ใครจะให้เงินแก่พระภิกษุบ้าง?
โดย khampan.a  21 มี.ค. 2561
หัวข้อหมายเลข 29593

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

“ ใครจะให้เงินแก่พระภิกษุบ้าง? ”

ประมวลสาระสำคัญจากการสนทนาธรรม
ที่ห้องสราญรมย์
โรงแรมนิวซีซั่น สแควร์ อ. หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันพุธที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๑

~ การฟังธรรมเพื่อเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้ฟังธรรมเหมือนได้เฝ้าเฉพาะพระพักตร์ฟังทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วเพื่อผู้ที่มีโอกาสมีปัจจัยที่จะได้ฟังจะได้ไตรตรอง พิจารณา ประโยชน์อย่างยิ่งคือ ความเข้าใจของตนเอง ซึ่งความเข้าใจนี้ไม่ง่าย เพราะว่า คำนั้นเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานกว่าจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ตรัส ก็มาจากพระปัญญาคุณที่ได้ตรัสรู้ความจริง

~ การฟังธรรม เป็นการไตร่ตรองเพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง ซึ่งเดี๋ยวนี้มี และตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็มีในสังสารวัฏฏ์ หรือว่าตั้งแต่เกิดจนตายก็มี แต่ว่าไม่รู้ความจริงเลย

~ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงนี้ มากมายหลากหลาย เพราะฉะนั้นจะใช้กี่คำดี แต่เมื่อประมวลแล้ว ก็คือ ธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมด

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เริ่มฟังจนกระทั่งประจักษ์แจ้ง เป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าตอนต้น ไม่เริ่มจากความเห็นถูก ก็จะผิดไปเรื่อยๆ

~ ความโกรธเมื่อวานนี้ ดับเมื่อวานนี้ แต่วันนี้โกรธใหม่ ไม่ใช่โกรธเก่า เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งขณะสิ่งที่เกิดแล้ว จะไม่ซ้ำเลย ไม่ใช่ว่าอันเดิมจะกลับมาอีก

~ สติเป็นธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศลในความดีงามทั้งหมด ในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็เป็นเราให้ แต่ความจริงแล้วสภาพธรรมที่ดีงามเกิดขึ้น จึงมีการให้ ถ้าไม่มีสภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น แม้เราจะมีสิ่งของที่ควรให้ที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็ไม่ได้ให้ แต่วันไหนให้ ก็เพราะสติเกิดระลึกเป็นไปในการให้ เพราะฉะนั้น กุศลทุกประเภทอาศัยสติเกิดขึ้นเป็นไปในกุศลนั้นๆ

~ เคยพูดวาจาที่ไม่น่าฟัง คนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไร? ไม่สบายใจ, คนพูด ขณะนั้น คิดว่าทำร้ายคนอื่นด้วยคำที่ทำให้เขาไม่สบายใจ แต่หารู้ไม่ว่า ความตั้งใจที่ไม่ดีนั้น ทำร้ายตัวเอง

~ ไม่มีโกรธ กับ มีโกรธ อย่างไหนจะดีกว่ากัน? ต้องค่อยๆ คิดค่อยๆ พิจารณา ธรรมเป็นสิ่งที่ตรง ทุกเรื่อง เพราะว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม

~ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อเข้าใจธรรมที่มีจริง จากการที่ได้ฟังคำของพระองค์ ก็จะรู้ว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรม

~ ไม่เข้าใจอะไรเลยแล้วไปทำ แล้วจะรู้อะไร นอกจากเข้าใจผิด คำไม่จริงทุกคำทำลายคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจผิด กล่าวตู่คำของพระองค์ และเมื่อไม่เข้าใจ ก็หันหลังให้พระองค์ ไม่มีทางที่จะกลับมาอีกเลยถ้าไม่เข้าใจให้ถูกต้อง

~ ไม่ว่าจะเคยผิดมาแล้ว แต่พอฟังพระธรรม ก็สามารถที่จะรู้ได้ ปัญญาสามารถเข้าใจถูกได้ ปัญญาคือความเข้าใจถูก รู้ถูก ตรงตามความเป็นจริง ว่า อะไรถูก อะไรผิด ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ละความไม่รู้ ละความเห็นผิดและกิเลสทั้งหลายตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ไม่มีทางที่จะไปดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย

~ สะสมเดี๋ยวนี้ ฟังไตร่ตรอง ถูกคือถูก ผิดคือผิดไม่ใช่ให้เชื่อ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไตร่ตรอง แล้วก็จะรู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด

~ ตราบใดที่ยังมีผู้เข้าใจ พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ได้ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ พระศาสนาก็อันตรธานสูญสิ้นแล้วจากผู้นั้น

~ ถามคนที่จะบวชว่า เข้าใจธรรมหรือเปล่า? ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะบวชทำไม? คำตอบ ก็ชัดเจนคือ บวชเพราะไม่รู้และเพราะอยากบวช

~ ไม่มีใครบังคับว่าจะเป็นพระภิกษุ ถ้าไม่สามารถเป็นพระภิกษุ อยากเป็นเหมือนคฤหัสถ์ ก็ลาสิกขาบท ไปเป็นคฤหัสถ์ได้

~ คฤหัสถ์ก็ฟังธรรม นี่คือความตรง ด้วยความจริงใจ เพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนและความเข้าใจก็จะละความไม่รู้ซึ่งเป็นต้นเหตุมูลเหตุของความไม่ดีทั้งหมด ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง มีหรือที่จะขัดเกลากิเลสได้ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังธรรม เพื่อเข้าใจธรรม ฟังก็เพราะว่ารู้ว่ามีกิเลส มีความไม่รู้ จึงฟังเพื่อรู้อย่างถูกต้องและความรู้นั้นต่างหากที่จะละกิเลส ฉันใด ผู้ที่เป็นภิกษุ ถ้าไม่รู้อย่างนี้เป็นภิกษุได้ไหม? เพราะเหตุว่า จะบวชทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เพื่อเข้าใจ ทั้งๆ ที่คฤหัสถ์ แม้ไม่บวชเลย ก็ยังฟังธรรมเพื่อที่จะเข้าใจ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นเองจะได้ละความไม่รู้และขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น ภิกษุต้องเห็นโทษ เห็นภัยของการที่จะดำรงชีวิตอย่างคฤหัสถ์ที่จะขัดเกลากิเลส เพราะตนเองสามารถที่จะเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์

~ พุทธบริษัท ต้องรู้ว่าใครเป็นพระภิกษุ มิฉะนั้น ก็อนุเคราะห์บำรุงมหาโจร เพราะแม้แต่การนั่งฉันอาหารร่วมกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ภิกษุทุศีล บริโภคด้วยอาการอย่างขโมยเพราะเขา (ผู้ให้) ให้แก่ผู้มีศีล เพราะฉะนั้น ผู้ทุศีลรับไปบริโภคก็เหมือนขโมย

~ มีคำมากมาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อที่จะให้ผู้นั้น (ภิกษุผู้ล่วงพระวินัย) พ้นจากโทษที่เกิดจากกิเลสที่จะนำเขาไปสู่อบายภูมิเพราะเหตุว่า เขาทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจผิดและกล่าวคำผิดจากคำที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยเหตุนี้ คุณของพระธรรมและพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ แต่โทษมากมาย ถ้าคนนั้นจะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยกิเลส ด้วยความไม่รู้ และด้วยความประมาท

~ การสนทนาธรรม เป็นมงคล เพราะสามารถที่จะรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด และถ้าเป็นผู้ที่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะศึกษาต่อไป และมีความหวังดีต่อทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร ก็ให้เขาได้มีความเข้าใจถูกต้อง ผู้ที่เข้าใจธรรมแล้วก็พยายามทุกอย่างที่จะพูดคำจริงซึ่งไม่ต้องกลัวอะไร ในเมื่อเป็นคำที่หวังดี ที่จะให้คนได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้วก็จะได้ดำรงรักษาคำสอนที่บริสุทธิ์และถูกต้องต่อไป มิฉะนั้น ก็ไม่มีใครเข้าใจธรรมได้

~ เป็นการช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนาด้วย เมื่อให้เงินแก่พระภิกษุ ภิกษุรับเงิน หมายความว่ายินดีในเงินใช่ไหม? แต่เป็นพระภิกษุ เพราะสละแล้วใช่ไหม ตรงไหมถ้าสละแล้วกลับมารับ ถ้าจะรับเงินก็เป็นคฤหัสถ์ ลาสิกขาบท เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครห้ามเลย เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและแก่พระศาสนาด้วย เพราะพระธรรมและพระวินัยต้องบริสุทธิ์ ใครจะทำลาย ผู้นั้น ก็คือ ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถามอีกครั้งหนึ่ง "ใครจะให้เงินแก่พระภิกษุบ้าง?" ลองคิดดู เห็นกันอย่างนี้ แล้วถ้าภิกษุไม่ปลงอาบัติ ก็ไปสู่อบายภูมิเมื่อตายไป แล้วใครจะตายเมื่อไหร่จะรู้หรือ แล้วชาวพุทธหรือใครก็ตามแต่ให้เงินแก่พระภิกษุ ก็คือ ให้เขาไปนรก เขาจะปลงอาบัติทันไหม? (เพราะการล่วงละเมิดพระวินัยของพระภิกษุ เป็นอาบัติ ถ้าไม่แก้ไขตามพระวินัย ย่อมเป็นเครื่องกั้นการบรรลุธรรม และกั้นสุคติภูมิด้วย หมายความว่าถ้ามรณภาพ (ตาย) ไป ชาติถัดไป ต้องเกิดในอบายภูมิ เท่านั้น)

~ เริ่มเข้าใจถูกว่า เราไม่รู้ความจริง หลงผิด ยึดถือสิ่งที่เกิดแล้วดับว่ายังคงมีอยู่ ลองคิดดูค่อยๆ พิจารณาดูว่า สิ่งนั้น ไม่มีแล้ว แต่ยังมีความติดข้องพอใจอยู่ในสิ่งนั้น ไม่ฉลาดเลยเพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้อง ย่อมดีกว่าปล่อยให้ไม่เข้าใจต่อไป

~ ถ้าไม่รู้ ก็จะไม่รู้ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ออกจากความไม่รู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การที่จะออกจากความไม่รู้ ไม่ใช่ง่าย แต่มีหนทาง และมีหนทางเดียว คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้นที่จะนำออกจากสังสารวัฏฏ์ เพราะแต่ละคำ เป็นปัญญา เป็นความเห็นที่ถูกต้อง แต่ละคำเป็นคำจริงทุกคำ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ หลงผิดไปทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็หลงผิดใหญ่ ไม่สามารถที่จะกลับมาฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะมีการเชื่ออย่างมั่นคงในความคิด ในคำของบุคคลอื่น ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ตรงก็คือตรง ยาก ก็คือ ยาก ลึกซึ้งก็คือลึกซึ้งแต่ปัญญารู้ได้ จากการไม่เคยฟังเลย ไม่รู้เลย ยังฟังได้ เข้าใจได้ แล้วลองคิดดู ว่า ถ้าฟังต่อไปอีก ก็ต้องเข้าใจมากกว่านี้ โดยไม่ใช่เรา แต่เป็นความเข้าใจค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ มีอะไรเป็นของใครจริงๆ บ้างไหม? เพราะอะไร? เพราะดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลยตลอดเวลา

~ สัญญา เป็นสัญญา (ความจำ) ไม่ใช่เรา ซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ

~ ความรู้สึก ไม่ใช่จิต แต่ถ้าไม่มีจิตเกิด ความรู้สึกก็เกิดไม่ได้ เพราะความรู้สึกก็เกิดกับจิตทุกขณะ

~ "มาแล้วก็ไป" จากไม่มีแล้วก็มี เมื่อมีแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย

~ คนหนึ่งๆ ก็คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร)

~ การฟังธรรม ศึกษาธรรม จะน้อยจะมาก ก็ต้องสอดคล้องกัน คือ เพื่อความเข้าใจว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้น

~ ทำกรรมหนักๆ มาแล้ว ไปปล่อยสัตว์ ๗ ตัว จะพ้นได้หรือ ทำไมไม่คิด?

~ คิดธรรมเอง ผิดทั้งหมด แต่ถ้าได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ ลองคิดดูแรงของกรรมทำได้หมด จากชาติที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ ไปเกิดในสุคติภูมิก็ได้ เป็นไปตามผลของกรรม

~ จิต มีทุกสิ่งทุกอย่าง (สะสมอยู่) ทั้งดีและชั่วที่เกิดแล้วในสังสารวัฏฏ์หลายแสนโกฏิกัปป์

~ เดี๋ยวนี้เอง เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรก็ตาม สิ่งใดที่มีจริง ก็เป็นสิ่งที่มีจริง คือธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา

~ ความดี (ของตัวเอง) ไม่ต้องประกาศ ใครจะรักษาศีลมากเท่าไหร่ไม่ต้องบอกใครให้รู้ เพราะเป็นเรื่องของการขัดเกลากิเลส

~ แทนที่จะเป็นสถาบันอื่นหรือสมาคมใดๆ ก็เป็นสมาคมหรือสถาบันคนดี ดีไหม? แล้วก็ต้องดีจริงๆ ด้วย ใครจะเป็นสมาชิกของสถาบันหรือสมาคมนี้บ้าง?

~ อุบาสก อุบาสิกา คือ ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย มีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใกล้ ไม่ฟังเสียเลย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร?

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย thilda  วันที่ 21 มี.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย panasda  วันที่ 22 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย meenalovechoompoo  วันที่ 22 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เจียมจิต  วันที่ 24 มี.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ..อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย เจียมจิต  วันที่ 24 มี.ค. 2561

กราบขอบพระคุณ..อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย Dechachot  วันที่ 28 มี.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ