หลายศาสนามีความเชื่อต่างกัน ในเรื่องการเกิดขึ้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย ศาสนาฝ่ายเทวนิยมเชื่อในเรื่องพระผู้ทรงสร้างสรรค์ (พระเจ้า)
ฝ่ายอเทวนิยม มิได้เชื่อเช่นนั้น เชื่อไปตามเหตุปัจจัย ไม่ทราบว่าพระพุทธองค์ตรัสถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไรครับ
ขอบคุณ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่มีหลายศาสนา หลายความเชื่อก็เพราะ นานาจิตตัง คือ มีการสะสมมาต่างๆ กันไป ทั้งการสะสมที่เป็น ความเห็นถูก และ การสะสมที่เป็นความเห็นผิด จึงทำให้คิดไปตามการสะสม
เทวนิยม ที่เชื่อว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นและเป็นไปเพราะ มีสิ่งที่ดลบันดาล ที่เป็นสัตว์ บุคคล
อเทวนิยม ก็เป็นการเชื่อว่า สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไป ไม่มีสิ่งที่ดลบันดาล คือไม่ได้เกิดจากเทวดา พรหม หรือ สัตว์ บุคคล บันดาล แต่อเทวนิยม ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเชื่อ เพราะว่า เป็นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ อเทวนิยม ยังกินความกว้างครับ เพราะ บางความเชื่อ ไม่เชื่อว่า มีใครมาบันดาล แต่คิดว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเอง ลอยๆ ไม่มีเหตุ ที่เป็นความเห็นผิดที่เป็น อเหตุก คือ ทุกอย่างไม่มีเหตุ ไม่มีใครสร้างด้วย แต่เกิดขึ้นอีก จึงไม่เชื่อว่า มีใครบันดาลให้เกิด แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเองครับ
ซึ่งจะขอกล่าวถึงความจริงที่เป็นสัจจะ โดยความจริงไม่ได้อยู่ที่ว่า จะเป็นชื่อศาสนาอะไร ความจริงก็ต้องเป็นความจริง ไม่เปลี่ยนแปลง
สรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ที่เป็นธรรมชาติ มีคน สัตว์ สิ่งของ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงแล้ว ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้น คือ จิต เจตสิก รูป ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เป็นปรมัตถสัจจะ ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมีจิต เจตสิก รูป ประชุมรวมกัน จึงมีบัญญัติกันว่า เป็นธรรมชาติที่เป็นสิ่งมีชีวิต คือคน สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น และ ต้นไม้ ภูเขา ธรรมชาติต่างๆ ที่มีได้ ก็เพราะมีรูป ที่มาประชุมรวมกัน จึงบัญญัติเรียกว่า เป็นต้นไม้ ภูเขา โต๊ะ เก้าอี้ เท่ากับว่า เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปที่เรียกว่าทุกข์เท่านั้นที่มีจริง จึงมีธรรมชาติ สรรพสิ่งต่างๆ ครับ
สมดังที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป คือ ทุกข์เท่านั้นที่เป็นสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น ที่มีจริงและเกิดขึ้น และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป คือ สภาพธรรมนั้นนั่นแหละที่ดับไป และ สภาพธรรมทั้งหลายที่มีขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะ มี สัตว์ บุคคล มีเทวดา บันดาล มีพรหม บันดาล ให้เกิดสิ่งต่างๆ เพราะ ในเมื่อไม่มีใคร มีแต่ธรรม ใครจะบันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ ได้เพราะมีแต่ธรรม ไม่มีสัตว์ บุคคเลย ดังนั้น ธรรมจะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะอาศัยธรรมนั่นแหละเกิดขึ้น คือ อาศัยธรรมอื่นๆ เป็นปัจจัยเกิดขึ้น เช่น เมื่อกล่าวว่า ต้นไม้ เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยรูปประชุมรวมกัน และอาศัย ความเย็น ความร้อน จึงเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครทำให้เกิด เพราะมีแต่ธรรมไม่มีใคร ที่สมมติว่ามนุษย์เกิด ความจริง คือจิต เจตสิกและรูปที่เกิด เกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย ธรรม คือ กุศลกรรมที่เป็น จิต เจตสิกที่เคยทำไว้ เป็นปัจจัยให้ จิต คือ ปฏิสนธิจิตเกิด และเมื่อสาวไปหาเหตุอีก ที่สัตว์โลกมีการเกิด ก็เพราะ มีอวิชชา และ ตัณหาเป็นปัจจัย ไม่ได้มีใครบันดาลให้เกิดได้ นอกจากธรรมเท่านั้นที่ทำให้เกิด ครับ พร้อมเจตสิกอื่นๆ และรูปด้วย ดังนั้น มีแต่ธรรมที่เกิดและมีแต่ธรรมที่ดับไป โดยอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น นั่นคือ อาศัย ตัวธรรมแต่ละอย่างเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่มีใครทำให้เกิดได้ ครับ
สรรพสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นแต่เพียงธรรมก็เกิดขึ้นเพราะอาศัย ธรรมอื่นๆ เกิดขึ้น ครับ สมดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 302
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสทุกข์ก่อน เพื่อให้เกิดความสังเวชแก่พวกสัตว์ผู้ยินดีและปรารถนาความสุขในภพ ตรัสสมุทัยในลำดับแห่งทุกข์นั้นเพื่อให้รู้ว่า ทุกข์ (สภาพธรรม) นั้น ตัณหามิได้สร้างแล้วย่อมไม่มา มันย่อมมีเพราะเหตุภายนอกมีพระอิศวรบันดาลก็หาไม่ ที่แท้มันย่อมมีเพราะตัณหานี้
ดังนั้น สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ได้เกิดจากมีใครบันดาลเลย และที่สำคัญ ความคิดของแต่ละบุคคล ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากการสะสม กุศล อกุศลมาต่างกัน ทำให้มีความคิดทางใจและการแสดงออกทางกายและวาจา แตกต่างกันไปตามการสะสม คนที่คิดดี ทำดี ก็ไม่ใช่เพราะ มีใครบันดาลทำให้คิดดี ทำดี และคนที่ทำชั่ว ก็ไม่ใช่เพราะใคร แต่เพราะ การสะสมของบุคคลนั้นเองที่ทำชั่ว ครับ เพราะ ถ้ามีผู้บันดาลจริง และเป็นผู้หวังดี ย่อมบันดาลให้ทำดี ทำสิ่งที่ดี ไม่ทำชั่วเลย แต่ที่ทำชั่ว ก็ไม่ใช่เพราะใครบันดาลในสัจจะ คือ การสะสมของจิต เจตสิกที่สะสมเท่านั้น ครับ ซึ่งขอยกข้อความพระไตรปิฎก ที่มีประโยชน์ที่พระพุทธเจ้า ทรงแสดงในเรื่อง มีผู้บันดาล ไว้อย่างดีในประเด็นนี้ ครับ
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 269
ติตถสูตร
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้รับเพราะพระเป็นเจ้าสร้างสรรค์ให้ทั้งสิ้น เราเข้าไปถามสมณพราหมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ได้ยินว่า ท่านทั้งหลาย มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ ว่าบุคคลได้รับสุข ฯลฯ ได้รับเพราะพระเป็นเจ้าสร้างสรรค์ให้ทั้งสิ้นจริงหรือ เราถามอย่างนี้แล้วหากเขายังยืนยันอยู่ เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้ากระนั้น คนฆ่าสัตว์ ฯลฯ คนมีความเห็นผิด ก็ต้องเป็นเพราะพระเป็นเจ้าสร้างสรรค์ให้ทั้งสิ้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แม้แต่มีการกล่าวถึงคำว่า "ธรรมชาติ" แล้วมีความเข้าใจจริงๆ ตรงตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมากน้อย แค่ไหน
ธรรมชาติ ก็คือ ความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ในภาษาบาลี ไม่มีคำว่า สิ่งที่มีจริง ไม่มีคำว่า ความจริง แต่มีคำว่า ธมฺม และ ธมฺมชาติ ดังนั้น เมื่อเป็นคนไทย พูดถึงคำว่า ธมฺม หรือ ธมฺมชาติ ก็บอกว่า หมายถึงสิ่งที่มีจริงในภาษาไทย ไม่ได้หมายถึงสิ่งอื่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ มีจริงๆ เช่น เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง คิดมีจริง ชอบมีจริง ไม่ชอบมีจริง เป็นต้น ระหว่างคำว่า ธมฺม ก็ดี ธมฺมชาติ ก็ดี ล้วนหมายถึงสิ่งที่มีจริงทั้งนั้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครบันดาลหรือบังคับบัญชาสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดขึ้นได้ ธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วก็ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟังและที่สำคัญ ธรรม ไม่ได้สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่ได้สะสมบุญมาตั้งแต่ชาติปางก่อน มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของพระธรรม เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ได้อบรมเจริญปัญญา ต่อไป ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีเป็นส่วนน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง จึงมีน้อย ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ศึกษา เมื่อไม่ได้ศึกษา ก็ไม่เข้าใจ จึงมีความคิดเห็นผิดๆ มีลัทธิความเห็นต่างๆ หลากหลายมากมาย ก็เป็นเพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพสุทธเจ้าทรงแสดง นั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม, อ.คำปั่นและทุกท่านครับ
ขออนุญาตเรียนถามเพิ่มเติมนะครับ
อาจจะนอกเรื่องไปหน่อย ต้องขออภัยท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ แต่ผมสงสัยมานานแล้วครับ ว่าในโลกมนุษย์เราก็มีหลายศาสนาหลายความเชื่อ ... แล้วบนสวรรค์ หรือ พรหมโลก มีศาสนาหรือไม่ครับ?
ทราบว่าบนสวรรค์ทุกชั้นมีศาลาฟังธรรม ก็คงจะมีเทวดาที่ท่านสะสมความเห็นถูก สะสมการเห็นประโยชน์ของพระธรรม มาประชุมกัน
แต่ก็คงมีเทวดาที่ท่านไม่ได้สะสมความเห็นถูกมาด้วยเช่นกัน จึงอยากทราบว่า บนสวรรค์หรือภพภูมิอื่นมีการแบ่งเป็นลัทธิเป็นศาสนาเช่นเดียวกับในโลกมนุษย์หรือไม่ครับ
กราบขอบพระคุณครับ
เรียนความเห็นที่ 5 ครับ
ผู้ที่เกิดเป็นเทวดา พรหม ก็คือ มาจากความเป็นมนุษย์นั่นเอง ดังนั้น เมื่อพูดถึง เทวดา พรหม ก็คือ จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้นประชุมรวมกัน ไม่ต่างจากมนุษย์เลย เมื่อ มีจิต เจตสิก ก็มีการสะสมสภาพธรรม ที่มีทั้งความเห็นถูก และ ความเห็นผิด เหมือนมนุษย์ ดังนั้น คำว่า ลัทธิ ศาสนาต่างๆ กัน ก็เป็นเพียง การสะสมของจิต เจตสิก มาแตกต่างกันไป ดังนั้น เทวดาที่มีความเห็นถูกก็มี ต่างก็รวมกัน แม้จะไม่เรียกว่าลัทธิ ศาสนา แต่เป็นการรวมตัว ตามธาตุ ตามนิสัย การสะสมที่เหมือนกัน ผู้ที่มีความเห็นถูก ก็ย่อมคบค้า สมาคม สนทนา คุยกัน คบกันเป็นพวกเดียวกัน มีการไปฟังที่ศาลาสุธรรมา พวกที่มีความเห็นผิด ก็ไม่ไปศาลาสุธรรมา ก็ไปฟัง สนทนากัน ในสถานที่อื่น อันเป็นที่รวมตัวกัน ของผู้ที่มีความเห็นผิด ครับ ดังนั้น บนสวรรค์และพรหมโลก ก็ต่างมี ลัทธิ ศาสนา คือ ความเชื่อ ความคิดต่างๆ กันไป เพียงแต่ไม่ได้บัญญัติว่า เป็นลัทธิอะไร ศาสนาอะไรเท่านั้นเอง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
กราบขอบพระคุณอาจารย์ผเดิมที่กรุณาอธิบายครับ
ขออนุโมทนาครับ
ตอบความเห็นที่ 5
ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ ในสวรรค์ก็มีเทวดาที่มีความเห็นถูก และ ความเห็นผิด แม้พระพรหมก็มีเหมือนกัน เช่น พวกพรหมเป็นผู้มีความเห็นผิดว่าเที่ยง ถึงที่สุดแห่งทุกข์ แต่ตามความจริงการเกิดในพรหมโลกก็ยังไม่เที่ยง หมดผลของบุญก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ค่ะ