[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 577
๙. กาฬพาหุชาดก
ว่าด้วยลิงหลอกเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 577
๙. กาฬพาหุชาดก
ว่าด้วยลิงหลอกเจ้า
[๖๑๔] ในกาลก่อน เราได้ข้าวและน้ำอันใดจากสํานักพระราชา มาบัดนี้ ข้าวและน้ำนั้นมาขึ้นอยู่กับสาขมฤคหมด ข้าแต่พี่ราธะบัดนี้ เราเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยไม่สักการะแล้ว พากันกลับไปป่าตามเดิมเถิด.
[๖๑๕] ดูก่อนน้องโปฏฐปาทะ ธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ คือ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศความเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขและทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เจ้าอย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลย จะเศร้าโศกเสียใจไปทําไม.
[๖๑๖] ข้าแต่พี่ราธะ คุณพี่เป็นบัณฑิตแท้ ย่อมรู้ถึงผลประโยชน์ทั้งหลายที่ยังไม่มาถึง ทําอย่างไรหนอ เราจะได้เห็นสาขมฤคผู้ลามกถูกเขาขับไล่ออกจากราชสกุล.
[๖๑๗] ลิงกาฬพาหุ กระดิกหูและกลอกหน้ากลอกตาทําให้พระราชกุมารทรงหวาดเสียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 578
พระทัยอยู่เสมอๆ มันจะทําตัวของมันเองให้จําต้องห่างไกลจากข้าวและน้ำ.
จบ กาฬพาหุชาดกที่ ๙
อรรถกถากาฬพาหุชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภพระเทวทัตผู้เสื่อมลาภสักการะ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคําเริ่มต้นว่า ยํ อนฺนปานสฺส ดังนี้.
แท้จริง เมื่อพระเทวทัตผูกความโกรธอันไม่บังควรในพระตถาคต แล้วประกอบนายขมังธนู โทษผิดของพระเทวทัตนั้น ได้ปรากฏเพราะปล่อยช้างนาฬาคิรี. ลําดับนั้น คนทั้งหลายจึงพากันเลิกธุวภัตเป็นต้นที่เริ่มตั้งไว้แก่เธอเสีย. แม้พระราชาก็ไม่ทรงเหลียวแลพระเทวทัตนั้น. พระเทวทัตนั้นเสื่อมลาภสักการะจึงเที่ยวขอในสกุลทั้งหลายบริโภคอยู่. ภิกษุทั้งหลายจึงนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่าอาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตคิดว่า จักยังลาภสักการะให้เกิดขึ้นแม้แต่ลาภสักการะที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจทําให้มั่นคง. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากัน.ด้วย เรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่ามิใช่บัดนี้เท่านั้นน่ะภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน เทวทัตนี้ก็ได้เป็นผู้เสื่อมลาภสักการะ แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 579
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าธนัญชัยครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นวานรเผือกชื่อราธะ มีบริวารมาก มีร่างกายบริบูรณ์ ส่วนวานรน้องชายของพระโพธิสัตว์นั้น ชื่อโปฏฐปาทะ. พรานผู้หนึ่งจับวานรพี่น้องทั้งสองนั้นได้ จึงนําไปถวายพระเจ้าพาราณสี. พระราชาโปรดให้ใส่วานรทั้งสองนั้นไว้ในกรงทอง ให้บริโภคข้าวตอกคลุกน้ำผึ้ง ให้ดื่มน้ำเจือด้วยน้ำตาลกรวดปรนนิบัติเลี้ยงดูอยู่ สักการะได้มีอย่างมากมาย. วานรทั้งสองนั้นได้เป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ. ต่อมา พรานป่าคนหนึ่ง ได้นําเอาวานรดําใหญ่ตัวหนึ่ง ชื่อกาฬพาหุมาถวายพระราชา วานรกาฬพาหุนั้นมาทีหลัง จึงได้มีลาภสักการะมากกว่า ลาภสักการะของวานรเผือกทั้งสองก็เสื่อมถอยไป. พระโพธิสัตว์มิได้พูดอะไรเลย เพราะประกอบด้วยลักษณะแห่งผู้คงที่ แต่วานรน้องชายเพราะไม่มีลักษณะแห่งผู้คงที่จึงทนดูสักการะของกาฬพาหุวานรไม่ได้ ได้พูดกะพี่ชายว่า ข้าแต่พี่เมื่อก่อน ในราชสกุลนี้ ย่อมให้ของกินมีรสดีเป็นต้นแก่พวกเรา แต่บัดนี้พวกเราไม่ได้ เขานําไปให้เจ้าลิงกาฬพาหุเท่านั้น พวกเราเมื่อไม่ได้ลาภสักการะจากสํานักของพระเจ้าธนัญชัย จักทําอะไรอยู่ณสถานที่นี้ มาเถิดพี่พวกเราไปอยู่ป่าเถิด เมื่อจะเจรจากับวานรพี่ชายนั้น จึงกล่าวคาถาที่๑ ว่า :-
เมื่อก่อน เราได้ข้าวและน้ำอันใดจากสํานักพระราชา มาบัดนี้ ข้าวและน้ำนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 580
มาขึ้นอยู่กับสาขมฤคหมด ข้าแต่พี่ราธะบัดนี้ เราเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยไม่สักการะแล้ว พากันกลับไปป่าตามเดิมเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ อนฺนปานสฺส ความว่า ข้าวและน้ำใด จากสํานักของพระราชานั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อนฺนปานสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถของทุยาวิภัตติ. บทว่า ธนฺ-ชยาย เป็นจตุตถีวิภัตติ ลงในอรรถของตติยาวิภัตติ. อธิบายว่าพวกเราเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยไม่สักการะเอื้อเฟื้อแล้ว และไม่ได้ข้าวและน้ำ คือเป็นผู้อันพระเจ้าธนัญชัยนี้แล ไม่ทรงเอื้อเฟื้อแล้ว.
วานรราธะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนน้องโปฏฐปาทะ ธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ คือลาภ ความเสื่อมลาภ ยศความเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขแลทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เจ้าอย่าเศร้าโศกเลยจะเศร้าโศกไปทําไม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโส ได้แก่ อิสริยยศ และปริ-วารยศ. บทว่า อยโส ได้แก่ ความไม่มีอิสริยยศและปริวารยศนั้น.บทว่า เอเต ความว่า โลกธรรม ๘ ประการเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 581
ในหมู่มนุษย์ แม้เป็นผู้ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ สมัยต่อมาย่อมเป็นผู้มีลาภน้อย สักการะน้อย ชื่อว่าผู้จะมีลาภเป็นนิจเสมอไปย่อมไม่มี. แม้ในยศเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
วานรโปฏฐปาทะได้ฟังดังนั้น เมื่อไม่อาจทําความริษยาในลิงกาฬพาหุให้หายไปได้ จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ข้าแต่พี่ราธะ พี่เป็นบัณฑิตแท้ ย่อมรู้ถึงผลประโยชน์อันยังมาไม่ถึง ทําอย่างไรหนอเราจะได้เห็นเจ้าสาขมฤคผู้ลามก ถูกเขาขับไล่ออกจากราชสกุล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กถํ นุ โข ได้แก่ ดุ้วยอุบายอะไรหนอ บทว่า ทกฺขาม แปลว่า จักเห็น. บทว่า นิทฺธาปิตํได้แก่ ถูกฉุดออกไป คือถูกลากออกไป. บทว่า ชมฺมํ แปลว่า ผู้ลามก.
วานรราธะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่๔ ว่า :-
ลิงกาฬพาหุ กระดิกหูและกลอกหน้ากลอกตา ทําให้พระราชกุมารทรงหวาดเสียวพระทัยอยู่บ่อยๆ มันจักทําตัวของมันเองให้จําต้องห่างไกลจากข้าวและน้ำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 582
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภายเต กุมาเร ความว่า ย่อมทําพระราชกุมารให้หวาดเสียว. บทว่า เยนารกา สฺสติ ความว่าตัวมันเองจักทําเหตุให้จําต้องอยู่ห่างไกลจากข้าวและน้ำนี้. เจ้าอย่าคิดริษยาต่อมันเลย.
ฝ่ายลิงกาฬพาหุ พอล่วงไป ๒ - ๓ วันเท่านั้น ก็ทํากระดิกหูเป็นต้นต่อหน้าพระราชกุมารทั้งหลาย ทําให้พระราชกุมารทั้งหลายกลัว. พระราชกุมารทั้งหลายเหล่านั้นตระหนกตกพระทัยกลัว ต่างทรงส่งเสียงร้อง. พระราชาตรัสถามว่า นี่อะไรกัน? ได้ทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้วรับสั่งว่า จงไล่มันออกไป แล้วให้ไล่ลิงกาฬพาหุนั้นออกไป ลาภสักการะของวานรชาวทั้งสองก็ได้เป็นปกติตามเดิมอีก.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ลิงกาฬพาหุในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต วานรโปฏฐปาทะในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ส่วนวานรราธะในครั้งนั้นเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากาฬพาหุชาดกที่ ๙