ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๓๒ บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถ้าพูดถึง "อนุสัยกิเลส" แล้ว ต่างกันมากแม้สภาพลักษณะของจิตที่เกิดจะเป็น "โลภทิฏฐิคตวิปยุต" เหมือนกัน (โลภทิฏฐิคตวิปยุต คือโลภมูลจิตที่ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด)
เชื้อของความพอใจมีมากมาย พร้อมที่จะไหลไปสู่สิ่งที่ปรากฏ ทางตา.... ใจ
อย่างเช่น ได้ยินเสียงนิดเดียว ยังไม่รู้เลยว่าเสียงอะไร!ถ้าเป็นเสียงที่น่าฟัง ความยินดีพอใจก็มีในเสียงนั้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เหมือนกันซึ่งก็เป็นโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปยุต ที่อาจเกิดร่วมกับโสมนัสก็ได้เป็น อสังขาริกก็ได้ ในขณะที่มีความยินดีความพอใจเกิดขึ้นแต่เมื่อไม่ได้เกิดร่วมกับความเห็นผิดขณะนั้นก็เป็น "โลภทิฏฐิคตวิปยุต" สิ่งที่ทำให้เห็นชัดก็คือ เทียบเคียงกับพระอริยเจ้า อย่างพระโสดาบันบุคคล ท่านมีโลภมูลจิต แต่ไม่มีทิฏฐิคตสัมปยุต ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เกิดขึ้นด้วย
แต่ก็ยังเป็นสภาพของความพอใจ ความต้องการความยินดีในสิ่งที่ปรากฏทางตา......ใจ
พระโสดาบันไม่รู้หรือคะ ว่าเป็นเก้าอี้ พระโสดาบันรู้ แต่ว่าที่ท่านไม่มีสักกายทิฏฐิ ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลยนับตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นนั้น ก็เป็นเพราะเหตุว่าท่านอบรมเจริญปัญญาจน "รู้ชัด" ในลักษณะของนาม ของรูป
พระโสดาบัน ท่านทราบว่าการที่ท่านรู้ความหมายของสิ่งนั้นๆ ก็เป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ไม่มีความเคลือบแคลงใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็จะไม่มีโลภทิฏฐิคตสัมปยุตเลย การเห็นของท่าน ก็เหมือนการเห็นของบุคคลอื่น ต่างกันตรงที่ "อนุสัยกิเลสทิฏฐานุสัย" ไม่มี "วิจิกิจฉานุสัย" ไม่มี เพราะว่า ท่านเจริญสติแล้ว ท่านก็ "รู้ชัด" ท่านรู้ความหมายของสิ่งที่เห็น เป็นปกติ
แต่ท่านละ "ทิฏฐิ" (ความเห็นผิด) ทั้งหมดได้แล้ว ทิฏฐิที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นอีกเลยตั้งแต่ที่ท่านบรรลุเป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน) แต่ท่านยังมีความยินดีความพอใจ เกิดขึ้นได้ยังมีความพอใจในสีสันวัณณะ ของสิ่งต่างๆ แต่ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ว่านามทางตาเป็นอย่างไร ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ว่ารูปที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร การที่ท่านรู้ความหมายหรือการที่ท่านชอบหรือไม่ชอบนั้นก็เป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์
พึงสมาคมกับสัตบุรุษพึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษผู้นั้น รู้ทั่วถึงสัทธรรมของสัตบุรุษแล้วย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
พระโอวาทานุสาสนี
สาธุ
ผมเห็นดอกไม้สองดอกสวยดีชอบ แต่ก็รู้ว่าที่เห็นนั้นสีและเห็นเป็นดอกไม้นั้นเป็นบัญญัติ คุณปริศนาว่าขณะนั้นจิตเป็นจิตอะไร ครับ คนอื่นก็ตอบได้นะครับ
ตอบแล้ว จะเชื่อได้หรือคะ? ในเมื่อจิตของใคร คนนั้นเท่านั้นที่รู้ จะมีใครรู้วาระจิตของใครได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ปัญญาขั้นการศึกษา ยังไม่ใช่ปัญญาขั้นสติปัฏฐาน จึงมีคำพูดที่ว่า"อยู่คนเดียว กับ ความคิด"แต่ที่แน่ๆ ปกติของปุถุชนย่อมเป็นผู้มีปกติ หลงลืมสติค่ะ
การเห็นของท่าน ก็เหมือนการเห็นของบุคคลอื่นต่างกันตรงที่"อนุสัยกิเลสทิฏฐานุสัย" ไม่มี"วิจิกิจฉานุสัย" ไม่มี
ท่านพระโสดาบันท่านก็เห็นเป็นดอกไม้เหมือนปุถุชนอย่างพวกเราเห็น แต่การที่ท่านรู้ว่าเป็นดอกไม้ ท่านก็รู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ท่านไม่มีความความเห็นผิดและไม่มีความสงสัยในสภาพธรรมที่ปรากฎว่าเป็นแต่เพียงนามธรรม และ รูปธรรมเท่านั้น
เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 3 ค่ะ ที่กล่าวว่า ตอบแล้ว จะเชื่อได้หรือคะ ในเมื่อจิตของใคร คนนั้นเท่านั้นที่รู้จะมีใครรู้วาระจิตของใครได้ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขออนุโมทนาค่ะ
การอนุมาน จะเป็นเหตุเป็นผลเท่าไรก็ตาม ก็ไม่ถึงประโยชน์เทียบเท่ากับขณะที่สติเกิดระลึกไปในสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ถ้าคิดเป็นเรื่องเป็นราว
ถ้วยสีขาวใส่เมล็ดกาแฟธรรมดาๆ ก็เอามาวาดเส้นเพิ่มเข้าไป
กลายเป็นภาพของคนอารมณ์ดีไปได้เหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับความคิดนึก สะสมมาให้เป็นคนช่างคิด
ความคิดของใครก็ของคนนั้น
ฉะนั้น จิตของใคร ก็คนนั้นเท่านั้นที่รู้เช่นกัน
เป็นผู้ตรงต่อตัวเอง คงง่ายกว่าและเป็นประโยชน์กว่า
.....ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ.....
การฟังธรรม การศีกษาปริยัติ การระลีกและศีกษา เพื่อเข้าใจ ก็ต้องอาศัยความคิด อยู่ที่ต้องรู้ว่าขณะที่คิดเป็นกุศลหรืออกุสล ความคิดจีงมีสองอย่างคือคิดถูกหรือคิดผิด ถ้าคิดถูกคงไม่ว่ากันไช่ไหม ครับ ถ้วยกาแฟคิดเป็นธรรมะก็ได้นะครับ สิ่งปรากฎทางตา
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ