลายเป็นเราของเราหมด ยึดถือทันที เพราะฉะนั้นอกุศลเจตสิก 14 นะคะ จำแนกเป็นอะไร อนุสัย 7 กามราคานุสัย ทิฏฐานุสัย และอื่นๆ และธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อดับอนุสัย

เพราะว่าถ้าไปละเพียงแค่พยายามไปทำเป็นคนไม่ติดไม่ข้องนะคะ แต่ตัวจริงมันมีอยู่ตรงนั้น แล้วจะเอาอะไรไปละตรงนั้น เพราะฉะนั้นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะสิ่งนี้แหละเกิด สิ่งนี้ก็ดับ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับ มันเร็วมากก็เลยไม่ประจักษ์ตัวธรรมและรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่พอมีปัญญาขึ้น เราไม่ได้หวังอะไร เพราะตัวโลภะมันมี และมันติดไปหมดทุกอย่างเว้นนิพพานและโลกุตตรธรรม ติดไม่ได้

ก็แสดงว่าถ้าโลภะไม่เกิด ปัญญาไม่ละ จะไปละได้ยังไงหละ ก็มันไม่มาให้เห็น เพราะฉะนั้นปัญญาจะเห็นโลภะตลอดหนทางนี้ แม้ขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณ มีโลภะแทรก ปัญญาเห็น มันละเอียดละเอียดลึกลงไปจนสามารถที่จะเป็นอริยสัจที่ 1 นะคะ เป็นทุกขสัจจะเห็นเกิดดับ อริยสัจจะที่ 2 ละโลภะ ถ้าไม่ละโลภะอริยสัจจะที่ 3 นิโรธสัจจะไม่เกิด ละเอียดมากเลยนะครับ

ละเอียดมากกว่านี้อีกค่ะ เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ธรรมนะคะ เห็นความละเอียดขั้นปริยัติ ซึ่งปฏิ-ปัตติ ซึ่งเป็นปัญญาที่ถึงระดับเริ่มจะรู้จักตรงลักษณะแต่ละหนึ่ง ด้วยความเข้าใจจากปริยัติที่มั่นคงที่จะละความติดข้อง เนี่ยเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งนี้ตรงนี้ เราติดแล้ว แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา ขณะนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากเป็นธรรมเท่านั้นเอง

ผู้ถาม หนูต้องไปอ่านหนังสืออภิธรรม ปรมัตธรรมสังเขป?

ท่านอาจารย์ อ่านไปทั้งเล่ม กี่เล่ม กี่เล่ม ถ้าไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมก็ไร้ประโยชน์

ผู้ถาม คำว่าไม่เข้าใจธรรมคือ?

ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เดี๋ยวนี้พระองค์บอกไว้แล้วว่าเป็นธรรม ต้องเป็นธรรมสิ แข็งเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรม เห็นเดี๋ยวนี้ก็ต้องเป็นธรรม ทุกอย่างที่มีที่เป็นชีวิตทั้งหมดที่ว่าเป็นเราว่าเป็นของเราแต่จริงๆ เป็นธรรม

ผู้ถาม ดังนั้นการอ่านหนังสือปรมัตถธรรมเพื่อเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม

ท่านอาจารย์ เพื่อเข้าใจเดี๋ยวนี้เป็นธรรม รู้ตัวนี้ก็เป็นธรรม ตรงนี้เป็นธรรม นู้นธรรม นั่นธรรมเป็นธรรมทั้งหมด ไม่งั้นเราไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้นมีความรู้เท่าไหร่ก็ตามแต่ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วไปหาธรรมจากไหน

ผู้ถาม ดังนั้นที่ผมถามท่านอาจารย์ตอนต้นที่ถามว่าเข้าใจปัจจุบันว่าคืออะไร ก็คือเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

ท่านอาจารย์ ที่กำลังปรากฎว่ามี แต่ปัญญายังไม่รู้ว่าไม่เที่ยง ปัญญายังไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ปัญญายังไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งนั้น ละเอียดมากๆ ๆ ตั้งต้นต้องถูกค่ะ ไปอ่านกัน ไปสอนกัน จิต ๘๙ เท่านั้นเท่านี้ แต่เขาไม่รู้ค่ะว่า ขณะนี้เจตสิก ๗ ดวง เกิดกับจิต แล้วไม่ต้องไปรู้ เจตสิก ๗ หรอก ขอให้เพียงรู้ว่ามันเป็นธาตุที่รู้ ไม่ใช่เรา การจะละความติดข้องเพราะรู้ว่าไม่ใช่เราก็เพราะรู้ว่าเป็นอะไร ติดข้องด้วยความไม่รู้ ละความติดข้องก็ด้วยความรู้ แล้วก็ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่นค่ะ ก็ปกติอย่างนี้แหละ ฟังไปฟังไปจนกว่าสติสัมปชัญญะจะเกิดเมื่อไหร่ รู้เลยว่าปริยัติสมบูรณ์

ผู้ถาม ต้องเป็นปกติในชีวิตประจำวันหรือครับ?

ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปกติเพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ต้องเป็นปกติเพราะไม่มีใครทำ ต้องเป็นปกติเพราะเกิดแล้วปรากฎให้รู้ แต่ปรากฎแล้วให้รู้แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมดาอย่างนี้ทุกอย่างค่ะ ปรากฎไม่ว่ากับฝรั่ง ไทย จีน แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

เพราะฉะนั้นธรรมไปหาที่ไหนหละ มันไม่มีนอกจากสิ่งที่กำลังมีในชีวิตประจำวันตามปกติ เพราะฉะนั้นตามปกติเนี่ยปัญญาต้องรู้ว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัย อย่างความโกรธต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัยใช่ไหมคะ มันไม่มีนี่คะก่อนโกรธ แล้วมันก็โกรธ เสร็จแล้วโกรธก็หายไป นี่ทฤษฎี ปริยัติใช่ไหมคะ จนกว่าจะถึงปฏิบัติ ไม่มีใครไปทำได้ สติปัฏฐานใครทำสติ ทำสิ ทำไม่ได้ค่ะ แต่ความเข้าใจนี่แหละ สามารถจะทำให้เข้าใจขึ้น จนถึงเวลาพร้อม เขาเกิดทันที ระลึกทันที จะไปนั่งเลือกลมหายใจหรืออะไร ไม่ได้เลยทั้งสิ้น

ผู้ถาม เลือกอารมณ์ที่สติจะเกิดรู้อารมณ์นั้นไม่ได้หรือครับ

ท่านอาจารย์ ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวนี้เราก็เลือกไม่ได้ ที่จะเห็นอะไร ก็เห็นแล้ว เสียงแบบนี้ก็ได้ยินแล้ว เลือกไม่ได้ค่ะ มันเป็นช่วงขณะแสนสั้นที่สุดที่ประกอบหนาแน่นเป็นตึกรามบ้านช่องเป็นอะไร

ผู้ถาม ดังนั้นเราอ่านหรือฟังอะไร กำกับไว้เสมอว่าทำไม่ได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าใครบอกให้เราทำ เราก็รู้แล้วว่าคนนี้ไม่รู้ ไม่รู้จักธรรม

ผู้ถาม ท่านอาจารย์คะ อย่างความเข้าใจเรายังไม่เยอะ แล้วในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่เราจะพิจารณาเป็นเรื่องราวที่จะ ...

ท่านอาจารย์ นี่แสดงว่าเราจะทำ เป็นความหวังที่จะทำ ก็คิดถึงสิ่งที่ยาวนานในสังสารวัฏฏ์ที่เราไม่รู้ แล้วได้รู้บ้างนิดหน่อย เราจะไปทำอะไร และที่ถูกต้องคือเราไม่มีและไม่ต้องทำ แม้ไม่ทำขณะนี้ก็ยังมีสภาพธรรมเกิด ปรากฎอยู่ได้ทั้งนั้น เห็นไหมคะ มันชัดเจนแต่ว่าความไม่รู้เนี่ย มันไม่รู้จริงๆ มันไม่รู้สิ่งที่กำลังมีและไปหาสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นมารู้ แล้วมันก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีแล้วเดี๋ยวนี้

ผู้ถาม ส่วนใหญ่เขาจะหาสิ่งที่เกิดแล้ว

ท่านอาจารย์ ก็ใช่ ถึงได้มีสำนักปฏิบัติกันทั้งโลก

ผู้ถาม ท่านอาจารย์คะเป็นเพราะว่าการศึกษาธรรมของพระพุทธองค์เนี่ยยากที่จะมานั่งฟังเฉยๆ แต่ไม่เห็นผล แต่สำนักปฏิบัติพยายามสร้างให้เห็นผลว่ามาจากการปฏิบัติ

ท่านอาจารย์ ก็ผิดและทำลายคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าเราไม่พูด ใครจะพูด แล้วถ้าเราไม่พูดรอไว้ ความเสียหายแค่ไหน มันเสียหายจนทุจริตทุกวงการค่ะ

ผู้ถาม หนูได้เห็นโปสเตอร์อันหนึ่งที่วัดแถวบางนาว่าทำบุญ ทำกุศลไปจะสะสมเป็นวาสนาและสะสมวาสนาไปเป็นบารมี อันนี้พอได้ฟังจากท่านอาจารย์มาแล้วพอเข้าใจได้เลยว่าคำพูดคำนี้ผิด ซึ่งคนส่วนใหญ่พอได้ฟังคำนี้ก็ชอบคำพูดนี้

ท่าน อ.สุจินต์ คือคนไม่รู้ว่าคำไหนลึกซึ้ง เขาคิดว่าคนนี้พูดเชื่อได้อย่างอาจารย์ทั้งหลายแต่ที่สำคัญที่สุดคือพระบรมศาสดาองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นศาสดาของชาวพุทธ เพราะฉะนั้นคำของพระพุทธองค์ต้องตรง หรือถ้าเราไม่เรียนไม่มีปัญญา อ่านพระไตรปิฎกนี่เข้าใจผิด ในพระวินัย ในพระสูตร ในพระอภิธรรม

ผู้ถาม ชอบคำที่ท่านอาจารย์พูดที่เมืองปัตนะ อินเดียครับว่า ดึงคำของพระพุทธเจ้าลงต่ำ

ท่านอาจารย์ ใช่ ต่ำมาก อย่างสำนักปฏิบัติอย่างนี้ ง่ายจะตาย ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นเราคนเดิม เต็มไปด้วยความไม่รู้อกุศลต่างๆ ปัญญาไม่มี แต่พอฟังพระธรรมที่ถูกต้องแล้วปัญญาเกิดตามลำดับ เพราะฉะนั้นปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง

ผู้ถาม เมื่อท่านอาจารย์พูดเมื่อกี้นี้ว่า เมื่อปัญญาถึงพร้อม สติและสัมปชัญญะเขาจะเกิดเอง

ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีปัจจัยคือปริยัติและปฏิบัติ ปฏิบัติคือขณะนั้นสติสัมปชัญญะเกิด ต้องมีอารมณ์ อารมณ์ของสติสัมปชัญญะตรงลักษณะ แทนที่จะเป็นเสื้อเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ กลับกลายเป็นแข็ง เป็นเสียงหรือเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นลักษณะของปรมัตถธรรมและความรู้จากปริยัติก็จะค่อยๆ เกิดจากตรงนั้น แต่ว่าจะมากจะน้อยตามกำลัง กว่าจะผ่านอีกต่อหนึ่ง จากปริยัตินี่ยาวเลยนะคะ ไปถึงปฏิบัติอีกยาว กว่าถึงปฏิเวธ และอีกยาวกว่าถึงวิปัสสนาญาณ เป็นวิปัสสนาหนึ่งก็ยังไม่พอเลยเพราะอนุสัยกิเลสใครจะไปขุดมันออก ลองคิดถึงภาพแสนโกฎิกัปป์ที่ผ่านมาติดแน่นหนา ใช่ไหมคะ แล้วอะไรจะค่อยๆ คลาย ค่อยๆ หมดไปเป็นประเภทๆ ซึ่งทิฏฐานุสัยจะต้องหมดก่อน (ความเห็นผิด) อย่างอื่นจึงจะหมดได้

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นต้องสอดคล้องกันใช่ไหมครับว่าปริยัตคือเข้าใจความเป็นอนัตตา

ท่านอาจารย์ ใช้คำว่ารอบรู้ในคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ รอบรู้แล้วสอดคล้องค่ะ ก ไก่ ตรงนี้ กับ ก ไก่ตรงนู้น ทุกอย่างต้องชัดเจนและสอดคล้องกันด้วย

ผู้ถาม แต่ไม่ใช่การรอบรู้ในคำอะไรต่างๆ ที่จำกันได้เยอะใช่ไหมครับ

ท่านอาจารย์ อันนั้นเขาไม่ได้รู้อะไร รอบรู้ต้องเป็นความเข้าใจจากคำ ถ้าไม่มีคำก็เข้าใจเองไม่ได้ แต่คำนี้ คนที่เข้าใจ เข้าใจลึกลงจนกระทั่ง ต่างกับคนที่ฉันศึกษาธรรม ฉันไปเรียนอภิธรรมที่นั่นที่นี่ เพราะพอเขาจบเปรียญ 9 เขาสอนเลย สอนเขียนบนกระดาน นั่นไม่ใช่ แต่ศึกษาปริยัติคือฟังคำของพระพุทธเจ้า ในอดีตท่านประทับที่ไหน ตรัสอย่างไร คำเหล่านั้นทั้งหมดสาวกฟังเพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่มานั่งเรียนแบบนั้นเพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นมงคล การสนทนาธรรมเป็นมงคล เพราะแค่การฟังไม่พอ และแทนที่จะคิดเรื่องอื่น เราก็คิดเรื่องนี้ อย่างก่อนนอนสบายมากเลย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน



ความคิดเห็น 1    โดย เมตตา  วันที่ 20 พ.ย. 2562

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย nualchan.deesawat  วันที่ 21 พ.ย. 2562

ขอบคุณค่ะ แม้ไม่ได้ไปด้วยตัวเองก็ยังได้เห็นภาพ กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย peem  วันที่ 21 พ.ย. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 17 ก.ค. 2563

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ