สวัสดีค่ะ หนูมีเรื่องขอคำแนะนำค่ะ
หนูได้ยินคำสอนของพี่ท่านหนึ่งที่เค้าพูดเกี่ยวกับความคิดของหนูว่า "หนูเป็นคนแปลก ผิดปกติ ไม่คิดอย่างคนธรรมดา ที่ไม่คิดอยากมีคู่ครอง ศึกษาธรรมะ มานานไม่รู้หรือว่าการเป็นคนอยากโสดเป็นบาป เพราะผู้หญิงเกิดมาเพื่อที่จะมีลูก และ หนูทำให้ผิดธรรมชาติ และจะพูดอยู่เสมอๆ ว่าการเกิดเป็นผู้หญิงถือเป็นกรรมค่ะ"
หนูสงสัยธรรมะค่ะ ว่าการโสดเป็นบาปจริงหรือคะ พี่เค้าอ้างว่าในพระธรรมกล่าวเช่นนั้น พี่ท่านนี้เคยบวชศึกษาธรรมะเป็นเวลา ๑ เดือน และเป็นพี่ที่มีพระคุณและหนูรู้สึกเคารพมากค่ะ แต่บางทีเวลาที่พี่โกรธจะพูดจาร้ายๆ โมโหร้ายๆ ค่ะ หนูเลยไม่มั่นใจว่าในสิ่งที่พี่พูด อยากจะสอนหรือเป็นห่วงที่เรายังไม่มีใคร อยากให้เราได้มีคู่ครองหรือเปล่า? ส่วนเหตุผลที่หนูคิดอยากโสด เพราะหนูคิดว่าการมีคู่เป็นทุกข์ แต่ก่อนไม่เคยมีแฟน เดี๋ยวนี้ก็ไม่มี หนูก็อยู่ได้ เพราะหนูไม่เคยคิดว่าการมีหรือไม่มีจะแตกต่างกันอย่างไร และ ก็ไม่เคยมีคนมาจีบ หนูก็ไม่สงสัยเพราะหนูเลือกชีวิตที่จะสุขอย่างคนโสด แล้วหนูไม่ เข้าใจค่ะ ว่าหนูผิดหรือคะ ถ้ามีแล้วไม่ดี สู้ไม่มี สุขเลือกได้ แล้วไปเกี่ยวอะไรกับเรื่อง บาปหรือเรื่องกรรมหรือคะ
ขอรบกวนขอคำแนะนำค่ะ และขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ขอเพิ่มเติมนะคะ
และสิ่งที่หนูตอบโต้หลังพี่เค้าพูดจบ คือหนูถามว่า หนูไปทำอะไรให้กับพี่หรือ พี่ถึงรู้สึกไม่ดีและคิดว่าหนูเกิดมาเป็นคนไม่มีประโยชน์ไม่รู้จักทำประโยชน์ให้กับคนอื่น พี่เค้าตอบว่า พี่เค้าหมั่นไส้ในสิ่งที่หนูทำตัวเป็นคนไม่มีประโยชน์กับโลกค่ะ หนูจึงตอบต่ออีกว่า หนูต้องขออภัยในสิ่งที่ทำให้พี่คิดเช่นนั้น และขออโหสิค่ะ สิ่งที่หนูทำนี้ถูกหรือเปล่าคะ ตอนนี้หนูสับสนค่ะ ไม่สามารถสอนตัวเองได้อย่างที่เคยให้สติตัวเอง เพราะคนที่ตักเตือนเป็นพี่ที่เคารพมากๆ ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะที่เป็นบาป คือ ขณะที่ทำบาป มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามพูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มีความเห็นผิด เป็นต้น แต่การไม่มีคู่ครองไม่ได้เป็นการทำร้ายผู้อื่น และไม่ได้ ทำบาป ตามประการต่างๆ ที่กล่าวมา จึงไม่ได้เป็นบาป ครับ
เพราะฉะนั้น การทำบาป สำคัญที่การกระทำทางกาย วาจาของแต่ละบุคคล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีคู่ครอง ไม่มีคู่ครอง หากมีคู่ครอง แต่ทำการกระทำทางกาย วาจา ไม่ดี มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดเท็จในขณะใด เป็นบาปแล้วในขณนั้น และแม้ไม่มีคู่ครอง แต่ มีการทำบาป มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ขณะใด ขณะนั้นเป็นบาปในขณะนั้น ครับ
สรุปได้ว่า ขณะที่เป็นบาป คือ ขณะที่มีกาย วาจาและใจที่ไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่การมีคู่ครองหรือ ไม่มีคู่ครอง ครับ
ซึ่ง การจะเป็นคนดี คือ กุศลจิตเกิดขึ้นบ่อย และ อกุศลเกิดขึ้นน้อยลง ไม่ใช่เพราะการมีคู่ครอง หรือ ไม่มีคู่ครอง แต่ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่เจริญขึ้น ที่เป็นสภาพธรรมที่เห็นถูกตามความเป็นจริง เมื่อมีความเห็นถูก ก็ทำให้คิดถูก เป็นกุศลในขณะนั้น วาจา และกายก็ถูกขึ้น ตามปัญญาที่เจริญขึ้น ก็งดเว้นจากบาปทางกาย วาจา ตามปัญญาความเห็นถูกที่มากขึ้น เพราะอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมทำให้ปัญญาเจริญขึ้น และทำให้เป็นคนดี ดีด้วยกุศลธรรมที่เจริญขึ้น และงดเว้นจากบาปมากขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น การมีคู่ครอง หรือ ไม่มีคู่ครอง ไม่ใช่เครื่องตัดสินว่า จะทำบาป หรือ ตัดสินว่าเป็นคนดี มีปัญญา แต่ขึ้นอยู่กับใจของแต่ละใจ แต่ละคน ว่าสะสม สิ่งใด กุศลธรรมหรือปัญญา หรือ อกุศลธรรมมามาก ไม่มาก ครับ ดังนั้น วัดที่ใจ วัดที่จิตของแต่ละคนว่า จิตใจเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้า ทรงแสดงหนทางการดับกิเลส ไม่ใช่เพียงไม่ให้มีคู่ครอง หรือ มีคู่ครอง แต่ทรงแสดงธรรม เพื่อละ อกุศลธรรม มีโลภะ เป็นต้นที่ยิ่งกว่าคู่ครอง สนิทชิดเชื้อมากกว่า การมีคู่ครอง เพราะ ติดตามจิตใจของบุคคลนั้นไปตลอด พระองค์ทรงแสดงธรรม เพื่อละโลภะ ความสนิทสนมด้วยกิเลส ด้วย อริยมรรค คือ การเจริญสติปัฏฐาน คือ การรู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงเป็นธรรม ที่นำไปสู่หนทางการดับกิเลส ซึ่งผู้ที่เจริญตามทางที่พระองค์ทรงแสดงก็บรรลุธรรม ทั้งที่มีคู่ครอง และ ไม่มีคู่ครอง ครับ
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่การจะมีคู่ครอง หรือ ไม่มีคู่ครอง แต่ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่จะมีคู่ครอง หรือไม่ บังคับไม่ได้ แต่สำคัญที่สุด คือ จะมีคู่ครอง หรือไม่มีก็ตาม สมควรที่จะอบรมหนทางการดับกิเลส ด้วยการฟังพระธรรม ตามกาลเวลาอันสมควร เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา อันจะละธรรมที่สนิทยิ่งกว่าคู่ครอง คือ โลภะและกิเลส ที่ติดตามจิตใจไปทุกชาติมากกว่าคู่ครองที่มีเพียงชาตินี้เท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอเชิญสหายธรรมทุกท่านร่วมสนทนา
การที่เราจะมีคู่ครองหรือไม่ เราก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู๋ที่บุญกรรมที่เราทำมา แต่ถ้าเราจะต้องมีคู่ครอง เราก็จะต้องใช้หลักการครองเรือนที่ดีเพื่อนำไปปฏิบัติ แต่ถ้าเราไม่มีคู่ครองก็ปฏิบัติตนให้ดีก็แล้ว (เพราะเราก็เกิดมาเพื่อใช้กรรมของตนเองและก็สร้างบุญกุศลต่างๆ และอบรมปัญญาของเราได้ดีขึ้น) คิดแบบนี้น่าจะสบายใจขึ้นนะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ตั้งแต่ต้นจริงๆ จากที่คิดว่าทำอย่างนี้จะเป็นบาปไหม ไม่ทำอย่างนี้จะเป็นบาปไหม ก็คงจะคลายสงสัยลงไปได้เมื่อได้ศึกษาพระธรรมไปตามลำดับ เพราะบาป เป็นเรื่องของอกุศลกรรมทั้งหมด ที่เป็นเหตุที่ไม่ดี ที่จะเป็นเหตุให้เกิดผลที่ไม่ดีในภายหน้า ผลที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนาทั้งหมด มาจากเหตุที่ไม่ดี คือ อกุศลกรรม ทั้งนั้น
ชีวิตไม่ได้สำคัญอยู่ที่การมีคู่ครองหรือการไม่มีคู่ครอง แต่สำคัญอยู่ที่ได้กระทำตนให้คุ้มค่ากับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรือยัง ชีวิตของแต่ละบุคคลเป็นไปตามการสะสมไม่เหมือนกัน และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การสะสมความดีพร้อมทั้งอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่อย่างอื่น
การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล ชีวิตในสังสารวัฏฏ์ยังไม่จบลงเพียงแค่ชาตินี้ ยังต้องมีการเกิดอีกต่อไป เพราะตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป เกิดมาในภพนี้ชาตินี้ ก็เพียงชั่วคราว ในชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีโอกาส ที่จะเจริญกุศลได้ทุกอย่าง จึงไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต เพราะในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่จะได้สะสมความดี และ อบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ถ้าอยากมีคู่แล้วไม่มีเดือดร้อนใจเป็นอกุศลจิต ถ้ามากๆ อาจล่วงเป็นกรรม ถ้าไม่มีเพราะไม่อยากมีไม่เดือดร้อน ไม่เป็นอกุศล การเป็นโสดจึงไม่เดือดร้อนเพราะอยากมีคู่ ...
จะเป็นโสดหรือมีคู่ ... ก็ทุกข์ได้ทั้งนั้นตราบใดที่ยังมีกิเลส ...
ขออนุโมทนาค่ะ
บาปหรือไม่บาปอยู่ที่อกุศลจิต ไม่ได้อยู่ที่ว่าไม่มีคู่ การที่ไม่มีคู่ก็แล้วแต่การสะสมอัธยาศัยที่จะอยู่เป็นโสด เพราะเห็นโทษของการมีคู่ครองแล้วทำให้มีภาระเพิ่มขึ้น เปรียบเหมือนเรามีขันธ์ ๕ ต้องรักษาแล้ว ถ้ามีคู่ก็เพิ่มภาระในการรักษาขันธ์อีก ๕ และ ถ้ามีลูกก็เพิ่มภาระในการรักษาขันธ์ ๕ อีก ค่ะ
พระพุทธเจ้ากล่าว สิ่งประเสริฐสำหรับคนที่สะสมความพอใจต่างกัน
คนที่ไม่อยากมีคู่ ชีวิตที่ไม่มีคู่ครอง หรือนักบวช ถือพรหมจรรย์ เป็นสิ่งประเสริฐ
แต่คนที่มีคู่ การมีคู่ครองคนเดียว เป็นสิ่งประเสริฐ
จะเห็นได้ว่า ประเสริฐเหมือนกัน แต่ต่างอัธยาศัยครับ
ความจริง ไม่มีคู่ก็ดี แต่ถ้ามี ก็สามารถเกื้อกูลกันในด้านธัมมะได้
ซึ่งแล้วแต่อัธยาศัยจริงๆ ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ