ขอเรียนถามท่านอาจารย์ครับ ผมได้ฟังว่า อนุปาทิเสสนิพพานไม่มีการเห็น การได้ยิน ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีบัญญัติ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีจิตเจตสิกรูป ไม่มีความจำ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีสีสันวรรณะ ไม่มีการรับรู้ใดๆ เกิดขึ้นอีก ความสุขในนิพพาน มิใช่ความสุขที่คนหรือเทวดาจะเข้าถึงได้เลย หากเป็นเช่นนั้น ผู้ที่ปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ แท้จริงแล้วก็ปรารถนาในสิ่งที่ไม่ใช่นิพพานเลย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
นิพพานมี ๒ อย่าง คือ สอุปาทิเสสนิพพาน และ อนุปาทาทิเสสนิพพาน สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้วแต่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ คือ ยังไม่สิ้นชีวิต เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ในวันนั้น พระองค์ดับกิเลสหมด แต่พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน การดับกิเลสหมดสิ้น
ดังนั้น คำว่า นิพพาน ในที่นี้ เป็นการแสดงความหมายของคำว่า นิพพานที่หมายถึงดับ เย็นสนิท ดังนั้นจึงมุ่งหมายถึง การดับสนิทของกิเลสนั่นเองครับ แต่ขณะที่ประจักษ์ตัวพระนิพพาน ต้องเป็นขณะตามที่ผมกล่าวมาข้างต้นครับ จึงเป็นการสื่อความหมายถึงคำว่า พระนิพพาน ซึ่งขณะที่ดับกิเลสหมดสิ้นนั้นก็เป็นอรหัตตมรรคจิต ก็ประจักษ์พระนิพพานในขณะนั้น ที่เป็นตัวพระนิพพานจริงๆ ครับ
ส่วน อนุปาทิเสสนิพพาน คือ การดับสนิทของสภาพธรรมทั้งหมด ทั้งขันธ์ 5 คือทั้งรูปและนามหมดสิ้น เช่น ในวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานที่กุสินารา คือ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรอีกเลย ใช้คำว่า นิพพานด้วย คือ อนุปาทาทิเสสนิพพาน แต่ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปอยู่หรือไปนิพพานนะครับ แต่เป็นการแสดงความหมายของคำว่า นิพพาน ที่ดับสนิท อีกเช่นกัน นั่นคือ ดับสนิทจริงๆ คือ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรอีก จึงใช้ชื่อเรียก โดยใช้คำว่า นิพพานด้วยครับ เป็นประเภท อนุปาทาทิเสสนิพพาน แต่ขณะที่ประจักษ์ตัวพระนิพพานจริงๆ ก็เป็นตามที่กล่าวข้างต้น คือ มรรคจิต ผลจิต ขณะเข้าผลสมาบัติ ครับ
ขออนุโมทนา
เชิญคลิกอ่านที่นี่...
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ผู้ที่ปรารถนานิพพาน แต่ยังไม่ไได้ประจักษ์พระนิพพาน ก็ชื่อว่า ปรารถนาในสิ่งที่ยังไม่ถึง และนิพพานก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีการเกิดและการดับ แต่พระนิพพานมีอยู่โดยปรมัต ผู้ที่จะประจักษ์พระนิพพาน คือ ขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้น โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ขณะนั้น ประจักษ์พระนิพพาน ประจักษ์ตัวสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน หรือ ขณะที่เข้าผลสมาบัติ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไกลในการจะปรารถนานิพพาน ควรที่จะเริ่มอบรมเหตุ คือ ความเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับในขั้นการฟังอย่างถูกต้องเป็นสำคัญ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การที่ปัญญาจะคมกล้าจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสประการต่างๆ ประจักษ์แจ้งในลักษณะของพระนิพพาน (ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ และไม่ใช่สถานที่ด้วย) นั้นเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่ขณะนี้มีธรรม มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีให้ศึกษา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปัญญาจะประจักษ์แจ้งได้ เข้าใจตามความเป็นจริงได้ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้นแล้ว จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องรูปธรรมนามธรรม บ่อยๆ เนืองๆ ด้วยความไม่ท้อถอย เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายความยึดถือในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ จึงไม่มีหนทางอื่น นอกจากฟังให้เข้าใจ ผู้ที่ดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาดล้วนเป็นผู้ได้สั่งสมการฟังพระธรรมมาแล้วทั้งนั้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กว่าจะถึงนิพพาน ก็ต้องเป็นคนดี ทำดี อบรมบารมีทั้ง 10 เริ่มด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ ค่ะ
ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่ได้เพราะความอยาก จะกลายเป็นตัวตนที่อยาก แต่ต้องรู้ความจริงว่าอะไรที่อยาก คือปัญญาต้องเกิดแล้วปัญญาก็จะทำหน้าที่ของปัญญา กราบอนุโมทนาค่ะท่านอาจารย์ทั้งสอง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
อ่านท่านอาจารย์ Paderm อธิบายแล้วได้ให้ความหมายชัดเจนแยกไว้ได้เข้าใจเป็นอันดีขอบพระคุณ และขออนุโมทนาบุญด้วยครับ