ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๒
~ มากไปด้วยกิเลส จนถึงกับบวชแล้วยังกล้าที่จะรับเงินและทอง นั่นกิเลสมีกำลังขนาดไหน เพราะว่าสำหรับคฤหัสถ์ เขารับเงินรับทอง ทำมาค้าขาย ทำธุรกิจการงานได้ เพราะเขาเป็นคฤหัสถ์ แต่นี่ปฏิญาณตนให้คนอื่นรู้ว่าเป็นพระภิกษุ แล้วรับเงินรับทอง เพราะฉะนั้น กล้าขนาดไหน กิเลสมีกำลังขนาดไหน ที่จะทำผิดพระธรรมวินัย
~ การบวชเป็นเรื่องที่จริงใจ ไม่ใช่ว่าบวชเพื่ออย่างอื่นเลย ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง มิฉะนั้น เป็นโทษกับตนเอง ผู้ที่ไม่รู้จะไม่รู้เลย ว่า ผู้ที่บวชเพียงเพราะต้องการบวช จะเป็นโทษแค่ไหน เพราะว่าไม่ได้กระทำกิจของพระศาสนา และคนที่ส่งเสริมผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม แต่บวช ก็เป็นผู้ที่ช่วยทำลายบุคคลนั้นด้วย
~ แม้ในสมัยปัจจุบันนี้ จะเลื่อมใสไหม ภิกษุที่รับรูปิยะหรือว่ารับทองและเงิน ท่านผู้ฟังก็กล่าวตำหนิ เพ่งโทษอยู่เสมอ จริงหรือไม่จริงคะ เวลาที่ได้ยินได้ฟัง ได้ข่าวว่า ภิกษุรูปใดเป็นผู้ที่ยินดีในทองและเงิน ไม่ได้มีใครสรรเสริญ แต่จะสรรเสริญภิกษุผู้ที่ไม่ยินดีในทองและเงิน
~ ชาวพุทธ คือ ผู้ที่มีปัญญา เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาทั้งหมด มาจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะฉะนั้น ชาวพุทธจริงๆ เป็นผู้มีปัญญา ไม่ใช่ผู้งมงาย ไม่ใช่ผู้เชื่อตามๆ กันไป
~ เมื่อมีการเห็นสภาพธรรมเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ก็จะทำให้เกิดโลภะ โทสะ โมหะที่มีกำลัง จนถึงขั้นที่กระทำทุจริตกรรมได้ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอบรมเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) บ่อยๆ ท่านจะเกิดหิริโอตตัปปะที่ละเอียดขึ้น การหลงลืมสติน่ารังเกียจจริงๆ และการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน สัตว์ บุคคลก็น่ารังเกียจ ถ้าเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยในอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็จะเป็นปัจจัยที่จะให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมยิ่งขึ้น
~ สิ่งที่ท่านสะสมมาในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในเรื่องพระธรรม ก็จะเป็นสิ่งที่สะสมสืบต่อไปถึงชาติหน้า ที่จะเกื้อกูลให้ท่านเกิดน้อมระลึกถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่จะปรากฏในชาติหน้า เพราะเหตุว่าท่านเคยสะสมมาแล้วในปัจจุบันชาตินี้
~ ถ้าดูชีวิตของพระสาวกที่ท่านรู้แจ้งอริยสัจธรรมมาแล้ว จะเห็นได้ว่า ท่านอบรมปัญญาและการอบรมเจริญสติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) เป็นกัปป์ๆ นับไม่ถ้วน ตั้งแต่ครั้งสมัยของพระผู้มีพระภาคพระองค์ก่อนๆ หลายพระองค์ กว่าที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ผิดจากการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้ ต้องเป็นการตรงต่อสภาพธรรมที่ปรากฏด้วย
~ การปฏิบัติธรรม คือ การอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ไม่ใช่ต้องไปสู่สถานที่หนึ่งที่ใดแล้วทำอาการกิริยาที่ไม่เป็นปกติขึ้น แล้วก็คิดว่า นั่นคือการปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นอย่างนั้น การปฏิบัติธรรม คือ การอบรมเจริญปัญญา ความเข้าใจถูกให้เกิดขึ้น นั่นคือปฏิบัติธรรม
~ ความประมาทในการฟังพระธรรม และในการอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่มีแต่เฉพาะในสมัยนี้ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปตามการสะสม ถ้าเป็นผู้ที่ประมาทในการฟังพระธรรม ก็เป็นไปตามกำลังของกิเลส ซึ่งไม่มีใครจะบังคับบัญชาได้ทุกกาลสมัย แม้ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ทั้งๆ ที่บุคคลในสมัยนั้นมีโอกาสได้ไปเฝ้า ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แต่ก็มีผู้ที่ประมาท ไม่ไปเฝ้าเพื่อที่จะฟังพระธรรม
~ กิเลสทั้งหมดจะค่อยๆ ละคลายได้ ก็เมื่ออบรมเจริญปัญญารู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อไรดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล กิเลสอื่นๆ จึงจะค่อยๆ ละคลายได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะไม่มีโทสะ ต้องเป็นพระอนาคามีบุคคล ผู้ที่จะไม่มีโลภะและโมหะเลย ก็ต้องเป็นพระอรหันต์
~ หนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือการเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษา การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถจะระลึกได้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็ย่อมแสดงถึงการเคยได้ฟังพระธรรม การเคยได้พิจารณาพระธรรม และการเข้าใจธรรมในอดีตด้วย
~ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สุจริต ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เคยโกง หรือเคยส่อเสียด เคยกินสินบน เคยดุร้าย เคยหยาบคายในกาลก่อน เพราะเหตุว่าขณะใดที่โกง กำลังกระทำทุจริต ขณะนั้นย่อมไม่เห็นโทษ แต่ว่าโทษของทุจริตย่อมมี ไม่มีใครสรรเสริญ และผลของทุจริตนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมแล้วแต่ว่า จะได้รับผลของทุจริตในชาติปัจจุบัน หรือในชาติต่อๆ ไป
~ ผู้ที่มีอวิชชา ก็เป็นสภาพที่มืดตื้อ เพราะอวิชชาปิดกั้นไว้ ลองนึกถึงถ้าอยู่ในห้องที่มืดตื้อ ทุกคนต้องพยายามแสวงหาทางที่จะออกจากความมืด เพราะเหตุว่าจะต้องมีความตกใจกลัวที่จะอยู่ในห้องที่มืดตื้อ หรือว่าจะมีแต่ความมืดตื้อปกคลุมไว้ทั้งหมด ถ้าเป็นลักษณะนั้นจริงๆ จะเห็นภัย เห็นอันตราย และแสวงหาทางที่จะออกจากความมืด แต่ขณะนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น จนกว่าปัญญาจะพิจารณาเห็นว่า เมื่อมีอวิชชา ต้องมืด เพราะว่ายังไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง นอกจากจะอยู่ในที่มืดตื้อแล้ว ยังถูกใส่เข้าไปในกรงกิเลส
~ มานะ (ความสำคัญตน) เป็นเครื่องกั้นการเจริญของปัญญา สำหรับผู้ที่ไม่ฟังธรรมจากบุคคลที่ควรฟัง เพราะมีความสำคัญตนประการต่างๆ เช่น อาจจะสำคัญตนว่าสูงกว่า หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าเสมอกัน หรือบางคนก็อาจจะคิดว่าต่ำกว่า ก็เลยไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปนั่งใกล้ ไม่เข้าไปฟัง เป็นเหตุให้ไม่มีการสอบถาม ไม่มีการเข้าใจธรรม
~ การทำความดี ไม่มีใครรู้เลย ว่า ทุกครั้งที่ทำ เป็นการสละความไม่ดี และอยากไม่ดี น้อยลงไหม ก็มีหนทางเดียว คือ ทำดีขณะใด สละความไม่ดี ขณะนั้น
~ ทำไมต้องพูดคำไม่ดี ให้คนอื่นเขาเสียใจ แค่สละ ไม่พูด (คำที่ไม่ดีนั้น) ทำได้ไหม นั่นคือสละกิเลสของตัวเอง ค่อยๆ ลดน้อยลง จนกว่าปัญญาจะเพิ่มขึ้น เพราะว่าถ้าขณะใดก็ตามที่จิตยังเป็นสิ่งที่ไม่ดี ยังมีความไม่ดี เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดกับจิต) ที่ไม่ดี เกิดร่วมด้วยทุกขณะ ก็พอกพูนทั้งความไม่รู้ ความติดข้องและกิเลสอื่นๆ เพราะฉะนั้น การฟังธรรม เพื่อดับกิเลส แต่กิเลสดับไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจ เพราะเราดับกิเลสไม่ได้ต้องเป็นความเห็นถูกต้องที่รู้ตามความเป็นจริง ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ละ ค่อยๆ รู้ ถ้าไม่รู้ ก็ละ (กิเลส) ไม่ได้
~ ภิกษุใดไม่ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ภิกษุนั้นทำให้ประเทศชาติล่มจม เพราะว่าไม่ทำให้คนเป็นคนดี ไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้องในโทษของกิเลสทั้งหลาย ซึ่งนับวันก็เพิ่มขึ้นๆ
ทุกคนก็เป็นไปตามกิเลส แล้วประเทศชาติจะเป็นอย่างไร?
~ เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่สุดที่มีโอกาสที่ได้ฟังพระธรรม ได้มีความเข้าใจ ที่สามารถที่จะเกื้อกูลคนอื่นด้วย ต้องไม่ลืมว่า การคิดถึงคนอื่น การเกื้อกูลคนอื่น การทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น นั่นคือการสละความเป็นเรา ทีละเล็กทีละน้อย
~ ถ้ากุศลไม่เกิด อกุศล ก็เกิด
~ จิตสงบต้องเป็นกุศล จิตที่เป็นอกุศลสงบไม่ได้ แล้วความสงบก็มีหลายขั้น ขณะที่เป็นทานกุศล ก็สงบจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นจิตประกอบด้วยโสภณเจตสิกที่ดีงาม แต่ว่าขณะนั้นไม่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะเป็นความสงบที่เป็นไปในความสามารถที่จะสละวัตถุ เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น
~ ในขณะที่เป็นกุศลจิต ที่เป็นศีลเกิดขึ้น ขณะนั้นก็สงบ แต่ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ในขณะที่สติเกิดขึ้นที่เป็นสติปัฏฐาน ขณะนั้นสงบ แล้วศึกษา จึงเริ่มที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ อยู่ใกล้พระผู้มีพระภาคหรือว่าอยู่ไกล ไม่ใช่โดยระยะทาง แต่โดยการเห็นธรรม ขณะนี้ธรรมกำลังปรากฏ ถ้าสติเกิดไม่หลงลืมศึกษา เพิ่มการพิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ชื่อว่าอยู่ใกล้ แต่ว่าขณะใดก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเดินตามหลัง จับชายสังฆาฏิ หรือว่าเดินไปตามรอยเท้าของพระผู้พระภาค ผู้นั้นก็ชื่อว่าอยู่ไกล ขณะที่ไม่เห็นธรรม
~ แม้จะมีอกุศลมาก แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ถ้าเห็นประโยชน์
~ ถ้าใครเขาจะเสียใจเพราะคำพูดของเรา เพียงคิดเท่านี้ แล้วเขากำลังเป็นทุกข์อยู่เพราะคำพูดของเรา จะมีความกรุณาอะไรเกิดขึ้นได้ไหมที่จะทำให้เขาพ้นจากความทุกข์นั้น ด้วยคำพูดที่ทำให้เขาสบายใจขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่า จะเป็นแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่จะทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่กำลังมีความทุกข์ พ้นความทุกข์ ก็ควรจะทำ
~ ผู้ที่ศึกษาธรรมและพิจารณาโดยละเอียด ก็ย่อมจะเห็นประโยชน์ของการที่จะไม่ละโอกาสแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่จะกระทำกุศล
~ ถ้าจิตดี กายก็จะดี การกระทำทุกอย่างก็จะอ่อนโยนนุ่มนวล ขณะนั้นเป็นไปตามสภาพจิตที่ดี
~ บุคคลผู้มากไปด้วยอกุศลธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอกุศลธรรม เพื่อให้เข้าใจว่าเป็นอกุศลธรรม มีมากอย่างนี้แล้วจะบรรเทาอกุศลธรรมได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ด้วยปัญญา
~ ยิ่งเห็นอกุศลของตนเองมากเท่าไร ละเอียดขึ้นเท่าไร บ่อยเท่าไร ย่อมเป็นทางที่จะให้รู้จักตัวเองมากเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกุศลของตนเอง อาจจะเป็นทางที่ทำให้เกิดอกุศลได้ คือ ความสำคัญตน
~ ชาติหนึ่ง ตั้งแต่เกิด แล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำประโยชน์อะไรบ้าง เข้าใจธรรมแค่ไหน?.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๗๑
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัยอย่างยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
สิ่งที่ท่านสะสมมาในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจในเรื่องพระธรรม ก็จะเป็นสิ่งที่สะสมสืบต่อไปถึงชาติหน้า ที่จะเกื้อกูลให้ท่านเกิดน้อมระลึกถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่จะปรากฏในชาติหน้า เพราะเหตุว่าท่านเคยสะสมมาแล้วในปัจจุบันชาตินี้ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ