ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงแรมสายลม หัวหิน ๘ - ๙ กันยายน ๒๕๕๘
โดย วันชัย๒๕๐๔  15 ก.ย. 2558
หัวข้อหมายเลข 27013

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันที่ ๘ - ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากร อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ได้รับเชิญจากคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ โรงแรมสายลม อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีกำหนดการสนทนาธรรมในวันแรก เวลา ๑๔.๐๐ - ๑๗.๓๐ น. และ ในวันที่สอง ระหว่างเวลา ๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. และ ในช่วงบ่าย เวลา ๑๓.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. โดยในวันแรกท่านเจ้าภาพ ได้เชิญทุกท่านที่เดินทางมาเข้าร่วมฟังการสนทนาธรรม แวะรับประทานกลางวัน ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวปลานำชัย ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาชื่อดังของอำเภอหัวหิน ซึ่งท่านเจ้าภาพคือคุณขจีรัตน์ ทำการเหมาร้านทั้งหมดในวันนี้ เพื่อเลี้ยงต้อนรับท่านที่เดินทางมาทุกๆ ท่าน

หลังรับประทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาเจ้าอร่อยเสร็จแล้ว ก็เดินทางเข้าเช็คอินที่โรงแรมสายลม ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ของอำเภอหัวหิน ที่เปิดให้บริการมายาวนานกว่าสามสิบปีแล้ว แต่มีการปรับปรุงใหม่อยู่เสมอ มีห้องพักที่สะอาดและมาตรฐาน เตียงคู่ขนาดใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องครบครัน นอกจากทีวี กาน้ำร้อน และตู้เย็นที่มีเครื่องดื่มนานาชนิดไว้บริการแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่ค่อยได้เห็นในโรงแรมอื่นๆ ที่เคยพักมา คือ กระติกใส่น้ำแข็งอย่างดี รวมถึงจาน และช้อนส้อม ไว้ให้บริการแก่ผู้ที่เข้าพักอีกด้วย

ประการที่สำคัญ โรงแรมสายลมที่หัวหินแห่งนี้ มีชื่อเสียงทางด้านอาหารอร่อย ในบรรยากาศสบายๆ ติดชายหาดเลื่องชื่อเก่าแก่ของประเทศตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ทั้งยังมีบริการที่อบอุ่น เป็นมิตรเป็นอย่างยิ่ง พนักงานทุกท่านเอาใจใส่ดูแลดีมากครับ บรรยากาศมื้อค่ำริมทะเลยามเย็น ก็งดงาม ยังคงบรรยากาศดั้งเดิมที่มีกลิ่นอายของหัวหินเมื่อวันวาน กับรสชาติของอาหารที่อร่อยถูกปากถูกใจทุกคน สมคำร่ำลือว่า ถึงหัวหิน กินสายลม ชมทะเล เฮ!!! (อันนี้ข้าพเจ้าเติมเอง)

ท่านเจ้าภาพคือคุณขจีรัตน์ (คุณตู่) เป็นผู้ที่มีศรัทธามาก มีความตั้งใจมากและกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่ได้รับโอกาสจากท่านอาจารย์ ในการเป็นเจ้าภาพจัดการสนทนาธรรมขึ้นที่นี่ในครั้งนี้ ข้าพเจ้าทราบว่า คุณตู่ (คุณขจีรัตน์) ได้เดินทางมาดูสถานที่ รวมถึงพูดคุยรายละเอียดต่างๆ หลายครั้ง เพื่อให้มีความพร้อมที่สุด ที่จะให้การต้อนรับผู้ที่แสดงความประสงค์จะเดินทางมาเข้าร่วมสนทนาธรรมในครั้งนี้ ซึ่งทราบว่า มีจำนวนมากถึงกว่า ๑๕๐ ท่าน ที่เดินทางมาจากทั้งกรุงเทพมหานคร ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดใกล้เคียง โดยมีผู้ที่จองห้องพักมากถึง ๔๐ กว่าห้องเลยทีเดียว

อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว คุณตู่เป็นผู้ที่มีศรัทธาและตั้งใจมาก กับการจัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้นที่หัวหินในครั้งนี้ มีการเตรียมการต้อนรับล่วงหน้าเป็นอย่างดี ชักชวนสหายธรรมมาทดสอบคัดเลือกรายการอาหารล่วงหน้า จัดเตรียมทำน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพบรรจุขวดแช่เย็นไว้บริการผู้ร่วมสนทนา รวมถึงของว่างเวลาพัก ซึ่งในบ่ายวันแรกได้นำข้าวเหนียวมะม่วงจากร้านชื่อดังของหัวหิน คือ ข้าวเหนียวมะม่วงของแม่นงนุช ร้านมีชัย หน้าตลาดฉัตรไชย ซึ่งเป็นร้านของคุณขจีรัตน์นั่นเอง คงไม่ต้องโฆษณาอะไร เพราะท่านที่มาเที่ยวหัวหินบ่อยๆ ไม่มีใครไม่รู้จักนะครับ เพราะนอกจากข้าวเหนียวมะม่วงแล้ว ยังมีขนมเทียนเสวย ที่ขายดีมากๆ เนื่องจากเป็นของทรงโปรดที่ต้องนำเข้าวังไกลกังวลทุกครั้งที่เสด็จมาประทับที่พระราชวังไกลกังวล

การได้เดินทางมาสนทนาธรรมที่หัวหินในครั้งนี้ นอกจากจะได้ฟังพระธรรมที่มีผู้ร่วมสนทนาที่หลากหลายแล้ว ยังมีเพื่อนๆ สหายธรรมที่สนิทสนมคุ้นเคย เดินทางมาด้วยเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกมีความสุขสนุกสนาน รู้สึกสบาย สดชื่นมากๆ ครับ มีความรู้สึกดีมากๆ ที่นานๆ จะได้มาพักผ่อนสบายๆ ริมหาดทรายขาวสะอาด ท่ามกลางบรรยากาศแสนสวยของหัวหิน และประการสำคัญคือ เป็นช่วงเวลาที่มีค่าและไม่ผ่านไปโดยเปล่าเหมือนเช่นครั้งก่อนๆ ที่เคยมาเที่ยวหัวหินในอดีต ซึ่งปราศจากเสียงของพระธรรมที่ทำให้ได้สะสมความเข้าใจความจริงที่มีค่าที่สุดในชีวิตเช่นในครั้งนี้ นี่เป็นความแตกต่างที่ชัดเจน ของการมีชีวิตที่เป็นไปในแต่ละวัน ของผู้ที่ได้เคยสะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดในชีวิต จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติหนึ่งๆ ที่ไม่ใช่การท่องเที่ยวไปโดยเปล่า เพียงเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ซึ่งไม่ว่าจะเลิศสักเพียงไหน ก็หมดไปโดยไม่เหลือ ทิ้งไว้แต่ความติดข้องต้องการ ที่นับวันแต่จะมีกำลังมากขึ้นๆ ให้ผลทำร้ายบุคคลนั้นเอง ที่ตกเป็นทาสของนายใหญ่คือโลภะ ที่มีกำลังมากขึ้นทุกวันๆ หากแต่ชีวิตของผู้ศึกษาและสะสมความเข้าใจธรรมะ ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ให้ผู้ที่เคยสะสมความเข้าใจในอดีต มีโอกาสที่ได้สะสมความเข้าใจต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาที่จะอีกยาวนานเท่าใด ก็ย่อมมีชีวิตที่เป็นไปในทางที่จะละคลายความติดข้อง ความต้องการ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นการคลายออก มิใช่การ พอกพูนเพิ่มขึ้น ดังเช่นปุถุชนผู้ที่มิได้สดับรับฟังความจริงที่ได้ทรงแสดงไว้ เช่นนี้แล้ว ผู้ที่เริ่มเข้าใจและมั่นคงขึ้นในหนทาง ย่อมเป็นผู้ที่รู้สึกได้ถึงความสุขอันแท้จริง จากการที่เป็นผู้ที่ละคลายออกจากความติดข้อง ด้วยปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชามิได้ หาใช่ตัวตน สัตว์บุคคลใดไม่ เป็นความเข้าใจอันบุคคลอบรมเจริญขึ้น มีขึ้น ด้วยการฟังและเข้าใจพระธรรม หาใช่การไปทำ ไปปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยความติดข้อง ด้วยความต้องการที่เป็นตัวตน ที่อยากจะรู้ อยากจะเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำให้รู้ความจริงได้ด้วยความเป็นตัวตน แต่ต้องด้วยความเป็นอนัตตา ด้วยปัญญาที่ได้อบรมเจริญขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย จากการได้ฟังพระธรรมในแต่ละครั้งนั่นเอง นี่คือความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม ที่บุคคลที่มิได้สะสมความมีเหตุผลที่จะพิจารณาโดยแยบคายมา ย่อมเป็นผู้ที่ถูกโลภะ คือ เพื่อนสนิท นายใหญ่แห่งสังสารวัฏฏ์ ชักนำไปสู่หนทางที่ผิด อย่างน่าสงสารและน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นผู้ที่หันหลังให้แล้วซึ่งพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ทั้งๆ ที่คิดว่าเป็นผู้ที่นับถือพระองค์และคิดว่าฟังคำของพระองค์ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ไม่รู้เลยว่ากำลังฟังคำคนอื่น ที่กล่าวแอบอ้างคำของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า และ เป็นบุคคลที่ "คิดเอง" ด้วย ตัณหา มานะ และทิฏฐิ โดยไม่รู้ตัวเลย ทรงแสดงว่าบุคคลคบกันโดยธาตุ ฉันใด ผู้มีปัญญาเท่านั้น จึงรู้ว่าคำใดเป็นคำจริง ที่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏได้ถูกต้อง

[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 170

...คนปัญญาทราม ย่อมแนะนำข้อที่ไม่ควรแนะนำ ย่อมประกอบคนไว้ในกิจที่มิใช่ธุระ การแนะนำเขาก็แสนยาก เพราะเขาถูกว่ากล่าวโดยดี ก็โกรธ พาลนั้นไม่รู้จักวินัย การไม่เห็นเขาเสียได้ ก็เป็นการดี...
...บัณฑิต ย่อมแนะนำเรื่องที่ควรแนะนำ ไม่จูงคนไปในกิจมิใช่ธุระ แนะนำเขาก็ง่ายดี เพราะเขาถูกว่ากล่าวโดยดี ก็ไม่โกรธบัณฑิตนั้นรู้วินัย สมาคมกับบัณฑิตนั้นได้ เป็นการดี...

อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอน ซึ่งมีความไพเราะอย่างยิ่ง ควรที่จะค่อยๆ อ่าน และพิจารณาช้าๆ โดยละเอียด เพื่อทุกๆ ท่าน จะได้รับประโยชน์แล้วๆ เล่าๆ ขอเรียนว่า ไม่ควรพลาด "ทุกคำ" ซึ่งเป็นความละเอียดและเข้มข้น ชัดเจนอย่างยิ่ง ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง "หนทาง" ของการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ในวันหนึ่ง เป็นคำธรรมดาๆ ที่ดูเหมือนง่าย ดูเหมือนเข้าใจแล้ว แต่กลับมีความลึกซึ้ง และ ยากอย่างยิ่ง แต่ถึงได้ในวันหนึ่ง ด้วยความมั่นคงจากความเข้าใจในการฟังที่แยบคาย ไม่ติดตามไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ ไม่ต้องรีบอ่านให้จบเร็วๆ ก็ได้ครับ เก็บไว้อ่านหลายๆ วัน แล้วๆ เล่าๆ ดีมากๆ ครับ ขอเชิญพิจารณาข้อความดังกล่าวนั้นโดยละเอียดดังนี้

พลตรี ดร.วีระ จริงๆ ไม่ใช่ผมอยากจะอวดโง่หรือว่าไม่รู้ แต่โง่จริงๆ คือ ลักษณะนี้ผมคิดได้เลย เรียกว่าโง่

ท่านอาจารย์ (โง่) ก็ไม่ใช่คุณวีระ แต่เป็น "อวิชชา" ถ้าเป็นภาษาบาลี หรือเป็น "โมหะ" แต่ถ้าเป็นภาษาไทย ก็คือ "ไม่รู้ความจริง"

พลตรี ดร.วีระ แต่เราก็ฟังนี่ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ฟัง "ชื่อ" พูด "เรื่องตา" รู้ความจริงของ "ตา" ซึ่งกำลังเกิดดับหรือเปล่า? พูด "เรื่องหู" "ได้ยิน" ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่ทันที่จะ "รู้"

เพราะฉะนั้น "ฟัง" เป็น "ปริยัติ" หมายความว่า ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อรอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟังอย่างมั่นคงขึ้น ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ฟังช้าๆ กำลังกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง หลากหลายมาก จึงเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ภาษาบาลี ก็ใช้คำว่า "ธรรมะ" หรือใช้คำว่า "ธาตุ" แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย กำลังพูดถึงสิ่งที่มี ว่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด จะมีได้อย่างไร?

เพราะฉะนั้น จากไม่มีเสียง และ "เสียง" ปรากฏ ต้องมี "ธาตุ" ที่ "ได้ยิน" "เสียง" จึงปรากฏได้ ถ้าไม่มี "สภาพรู้ ธาตุรู้ " เสียงก็ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ในขณะที่เสียงปรากฏ "ลืม" ว่ามี "ธาตุ" ที่ "กำลังได้ยินเสียง"

เพราะฉะนั้น ธรรมะ จะปราศจากธาตุ คือ ธาตุรู้ คือ ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้น ก็จะไม่มีสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ได้เลย แต่เมื่อมีธาตุรู้เกิดแล้ว เห็น จำได้ นึกถึง ธาตุรู้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ใช้คำว่า "จิต" หมายความถึง สภาพที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น เดี๋ยวนี้ ลืมตา "เห็นแล้ว" ไม่ให้เห็น ได้ไหม? ไม่ได้!! เป็นธาตุ ที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตา เป็นอย่างนี้

ไม่ใช่ไปวาดภาพออกมาเป็นคนๆ เป็นดอกไม้ เป็นแจกัน แต่มีจริงๆ กระทบตา แล้วปรากฏว่า สีสันวรรณะขณะนี้เป็นอย่างนี้!!! นี่คือ ธาตุ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธาตุ สิ่งที่รู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธาตุ แม้ "คิดนึก" ก็เป็นธาตุ ทั้งหมดเป็นธาตุ หรือ ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เพื่อที่จะได้รู้ว่า ที่เข้าใจว่า "เป็นเรา" หรือว่าเป็น "สิ่งหนึ่ง สิ่งใด" ที่เที่ยง ก็เพราะสิ่งนั้นเกิดดับสืบต่อ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย ยากไหม? ลึกซึ้งไหม?

พลตรี ดร.วีระ ลึกซึ้ง

ท่านอาจารย์ ไม่มีคำว่า ง่าย!!!

พลตรี ดร.วีระ ครับ ขอโทษที่ใช้คำว่าง่าย แต่ว่ามันก็มีสิ่งที่ปรากฏ แล้วทำไม....

ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ไม่ใช่เมื่อกี้นี้แล้ว

พลตรี ดร.วีระ ตอนนี้ มันมีอะไรที่มันมาบังตรงนี้ ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่อง ความไม่รู้ เมื่อสักครู่นี้ ขณะนี้ที่เห็น หรือมันข้ามไปเลย ไปคิดถึง....

ท่านอาจารย์ ข้ามตลอด เพราะขณะนี้ "คิด" จึงพูด ใช่ไหม?

พลตรี ดร.วีระ คิด แล้วก็พูดออกมา

ท่านอาจารย์ แล้ว "เสียง" ก็ดับแล้ว ใช่ไหม?

พลตรี ดร.วีระ ครับ

ท่านอาจารย์ แล้ว "คิด" ที่คิดเสียงนั้นก็ดับแล้ว ใช่ไหม?

พลตรี ดร.วีระ ครับ

ท่านอาจารย์ แล้ว "มีเสียงใหม่" แล้ว "คิดใหม่" แล้ว

พลตรี ดร.วีระ เพราะฉะนั้น มันลึกซึ้ง เพราะเสียงเมื่อกี้ ไปแล้ว!!!

ท่านอาจารย์ ทั้งหมด เกิดดับ โดยไม่รู้เลย!!! สืบต่อ จนเหมือนไม่มีอะไรเกิดดับ แต่ขณะนี้ โลก หรือ โล-กะ คือ สิ่งที่เกิด ดับทันที!!

พลตรี ดร.วีระ แล้วเราจะเรียน เราจะฟัง เพื่อจะให้ ขันธ์นี่ ให้รู้...

ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ รู้ความจริง!!! เข้าใจความจริง ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างนี้!!!

พลตรี ดร.วีระ ทราบครับ ความจริงเป็นอย่างนี้

ท่านอาจารย์ เปลี่ยนแปลงได้ไหม? เป็นเจ้าของอะไรหรือเปล่า?

พลตรี ดร.วีระ อันนี้ มาแล้วก็ไป แล้วก็มา แล้วก็ดับไป

ท่านอาจารย์ ไม่เหลือเลย!!!

พลตรี ดร.วีระ ไม่เป็นเจ้าของ ไม่เหลือเลย

ท่านอาจารย์ ไม่กลับมาอีก จะเป็นของใคร?

พลตรี ดร.วีระ ไม่มี แต่ว่า ความเข้าใจอันนี้ ก็นี่แหละ คือคำว่า "ยาก" ใช่ไหม? เพราะว่า ความเข้าใจอันนี้ ขณะที่ชีวิตประจำวันต่อไปนี้ เอาเดี๋ยวนี้เลย ขณะนี้ มองปุ๊บ ก็กลายเป็นอย่างอื่นไปหมด คือ กลายเป็นเรื่องราว เป็นที่เรียกว่า นิมิตอะไร....

ท่านอาจารย์ จึงต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ "ทีละคำ" เคยได้ยินชื่อ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า ทีปังกร ไหม?

พลตรี ดร.วีระ เคยครับ

ท่านอาจารย์ และ เคยได้ยินชื่อ สุเมธดาบส ไหม?

พลตรี ดร.วีระ เคยครับ

ท่านอาจารย์ เป็นใครคะ? คุณคำปั่น

อ.คำปั่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร ก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต ส่วนท่านสุเมธดาบส ก็คือ ผู้ที่สะสมบารมี แล้วก็ได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าท่านผู้นี้ คือ ท่านสุเมธดาบส ในอีกสี่อสงไขยแสนกัป ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ แล้วคนในยุคนั้น ฟังแล้ว ปลาบปลื้ม ดีใจว่า ถ้าเขาไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในสมัยของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รู้ความจริงในสมัยของพระสมณโคดม คือ ท่านสุเมธดาบส อีกสี่อสงไขยแสนกัป

เพราะฉะนั้น เราอยู่ที่ไหน? สมัยโน้น และ ถ้าสมัยนี้ เราไม่ได้ฟังธรรมะเลย จะอยู่ไปอีกเกินสี่อสงไขยแสนกัป

พลตรี ดร.วีระ อาจจะมากกว่านั้น

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรมะเลย

พลตรี ดร.วีระ แต่ว่า เข้าใจว่า สุเมธดาบส ท่านต้องใช้เวลามากมาย ซึ่งเราไม่สามารถจะคิดได้ ว่ามากมายแค่ไหน?

ท่านอาจารย์ แล้วท่านพระสารีบุตร เคยได้ยินชื่อท่านพระสารีบุตรไหม? เป็นใครคะ คุณธีรพันธ์

อ.ธีรพันธ์ ท่านพระสารีบุตร เป็นอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศด้วยปัญญา คือ ท่านได้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระอัครสาวก ผู้เลิศด้วยปัญญา ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี เป็นเวลาหนึ่งอสงไขยแสนกัป ก็คือ เป็นพระสารีบุตรในพระชาติที่พระสมณโคดมตรัสรู้ และท่านได้ฟังธรรมะโดยย่อเท่านั้นเอง ท่านก็สามารถที่จะตรัสรู้เป็นพระโสดาบันได้ แล้วหลังจากนั้นก็ไปเล่าให้พระมหาโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่านฟัง ก็เป็นพระโสดาบันอีก

ท่านอาจารย์ ถ้าจะกล่าวถึง ๒๕๐๐ กว่าปี ถอยไปทีละร้อยปี คงไม่นานเท่าไหร่ ท่านเหล่านั้น เป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ แล้วรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่...ก่อนนั้น...นานเท่าไหร่? กว่าจะได้มีความเข้าใจในพระธรรม ในชาติที่ท่านได้รู้ความจริง

อ.วิชัย ครับ ก็กล่าวถึง แต่ละท่าน ที่บำเพ็ญบารมีมา ซึ่งก็มีคุณต่างกัน ตั้งแต่พระโพธิสัตว์ที่เป็นสุเมธดาบส ที่ตั้งความปรารถนา เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และ ถ้ากล่าวถึงอัครสาวก คือ ท่านพระสารีบุตร กับ ท่านพระมหาโมคคัลลานะในอดีต ก็ย้อนกลับไป หนึ่งอสงไขยแสนกัป ในกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี แต่ถ้าเป็นมหาสาวก ซึ่งเป็น อสีติมหาสาวก ซึ่งบำเพ็ญบารมีมาแสนกัป ก็ตั้งความปรารถนา ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตร บำเพ็ญบารมีมามากมาย กว่าที่จะค่อยๆ สะสมปัญญา แล้วก็ ค่อยๆ ที่จะรู้ความจริง ในแต่ละชาติ

ท่านอาจารย์ และ ชาตินี้ ท่านกำลังอยู่ในสมัยของพระสมณโคดม จะต้องบำเพ็ญความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่สำคัญเลย สำคัญว่า กำลังฟังขณะนี้ เข้าใจไหม? ถ้าเข้าใจ ก็คือ จุดเริ่มต้น ของการที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น!!! แต่ "ต้องตรง" ฟังแล้ว พิจารณา ไตร่ตรอง และ "สิ่งนี้" ก็กำลังมี ปรากฏให้เข้าใจถูกต้อง "เห็น" ขณะนี้ ไม่ใช่ "เห็น" ขณะก่อน ถ้าไม่ได้ฟังบ่อยๆ ก็ลืม!!! "ได้ยิน" เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่ "ได้ยิน" เมื่อกี้นี้เลย ก็ "ฟังบ่อย" การฟังบ่อยๆ จนกว่าจะคุ้นเคยกับธรรมะ ว่า นี่คือสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สะสมการละคลายความไม่รู้และความติดข้อง รวมทั้ง ความต้องการที่จะรู้ จะถึง

ยุคนี้ สมัยนี้ คนคิดว่า จะสละ ละ ดับกิเลส ที่สะสมมานาน ได้เร็ว เพียงไม่ทำอะไรเลย นอกจาก นั่งนิดหน่อย เดินไปบ้าง ทำอะไรบ้าง แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เป็นสิ่งซึ่ง เป็นไปไม่ได้!! แล้วเป็นการหันหลังให้พระสัทธรรม ไม่รู้ว่า หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ หนทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เริ่มตั้งแต่ ปริยัติ คือ การเป็นผู้รอบรู้ในการฟังพระพุทธพจน์

พระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ไม่ใช่มีไว้เพียงสำหรับให้อ่าน แล้วก็ไม่รู้เรื่อง แต่ต้องมีความเข้าใจ "แต่ละคำ" เช่นคำว่า "ธรรมะ" เป็นสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคฯ จะตรัสรู้อะไร?

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ "เห็น" เดี๋ยวนี้!! ว่าเกิดขึ้น แล้วดับไป และประจักษ์ความจริงยิ่งกว่าใครทั้งหมด คือ สามารถที่จะรู้ได้ว่า "จิตเห็น" ขณะนี้ ประกอบด้วยสภาพธรรมะที่อาศัยกันเกิดขึ้น ซึ่งเป็นนามธรรม แต่ไม่ใช่จิต สภาพธรรมะซึ่งเกิดกับจิต อาศัยจิตเกิดขึ้น และจิตก็อาศัยสภาพธรรมะนั้นเกิดขึ้น คือ เจตสิก

เพราะฉะนั้น จิตเห็นขณะนี้ เป็นธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการเห็น เกิดพร้อมกับเจตสิกเท่าไหร่ โดยปัจจัยอะไร โดยฐานะอะไร นี่คือการที่ได้ทรงแสดงความจริงให้ผู้ที่ได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ว่า "ไม่มีเรา" แล้วก็ คลายการยึดถือสภาพธรรมะ ว่า "เป็นเรา" จนกว่าจะรู้ขึ้น ค่อยๆ คลายความไม่รู้ไป จนสภาพธรรมะ ประจักษ์ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญา ที่ได้อบรมแล้ว เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะถึงขณะที่กำลังรู้ความจริงของสภาพธรรมะในขณะนั้นได้

พลตรี ดร.วีระ ครับ กราบเท้า ตอนนี้ก็รู้เลยว่า ไม่ต้องไปห่วงหรอกว่า จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ฟังต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อกี้นี้ ผมจะเห็นได้ทันที ว่าความรู้ของผม การที่จะฟังคำแต่ละคำ หรือฟังเสียงแต่ละเสียง พอดีมีเสียงอื่นแทรกขึ้นมา ความคิดของเรา ก็ไปกับเสียงอื่นแล้ว ตอนนี้ก็ไปคิดว่า ฝนตกแล้ว เดี๋ยวเราจะกลับอย่างไร แล้วก็ลืมคำที่ท่านอาจารย์พูด แต่ก็พยายามทวนกลับมา แต่เสียงนั้นก็ไปแล้ว เสียงท่านอาจารย์ไปแล้ว!! เสียงฝนมาใหม่อีกแล้ว!! อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น นั่นคือความคุ้นเคย ใช่ไหม? คุ้นเคยกับความเห็นผิดหรือ?

ท่านอาจารย์ (คุ้นเคย) กับความจำ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตสัญญา แต่ความจริง ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมะแสดงอยู่ตลอดเวลา ว่า ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในห้องนี้ ได้ยินเสียงฝน จำได้ด้วย ว่าเป็นเสียงฝน ใช่ไหม? ขณะนั้น เห็นความเป็นอนัตตาไหม? ว่าไม่ได้ตั้งใจจะได้ยินเสียงฝนเลย อยู่ในห้องนี้ก็มีเสียงฝนเกิดขึ้น แล้วก็กำลังได้ยินเสียงฝน แล้วก็ยังคิดต่อไปอีกมากมาย ซึ่งแสดงความคิดว่า แต่ละคน เดี๋ยวนี้ คิดต่างกันหมด ไม่เหมือนกันเลย!!!

คุณวีระ คิดถึงเสียงฝน คุณคำปั่น คิดถึงอะไร? คุณธีรพันธ์ คิดถึงอะไร? ทุกคนในห้อง คิดถึงต่างๆ กันไป ตามการสะสม แสดงความเป็นอนัตตาว่า บังคับไม่ได้!!! ไม่ให้ได้ยินเสียงฝนก็ไม่ได้!!! ได้ยินแล้ว ที่จะไม่ให้คิดว่า จะกลับบ้านอย่างไร ก็ไม่ได้!! ทั้งหมด เป็นอนัตตาทุกขณะ แต่ไม่เคยสนใจ!! ไม่เคยเข้าใจ!! ไม่เคยรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว หามีเรา หรือ สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่!!! มีแต่ธรรมะ ทั้งหมด!!! ตามที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดงว่า ธรรมะทั้งหลาย ทั้งปวง ไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา!! เป็นธรรมะ แล้วก็ เป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วก็ ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย

พลตรี ดร.วีระ ท่านอาจารย์ เหมือนกับว่า เป็นการสั่ง ผมใช้คำพูดผิดมากเลย แต่อย่างไรก็ตาม พูดออกมา เพื่อที่จะแสดงความไม่เข้าใจอันนี้ คือ ความคุ้นเคยอันนั้นก็คือว่า คุ้นเคย เพื่อจะให้รู้สภาพนั้น เป็นธรรมะ และ ปรากฏให้รู้ คุ้นเคยที่จะรู้ลักษณะปรากฏของสภาพธรรมะนั้น ทุกอย่าง

ท่านอาจารย์ ยังไม่คุ้นเคย คุ้นเคยกับความเป็น เสียงฝน คุ้นเคยกับ เราจะกลับบ้านอย่างไร? คุ้นกับห้อง คุ้นเคยกับเรื่องทั้งหมดเลย ยังไม่คุ้นเคยกับ "ลักษณะที่เป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง" ซึ่งเกิดแล้วก็หมดไป รวดเร็วมาก ยังไม่คุ้นเลย

พลตรี ดร.วีระ ยังไม่คุ้นเลย???

ท่านอาจารย์ ฟังธรรมะ เพื่อ เมื่อไหร่จะคุ้นเคย ถ้าคุ้นเคยแล้ว ขณะนี้ เป็นธรรมะ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เป็นสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏ แต่ยังไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้ เพราะเหตุว่า ยังไม่ได้อบรมการคุ้นเคยกับความไม่ใช่เรา จนกระทั่ง คลายความยึดมั่น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ทั้งหมด เป็นธรรมะ จนกว่า ปัญญาอบรมเจริญขึ้น ตามลำดับขั้น

พลตรี ดร.วีระ อย่างนั้น ก็มีธรรมะเกิดขึ้นอีกแล้วว่า ไม่ต้องหนักใจแล้ว สี่อสงไขยแสนกัป ก็ยังสั้นมาก...

ท่านอาจารย์ นี่คือ "คิด" ไม่ใช่ "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" แต่....คิด....

พลตรี ดร.วีระ ครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความคิดก็หลากหลาย การคุ้นเคยกับธรรมะ ต้องมีหลายระดับ ระดับปริยัติ คุ้นเคยกับเรื่อง ชื่อต่างๆ ซึ่งกล่าวถึงธรรมะทั้งหมด ให้รู้ว่า ไม่ใช่เป็นชื่อ แต่เป็นสิ่งที่มีจริง นี่คือ คุ้นเคยกับการที่จะเข้าใจธรรมะ ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อเลยก็มี ไม่ต้องพูดว่า "เห็น" ไม่ต้องพูดว่า "คิด" ไม่ต้องพูดว่า "จำ" เป็นธรรมะทั้งหมด แต่ไม่คุ้น คุ้นเคยกับชื่อ กับเรื่อง ทั้งหมด

เพราะฉะนั้น กว่าจะคุ้นเคย ในขั้นการฟังปริยัติ ก็จะต้องรู้ว่า "ฟัง" จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจได้ ว่ากำลังฟังเรื่องธรรมะ หรือ ไม่ได้ฟังเรื่องธรรมะ ถ้าพูดเรื่องอื่น ก็รู้ว่า คนนั้นไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง ให้เข้าใจถูกต้อง

กว่าจะมีความรู้ว่า อะไรเป็นธรรมะ อะไรไม่ใช่ธรรมะ ฟังเรื่องอะไร สิ่งที่ฟัง นำไปสู่การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า? นี่คือ กว่าจะคุ้นเคย จนกระทั่งรู้ว่า อะไรเป็นธรรมะ เรื่องไหนเป็นธรรมะ และ สามารถที่จะเข้าใจธรรมะขึ้นได้ไหม ถ้าคุ้นเคยอย่างนี้ขึ้น เป็นปริยัติ รอบรู้อย่างมั่นคง ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ ก็สามารถที่จะถึงระดับขั้นของ "ปฏิปัตติ" การ "ถึงเฉพาะ" ด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งได้เข้าใจอย่างมั่นคงแล้ว จาก "ปริยัติ" จึงสามารถที่จะกำลังเข้าใจ "เห็น" เดี๋ยวนี้!!! แล้วรู้ด้วยว่า ขณะที่กำลังเข้าใจเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา!!! เพราะว่า เป็นผู้ที่มั่นคงในปริยัติแล้ว ว่าไม่มีเรา!! ทุกอย่าง เป็นธรรมะ!!!

ถ้าทุกอย่างไม่เป็นธรรมะ ยังไม่คุ้นเคยกับการที่จะรู้ว่า แต่ละหนึ่งเป็นธรรมะ จะไม่มีการที่สามารถจะรู้ว่า ที่กำลังเข้าใจถูก ในแต่ละหนึ่งของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ขณะนั้น ไม่ใช่เราเลย เกิดขึ้น โดยความเป็นอนัตตาด้วย

นี่คือ หนทางที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง ซึ่งลึกซึ้ง เพราะพระผู้มีพระภาคฯ ตรัสว่า อริยสัจ ๔ ทั้ง ๔ ลึกซึ้ง ไม่ใช่เฉพาะ นิโรธอริยสัจจะ ซึ่งหมายความถึงนิพพาน ที่ลึกซึ้ง แต่ทั้ง ๔ อริยสัจจะ ลึกซึ้ง "หนทาง" ที่จะทำให้รู้ความจริง เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ ก็ลึกซึ้งด้วย!!!

ถ้าไม่ฟังอย่างนี้ จะไม่เข้าใจในความลึกซึ้งเลย คิดว่าไปนั่งทำอะไร ก็จะสามารถรู้ได้ แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย

อ.คำปั่น ธรรมะเป็นเรื่องยากจริงๆ เข้าใจยาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียด ลึกซึ้ง ซึ่งก็มีข้อความในอรรถกถาที่อุปมาให้เห็นชัด ว่าจะยากเพียงใด เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาด ถูกบังด้วยภูเขา แสดงถึงความยากที่จะเห็นถึงความเป็นจริงของธรรมะ ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานจริงๆ ในการที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจ จากการที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง ความจริงไป ทีละเล็ก ทีละน้อย

และที่สำคัญ การที่จะเข้าใจความจริง ก็เฉพาะผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น ผู้ที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น ที่จะเข้าใจความจริงได้ ขณะนี้ ก็เป็นการเริ่ม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจ จากการที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง พระธรรม คำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า ยุคนี้ สมัยนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ยังดำรงอยู่ ก็เป็นโอกาสที่ดี ที่ผู้มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของพระธรรม จะได้ฟัง ได้ศึกษา สะสมความเข้าใจไป

มีประเด็นที่จะสนทนาต่อเนื่อง เพราะเหตุว่า วันนี้ก็เริ่มต้นกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ความดี ก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ความไม่ดี สิ่งที่ไม่ดี ก็มีจริงๆ ท่านอาจารย์ก็ได้ยกตัวอย่างในเรื่องของความไม่รู้ ความไม่รู้ ไม่ใช่สภาพธรรมะที่ดีงาม แล้วก็ไม่ใช่เพียงสภาพธรรมะที่ไม่รู้เท่านั้น ที่เป็นสภาพธรรมะที่ไม่ดี ยังมีสภาพธรรมะอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งความติดข้อง ทั้งความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ เป็นต้น ก็คือ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมด

มีอยู่ประโยคหนึ่ง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรม จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ท่านอาจารย์ครับ ดูเหมือนว่าจะชินกับความเป็นไปของธรรมะที่ไม่ดีเหล่านี้ ทั้งความติดข้อง ความไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้ความจริงว่า คือสภาพธรรมะที่ไม่ดี ยังมีความติดข้อง ยังมีความโกรธ เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจอยู่ ดูเหมือนว่า ยังไม่เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมะ ที่เป็นสภาพธรรมะที่ไม่ดี กราบเรียนท่านอาจารย์ ในส่วนนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ทะเลสวยไหม?

อ.คำปั่น สวยครับ

ท่านอาจารย์ ดีไหม?

อ.คำปั่น ขณะนั้นติดข้อง ก็ไม่ดีครับ

ท่านอาจารย์ อาหารอร่อยมาก เมื่อกี้นี้ ดีไหม? ชีวิตประจำวันแท้ๆ แล้วใครรู้? แสวงหา เพราะติดข้อง แต่ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ติดข้องเลย ลองคิด... ไตร่ตรองจริงๆ ....ดีกว่าไหม? แค่คิด!!! และ ถ้าเป็นจริง จะเป็นอย่างไร? และ กว่าสัตว์โลกจะเข้าใจได้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว ทุกข์ทั้งหมด มาจากความติดข้อง ไม่ว่าทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ตอนที่ติดข้อง ไม่รู้ว่าไม่ดี แต่เวลาที่เป็นทุกข์ ทุกข์ต่างหาก ที่ไม่ดี เข้าใจว่าความทุกข์ไม่ดี แต่หารู้ไม่ว่า ความติดข้องไม่ดี จึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

แค่นี้ ก็ต้องฟังมากๆ จนกระทั่งเข้าใจ ถึงเข้าใจแล้ว ผู้ที่จะดับความติดข้องได้หมดสิ้น คือ พระอรหันต์ ไกลกันแค่ไหน? กับ ความไม่รู้!!! แต่ จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่ใช่โดยความเป็นเราพยายามอย่างยิ่ง อย่างทุกข์ทรมานเหลือเกิน จะไปไม่ไให้ความติดข้องเกิดขึ้น เสียเวลา!!! เพราะเหตุว่า อย่างไร อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่รู้ ก็ไม่สามารถที่จะไม่ติดข้องได้ แค่ "เห็น" ก็ไม่รู้แล้วว่าติดแล้ว!!! ใครรู้? ถ้าไม่ได้ทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น ทั้งวัน ติดข้องแค่ไหน? แต่ขณะที่ฟังธรรมะ เริ่มเข้าใจนั่นแหละ เริ่มเข้าใจถูกต้อง!!!

อ.คำปั่น ครับ ก็ต้องฟังอีกมาก ไม่ขาดการฟังจริงๆ แม้แต่ข้อความที่ได้สนทนากับท่านอาจารย์เมื่อสักครู่ ที่ได้ฟังว่า ความติดข้อง ความพอใจ นำมาซึ่งทุกข์ ก็ต้องสนทนาต่อใช่ไหมครับว่า นำมาซึ่งทุกข์อย่างไร? ดูเหมือนว่า ขณะที่ติดข้อง พอใจ ก็ชอบ ความรู้สึก ก็รู้สึกสบายใจด้วย ในขณะนั้น ที่เป็นโสมนัสครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อกี้นี้ ฟังแล้ว ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมะ ลืมแล้ว!!! เห็นไหมว่า ความติดข้อง ก็เป็นธรรมะ สุขก็เป็นธรรมะ ทุกข์ก็เป็นธรรมะ ทุกอย่าง ก็เป็นธรรมะ ฟังแล้ว เมื่อไหร่ที่จะสะสมอยู่ในใจ จรดเยื่อในกระดูก!!! ที่มั่นคงจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ!!! ก่อนที่จะไปรู้ลักษณะของธรรมะซึ่งไม่ใช่ตัวตน กว่าความเป็นธรรมะจะเปิดเผยลักษณะที่แท้จริง คือ ขณะนั้น เกิดขึ้นเป็นสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่หลายๆ อย่าง รวมกัน เพราะขณะนี้ รวมกันหมดเลย ทั้ง "เห็น" ทั้ง "ได้ยิน" แล้วจะไป "รอบรู้" หรือ "รู้ชัด" ในอะไรได้สักอย่าง

ต่อเมื่อไหร่ สามารถที่จะถึงการที่จะเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมะ "เพียงหนึ่ง" โดยความเป็นอนัตตา เพราะละคลายความติดข้อง เพราะค่อยๆ เข้าใจความจริง โดยไม่ลืม ในความเป็นธรรมะ ว่าสิ่งที่มีจริง สวย น่าพอใจ ก็เป็นธรรมะ ติดข้อง ก็เป็นธรรมะ ฟังแล้ว ยังไม่ได้เป็นธรรมะ จนกว่าจะเข้าใจขึ้นตามลำดับ ทีละเล็ก ทีละน้อย

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่า เพียงได้ฟังแล้ว ก็จะสามารถละกิเลสได้ ปัญญาขั้นฟัง ไม่พอที่จะละกิเลสใดๆ ได้เลย เป็นความเห็นถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่การรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะเมื่อไหร่ การละคลายกิเลสก็จะค่อยๆ เริ่มขึ้น!!!

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ละคลายในขั้นฟัง ซึ่งไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง มาก่อน เพราะว่า เดี๋ยวนี้ "เห็น" เป็นธรรมะ ทะเลสวย เป็นธรรมะหรือเปล่า? เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อเห็น สิ่งที่ปรากฏก็มีจริง เป็นธรรมะ "เห็น" ก็มีจริง เป็นธรรมะ "ติดข้อง" ก็มีจริง เป็นธรรมะ ทั้งหมดเป็นธรรมะเมื่อไหร่ เมื่อนั้น คุ้นเคยกับธรรมะ ในขั้นฟัง เพียงในขั้นฟัง!!!

จนกว่าจะอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็น "ปฏิปัตติ" ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมะ ตรงตามที่ได้ฟัง

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ฟัง มีความเข้าใจมาก่อน จะมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ ตรงตามที่ได้เข้าใจ อย่างไรได้!!!

เช่น "แข็ง" ขณะนี้ ถามใครก็แข็ง เด็กก็ตอบได้ว่าแข็ง แต่ความเข้าใจอยู่ที่ไหน? เป็นธรรมะตรงไหน? เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตาอย่างไร? ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยอย่างไร? ก็ไม่มีความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น

แต่การฟังที่เข้าใจธรรมะ ก็รู้ว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีปรกติ ธรรมดา เหมือนเดิม แต่เดิมไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เดิมไม่เข้าใจ จนกระทั่ง กว่าจะคุ้นเคย ในความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมะก่อน นั่นคือ ความรอบรู้ในปริยัติ ซึ่งเป็นสัจจญาณ ซึ่งจะนำไปสู่ กิจจญาณ หรือ ปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยใช้คำว่า ปฏิบัติ!!!

แต่ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จะไม่สามารถมีปัญญา ซึ่งสามารถที่จะเจริญขึ้น จนถึงการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะ ตรงตามที่ได้ฟัง และรู้ว่า เป็นจริงตามที่ได้ฟัง ทุกคำ!!!

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๑๕๓
๓. ปฐมวัฑฒิสูตร ว่าด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญ ๕ ประการ
[๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้เจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญ ๕ ประการ ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญอย่างประเสริฐ ชื่อว่าเป็นผู้ยึดถือสาระ และยึดถือสิ่งประเสริฐแห่งกาย ธรรมเป็นเหตุเจริญ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ย่อมเจริญด้วยศีล ย่อมเจริญด้วยสุตะ ย่อมเจริญด้วยจาคะ ย่อมเจริญด้วยปัญญา

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้เจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญ ๕ ประการนี้แล ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญอย่างประเสริฐ ชื่อว่าเป็นผู้ยึดถือสาระ และยึดถือสิ่งประเสริฐแห่งกาย. อริยสาวกผู้ใด ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ทั้งสองฝ่าย อริยสาวกผู้เช่นนั้น เป็นสัปบุรุษ มีปรีชา เห็นประจักษ์ ชื่อว่าย่อมยึดถือสาระแห่งตนในโลกนี้ไว้ได้ทีเดียว.
จบปฐมวัฑฒิสูตรที่ ๓

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง คุณพาณี รังสีกาญจน์ส่อง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 15 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา
ของคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง คุณพาณี รังสีกาญจน์ส่อง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 2    โดย jirat wen  วันที่ 15 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 15 ก.ย. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย napachant  วันที่ 15 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง และพี่น้อยภาณี รังสีกาญจน์ส่อง

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ...

"มรดกที่สำคัญที่สุด...คือความเข้าใจตามความเป็นจริง ใครที่เข้าใจในขณะนี้ กำลังได้รับมรดกของ...พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่เข้าใจเริ่มเห็น...พระพุทธเจ้าเมื่อนั้น"

🌸สนทนาธรรมที่โรงแรมสายลม หัวหิน🌸


ความคิดเห็น 5    โดย tanrat  วันที่ 16 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย peem  วันที่ 16 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย ปวีร์  วันที่ 16 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย j.jim  วันที่ 18 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย orawan.c  วันที่ 18 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย ch.  วันที่ 20 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 11    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 20 ก.ย. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


ความคิดเห็น 12    โดย เมตตา  วันที่ 20 ก.ย. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา
ของคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง คุณพาณี รังสีกาญจน์ส่อง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย Wisaka  วันที่ 20 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 14    โดย wirat.k  วันที่ 21 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 15    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 22 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย tusaneenui  วันที่ 25 ก.ย. 2558
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 17    โดย chvj  วันที่ 29 ก.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 18    โดย Guest  วันที่ 12 ต.ค. 2558

น้อมกราบ ขออนุโมทนาต่อพระสัทธรรมด้วยความเคารพยิ่งครับ