เราควรรู้จักโลกตามความเป็นจริง ด้วยการรู้ชัดลักษณะที่ต่างกันของ
นามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เช่น เมื่อสภาพร้อน
ปรากฏที่กาย สภาพร้อนนั้นก็เป็นสิ่งที่สติระลึกรู้ได้ เมื่อสภาพอ่อนปรากฏ
สภาพอ่อนนั้น ก็เป็นสิ่งที่สติระลึกรู้ได้ เมื่อมีสติระลึกรู้เช่นนี้ ก็จะรู้ชัดใน
ลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรม การรู้ลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมที่
ปรากฏนั้นสำคัญมาก เพราะถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเหล่านั้น ก็จะ
ยึดถือสภาพธรรมเหล่านั้นเป็นตัวตน เช่น เราอาจจะคิดว่า ความอ่อนที่กาย
นั้นเป็น “กายของเรา” เมื่อรู้ลักษณะของรูปอ่อนบ่อยขึ้น ก็จะรู้ว่าลักษณะที่
อ่อนนั้นเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรมไม่ใช่ตัวตน ดังนั้น เราก็จะค่อยๆ
คลายการยึดถือว่าเป็น “ร่างกายของเรา” ลงทุกที เมื่อสติระลึกรู้ลักษณะ
ของสภาพธรรม เช่น การเห็น ความเสียใจ ความสุข และการคิดนึก ก็จะรู้
ได้ว่า เป็นลักษณะของนามธรรมแต่ละชนิดที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เป็น
ทุกข์ ตาเป็นทุกข์ การเห็นเป็นทุกข์ ความรู้สึกที่เนื่องมาจากสิ่งที่เห็น
ก็เป็นทุกข์
คาถาบทเดียว ฟังแล้วสงบระงับ
ย่อมประเสริฐกว่าคาถาตั้งพัน
แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
เราควรรู้จักโลกตามความเป็นจริง
เราเข้าใจว่าโลก คือ มีแผ่นดิน ภูเขา มีแม่น้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่าง แต่นั้นไม่ใช่โลกตามความเป็นจริง ไม่ใช่โลกในวินัยของพระอริยเจ้าครับ เราก็เลยยึดสิ่งที่เรียกว่าโลกว่าเป็นเรา สัตว์บุคคล ตัวตน มารู้จักโลกที่ถูกต้องกันครับ จากข้อความในพระไตรปิฎก
ข้อความบางตอนจาก ปฐมโลกามคุณสูตร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 197
อาวุโสทั้งหลาย บุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก ถือว่าโลกด้วยธรรมอันใด ธรรมนี้เรียกว่าโลกในวินัยของพระอริยะ อาวุโสทั้งหลาย บุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก ถือว่าโลก ด้วยธรรมอะไรเล่า อาวุโสทั้งหลายบุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก ถือว่าโลก ด้วยจักษุ... ด้วยหู... ด้วยจมูก... ด้วยลิ้น . . . ด้วยกาย. . . . ด้วยใจ อาวุโสทั้งหลาย บุคคลย่อมมีความสำคัญในโลกว่าโลก ถือว่าโลก ด้วยธรรมอันใด ธรรมนี้เรียกว่าโลกในวินัยของพระอริยะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ