[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 356
จตุตถภาณวาร
อรรถกถาภาเวตัพพนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 356
จตุตถภาณวาร - ภาเวตัพพนิเทส
[๖๗] ปัญญาเครื่องทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดธรรมทั้งได้สดับมาแล้วนั้นว่า ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ ชื่อว่าสุตมยญาณอย่างไร?
ธรรมอย่างหนึ่งควรเจริญ คือ กายคตาสติอันสหรคตด้วยความสำราญ. ธรรม ๒ ควรเจริญ คือ สมถะ ๑ วิปัสสนา ๑. ธรรม ๓ ควรเจริญ คือ สมาธิ ๓. ธรรม ๔ ควรเจริญ คือ สติปัฏฐาน ๔. ธรรม ๕ ควรเจริญ คือ สัมมาสมาธิมีองค์ ๕. ธรรม ๖ ควรเจริญ คือ อนุสสติ ๖. ธรรม ๗ ควรเจริญ คือ โพชฌงค์ ๗. ธรรม ๘ ควรเจริญ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘. ธรรม ๙ ควรเจริญ คือ องค์อันเป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ - ปาริสุทธิ ๙. ธรรม ๑๐ ควรเจริญ คือ กสิณ ๑๐.
[๖๘] ภาวนา ๒ คือโลกิยภาวนา ๑ โลกุตรภาวนา ๑. ภาวนา ๓ คือ การเจริญธรรมอันเป็นรูปาวจรกุศล ๑ การเจริญธรรมอันเป็นอรูปาวจรกุศล ๑ การเจริญกุศลธรรมอันไม่นับเนื่องในโลก คือโลกุตรกุศล ๑. การเจริญธรรมอันเป็นรูปาวจรกุศล เป็นส่วนเลวก็มี เป็นส่วนปานกลางก็มี เป็นส่วนประณีตก็มี, การเจริญธรรมอันเป็นอรูปาวจรกุศล เป็นส่วนเลวก็มี เป็นส่วนปานกลางก็มี เป็นส่วนประณีตก็มี, การเจริญกุศลธรรมอันไม่นับเนื่องในโลก เป็นส่วนประณีต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 357
อย่างเดียว. ภาวนา ๔ คือ เมื่อแทงตลอดทุกขสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑ เมื่อแทงตลอดสมุทยสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยปหานะ ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑ เมื่อแทงตลอดนิโรธสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยสัจฉิกิริยา ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑ เมื่อแทงตลอดมรรคสัจอันเป็นการแทงตลอดด้วยภาวนา ชื่อว่าเจริญอยู่ ๑ ภาวนา ๔ นี้.
[๖๙] ภาวนา ๔ อีกประการหนึ่ง คือ เอสนาภาวนา ๑ ปฏิลาภภาวนา ๑ เอกรสาภาวนา ๑ อาเสวนาภาวนา ๑.
เอสนาภาวนาเป็นไฉน? เมื่อพระโยคาวจรทั้งปวงเข้าสมาธิอยู่ ธรรมทั้งหลายที่เกิดในธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้นนั้น มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น ภาวนานี้ จึงชื่อว่าเอสนาภาวนา.
ปฏิลาภภาวนาเป็นไฉน? เมื่อพระโยคาวจรทั้งปวงเข้าสมาธิแล้ว ธรรมทั้งหลายที่เกิดในอัปปนานั้น ไม่เป็นไปล่วงกันและกัน เพราะฉะนั้น ภาวนานี้ จึงชื่อว่าปฏิลาภภาวนา.
[๗๐] เอกรสาภาวนาเป็นไฉน? เมื่อพระโยคาวจรเจริญสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่าน้อมใจเชื่อ อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจอย่างเดียวกันด้วยสามารถแห่งสัทธินทรีย์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อพระโยคาวจรเจริญวีริยินทรีย์ด้วยอรรถว่าประคองไว้... เมื่อเจริญสตินทรีย์ด้วยอรรถว่าตั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 358
มั่น... เมื่อเจริญสมาธินทรีย์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน... เมื่อเจริญปัญญินทรีย์ด้วยอรรถว่าเห็น อินทรีย์อีก ๔ อย่าง มีกิจอย่างเดียวกันด้วยสามารถปัญญินทรีย์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน.
เมื่อพระโยคาวจรเจริญสัทธาพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหว เพราะอสัทธิยะ พละอีก ๔ อย่าง มีกิจอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัทธาพละ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่าพละทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อพระโยคาวจรเจริญวีริยพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะโกสัชชะ... เมื่อพระโยคาวจรเจริญสติพละ. ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะปมาทะ... เมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิพละ ด้วย อรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะอุทธัจจะ... เมื่อพระโยคาวจรเจริญปัญญาพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวเพราะอวิชชา พละอีก ๔ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถปัญญาพละ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าพละทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน.
เมื่อพระโยคาวจรเจริญสติสัมโพชฌงค์ ด้วยอรรถว่าตั้งมั่น โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสติสัมโพชฌงค์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าโพชฌงค์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อพระโยคาวจรเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าเลือกเฟ้น... เมื่อเจริญวีริยสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าประคองไว้...
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 359
เมื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าซาบซ่านไป... เมื่อเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าสงบ... เมื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน... เมื่อเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์ด้วยอรรถว่าพิจารณาหาทาง โพชฌงค์อีก ๖ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าโพชฌงค์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน.
เมื่อพระโยคาวจรเจริญสัมมาทิฏฐิด้วยอรรถว่าเห็นชอบ องค์มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าองค์มรรคทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อพระโยคาวจรเจริญสัมมาสังกัปปะด้วยอรรถว่าตรึก... เมื่อเจริญสัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนดเอา... เมื่อเจริญสัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน... เมื่อเจริญสัมมาอาชีวะด้วยอรรถว่าผ่องแผ้ว... เมื่อเจริญสัมมาวายามะด้วยอรรถว่าประคองไว้... เมื่อเจริญสัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น... เมื่อเจริญสัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน องค์มรรคอีก ๗ อย่าง มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถสัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนาด้วยอรรถว่าองค์มรรคทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ภาวนานี้ ชื่อว่าเอกรสาภาวนา.
[๗๑] อาเสวนาภาวนาเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเสพเป็นอันมากซึ่งสมาธิที่ถึงความชำนาญ ตลอดเวลาเช้าก็ดี ตลอด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 360
เวลาเที่ยงก็ดี ตลอดเวลาเย็นก็ดี ตลอดเวลาก่อนภัตก็ดี ตลอดเวลาหลังภัตก็ดี ตลอดยามต้นก็ดี ตลอดยามหลังก็ดี ตลอดคืนก็ดี ตลอดวันก็ดี ตลอดคืนและวันก็ดี ตลอดกาฬปักษ์ก็ดี ตลอดชุณหปักษ์ก็ดี ตลอดฤดูฝนก็ดี ตลอดฤดูหนาวก็ดี ตลอดฤดูร้อนก็ดี ตลอดส่วนวัยต้นก็ดี ตลอดส่วนวัยกลางก็ดี ตลอดส่วนวัยหลังก็ดี ภาวนานี้ชื่อว่า อาเสวนาภาวนา ภาวนา ๔ ประการนี้.
[๗๒] ภาวนา ๔ อีกประการหนึ่ง คือ ภาวนาด้วยอรรถว่า ไม่ล่วงกันและกันแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้น ๑ ภาวนาด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ๑ ภาวนาด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรอันเข้าถึงธรรมนั้นๆ ๑ ภาวนาด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก ๑
[๗๓] ภาวนา ด้วยอรรถว่าไม่ล่วงกันและกันแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้น อย่างไร.
เมื่อพระโยคาวจรละกามฉันทะ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถเนกขัมมะย่อมไม่ล่วงกันและกัน เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าไม่ล่วงกันและกันแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้น เมื่อพระโยคาวจรละพยาบาท ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถความไม่พยาบาท ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละถีนมิทธะ ธรรมทั้งหลายที่เกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 361
ด้วยสามารถอาโลกสัญญา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอุทธัจจะ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถความไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละวิจิกิจฉา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถการกำหนดธรรม ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอวิชชา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถแห่งญาณ ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอวิชชา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละนิวรณ์ทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถปฐมฌาน ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละวิตกและวิจาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถทุติยฌาน ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละปีติ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถตติยฌาน ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละสุขและทุกข์ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถจตุตถฌาน ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอากาสานัญจายตนสมาบัติ ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอากาสานัญจายตนสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถวิญญาณัญจายตนสมาบัติย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละวิญญาณัญจายตนสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอากิญจัญญายตนสมาบัติ ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอากิญจัญญายตนสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละนิจสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอนิจจานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละสุขสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 362
ทุกขานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอัตตสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอนัตตานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละความเพลิดเพลิน ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถนิพพิทานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละราคะ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถวิราคานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละมนสัญญา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถขยานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละสมุทัย ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถนิโรธานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละความถือมั่น ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถปฏินิสสัคคานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอายูหนะ - การทำความเพียรเพื่อประโยชน์แก่สังขาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถวยานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละธุวสัญญา - ความสำคัญว่ายั่งยืน ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถวิปริณามานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละนิมิต ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอนิมิตตานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละปณิธิ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอัปปณิหิตานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอภินิเวส - ความยึดมั่นว่ามีตัวตน ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถสุญญตานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละสาราทานาภินิเวส - ความยึดมั่นด้วยการถือว่าเป็นแก่นสาร ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา - ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมด้วยปัญญาอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 363
ยิ่ง ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละสัมโมหาภินิเวส - ความยึดมั่นด้วยความหลงใหล ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถยถาภูตญาณทัสนะ ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอาลยาภินิเวส - ความยึดมั่นด้วยความอาลัย ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอาทีนวานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละอัปปฏิสังขา - ความไม่พิจารณา ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถปฏิสังขานุปัสนา ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละสัญโญคาภินิเวส - ความยึดมั่นด้วยกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ ธรรมทั้ง หลายที่เกิดด้วยสามารถวิวัฏฏนานุปัสนา - ความตามเห็นกามเป็นเครื่องควรหลีกไป ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละกิเลสที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถโสดาปัตติมรรค ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละกิเลสอย่างหยาบ ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถสกทาคามิมรรค ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละกิเลสอย่างละเอียด ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยความสามารถอนาคามิมรรค ย่อมไม่ล่วงกันและกัน... เมื่อละกิเลสทั้งปวง ธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยสามารถอรหัตตมรรค ย่อมไม่ล่วงกันและกัน เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิดด้วยความไม่ล่วงกันและกัน ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงกันและกัน อย่างนี้.
[๗๔] ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 364
เมื่อพระโยคาวจรละกามฉันทะ อินทรีย์ ๕ มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถเนกขัมมะ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อละพยาบาท อินทรีย์ ๕ มีกิจเป็นอย่างเดียวกัน ด้วยสามารถความไม่พยาบาท ฯลฯ เมื่อละกิเลสทั้งหมด อินทรีย์ ๕ มีกิจเป็นอย่างเดียวกันด้วยสามารถอรหัตตมรรค เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่าง เดียวกัน ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอย่างเดียวกัน อย่างนี้.
[๗๕] ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมนั้นๆ อย่างไร?
พระโยคาวจรเมื่อละกามฉันทะ ย่อมนำไปซึ่งความเพียรด้วยสามารถเนกขัมมะ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมนั้นๆ เมื่อละพยาบาท ย่อมนำไปซึ่งความเพียรด้วยสามารถความไม่พยาบาท ฯลฯ เมื่อละกิเลสทั้งปวง ย่อมนำไปซึ่งความเพียรด้วยสามารถอรหัตตมรรค เพราะฉะนั้น ชื่อว่า ภาวนา ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมนั้นๆ ชื่อว่า ภาวนา ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมนั้นๆ อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 365
[๗๖] ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก อย่างไร?
เมื่อพระโยคาวจรละกามฉันทะ ย่อมเสพเป็นอันมากซึ่งเนกขัมมะ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก เมื่อละพยาบาทย่อมเสพเป็นอันมากซึ่งความไม่พยาบาท ฯลฯ เมื่อละกิเลสทั้งปวง ย่อมเสพเป็นอันมากซึ่งอรหัตตมรรค เพราะฉะนั้น ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก ชื่อว่าภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก อย่างนี้ ภาวนา ๙ ประการนี้.
พระโยคาวจรพิจารณาเห็นรูป ชื่อว่าเจริญภาวนา พิจารณาเห็นเวทนา... พิจารณาเห็นสัญญา... พิจารณาเห็นสังขาร... พิจารณาเห็นวิญญาณ... พิจารณาเห็นจักษุ ฯลฯ พิจารณาเห็นชราและมรณะ... พิจารณาเห็นนิพพานอันหยั่งลงในอมตะ ด้วยอรรถว่าเป็นที่สุด ชื่อว่า เจริญภาวนา ธรรมใดๆ เป็นธรรมอันเจริญแล้ว ธรรมนั้นๆ ย่อมมีกิจเป็นอย่าเดียวกัน ชื่อว่าญาณ ด้วยอรรถว่ารู้ธรรมนั้นๆ ชื่อว่า ปัญญา ด้วยอรรถว่ารู้ชัด เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาความทรงจำธรรมที่ได้สดับมาแล้ว คือ เครื่องรู้ชัดซึ่งธรรมที่ได้สดับมาแล้วว่า ธรรมเหล่านี้ควรเจริญ ชื่อว่าสุตมยญาณ.
จบ จตุตถภาณวาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 366
อรรถกถาภาเวตัพพนิทเทส
๖๗] พึงทราบวินิจฉัยในภาเวตัพพนิทเทส ดังต่อไปนี้
บทว่า กายคตาสติ ได้แก่ สติสัมปยุตด้วยการมนสิการถึงอานาปานสติ อิริยาบถ ๔ อิริยาบถเล็กน้อย อาการ ๓๒ ธาตุ ๔ ป่าช้า ๙ และการกำหนดสิ่งเป็นปฏิกูล ท่านกล่าวไว้แล้วในสูตรอันว่าด้วยกายคตาสติและสัมปยุตด้วยรูปฌานตามสมควร. สตินั้นท่านกล่าวว่า กายคตา เพราะไป คือ เป็นไปในกายเหล่านั้น.
บทว่า สาตสหคตา - สติสหรคตด้วยความสำราญ ได้แก่ ถึง ภาวะมีเกิดขึ้นครั้งเดียวเป็นต้นกับด้วยความสำราญ กล่าวคือ การเสวยสุขอันหวานชื่น. สหคตะศัพท์ปรากฏในชินวจนะลงในอรรถ ๕ ประการ คือ ในตัพภาวะ - ความกำหนัดด้วยความพอใจ ๑ ในโวกิณณะ - ความเจือ ๑ ในอารัมมณะ - อารมณ์ ๑ ในนิสสยะ - นิสัย ๑ ในสังสัฏฐะ - ความเกี่ยวข้อง ๑.
ปรากฏในอรรถร่า ตัพพภาวะ ดังในบทนี้ว่า ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา - ตัณหาทำให้เกิดภพใหม่สหรคตด้วยนันทิราคะ, อธิบายว่า เป็นความกำหนัดด้วยความพอใจ. ปรากฏในอรรถว่า โวกิณณะ ดังในบทนี้ว่า ยา ภิกฺขเว วีมํสา โกสชฺชสหคตา โกสชฺชสมิปยุตฺตา - วิมังสาสหรคตด้วยโกสัชชะ สัมปยุตด้วยโกสัชชะ, อธิบายว่า วีมังสาเจือด้วยโกสัชชะเกิดขึ้นในระหว่างๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 367
ปรากฏในบทว่า อารัมมณะ ดังในบทนี้ว่า ลาภี โหติ รูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ อรูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ - ผู้ได้สมาบัติสหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วยอรูป, อธิบายว่า สมาบัติอันมีรูปเป็นอารมณ์ และมีอรูปเป็นอารมณ์. ปรากฏในอรรถว่า นิสสยะ ดังในบทนี้ว่า อฏฺิกสญฺญาสหคตํ สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ - ภิกษุเจริญสติสัมโพชฌงค์สหรคตด้วยอัฏฐิกสัญญา, อธิบายว่า เจริญอัฏฐิกสัญญา อันมีอัฏฐิกสัญญานอนเนื่องอยู่ในสันดานเป็นอันได้เฉพาะแล้ว. ปรากฏในอรรถว่า สังสัฏฐะ ดังในบทนี้ว่า อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สมิปยุตฺตํ - สุขนี้สหรคต คือเกิดร่วม คือสัมปยุตด้วยปีตินี้, อธิบายเกี่ยวข้องกัน. แม้ในบทนี้ ท่านก็ประสงค์เอาความเกี่ยวข้องกัน. เพราะสติเกี่ยวข้องด้วยความสำราญ ท่านกล่าวว่า สาตสหคตา - สหรคตด้วยความสำราญ.
จริงอยู่ สติเกี่ยวข้องด้วยความสำราญนั้น เว้นจตุตถฌานในฌานที่เหลือย่อมเป็น สาตสหคตา - สหรคตด้วยความรำราญ, แม้เมื่อสติสหรคตด้วยอุเบกขามีอยู่ โดยมากท่านก็กล่าวว่า สาตสหคตา, อีกอย่างหนึ่ง เพราะจตุตถฌานเป็นมูลของปุริมฌานเป็นอันท่านกล่าวถึงสติหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง เพราะสหรคตด้วยความสำราญ, ก็เมื่อความสุขมีอยู่ด้วยอุเบกขา สติจึงเป็น สาตสหคตา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นอันท่านกล่าวถึงสติสัมปยุตด้วยจตุตถฌานด้วย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 368
บทว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ - สมถะและวิปัสสนา. ชื่อว่า สมถะ เพราะยังธรรมที่เป็นข้าศึก มีกามฉันทะเป็นต้นให้สงบ คือให้หมดไป สมถะนี้เป็นชื่อของสมาธิ. ชื่อว่า วิปัสสนา เพราะเห็นธรรมโดยอาการหลายอย่าง โดยมีความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น วิปัสสนานี้เป็นชื่อของปัญญา. ในสองบทนี้ ในทสุตตรปริยายสูตร ท่าน กล่าวว่า เป็นบุพภาค, และในสังคีติปริยายสูตร ท่านกล่าวว่า เจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ.
บทว่า ตโย สมาธี - สมาธิ ๓ ได้แก่ สมาธิมีวิตกไม่มีวิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ๑ สมาธิไม่มีทั้งวิตกไม่มีทั้งวิจาร ๑. สมาธิพร้อมด้วยวิตกเป็นไปด้วยอำนาจสัมปยุตธรรม ชื่อว่า สวิตกฺโก, สมาธิพร้อมด้วยวิจาร ชื่อว่า สวิจาโร. สมาธินั้น เป็นขณิกสมาธิ- สมาธิชั่วขณะ เป็นวิปัสสนาสมาธิ - สมาธิเห็นแจ้ง เป็นอุปจารสมาธิ- - สมาธิเฉียดๆ ปฐมัชฌานสมาธิ - สมาธิในปฐมฌาน. ชื่อว่า อวิตกฺโก เพราะสมาธิไม่มีวิตก ชื่อว่า วิจารมตฺโต เพราะในวิตกวิจาร สมาธิมีเพียงวิจารมีประมาณยิ่ง, อธิบายว่า สมาธิไม่ถึงการประกอบร่วมกันกับวิตกยิ่งกว่าวิจาร. ในปัญจกนัย สมาธินั้นเป็นสมาธิในทุติยฌาน, สมาธิเว้นทั้งสองอย่างนั้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร. สมาธินั้น ในจตุกนัย เป็นรูปาวจรสมาธิ มีทุติยฌานเป็นต้น, ในปัญจกนัยเป็นรูปาวจรสมาธิ มีตติยฌานเป็นต้น. สมาธิแม้ทั้ง ๓ เหล่านี้ ก็ยังเป็นโลกิยะอยู่นั่นเอง. ในสังคีติปริยายสูตร ท่านกล่าวถึงสมาธิ ๓ แม้อย่างอื่นอีก คือ สุญฺต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 369
สมาธิ - สมาธิว่างจากราคะ โทสะ โมหะ อนิมิตฺตสมาธิ - สมาธิไม่มีราคะ โทสะ โมหะเป็นนิมิต อปฺปณิหิตสมาธิ (๑) - สมาธิหาราคะ โทสะ โมหะเป็นที่ตั้งมิได้ ด้วยเหตุนั้นในที่นี้ ท่านไม่ประสงค์เอาสมาธิเหล่านั้น.
บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺานา - สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑. พระโยคาวจรผู้กำหนดกาย โดยวิธี ๑๔ อย่าง ในส่วนเบื้องต้น พึงทราบว่า เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
พระโยคาวจรผู้กำหนดเวทนา โดยวิธี ๙ อย่าง พึงทราบว่า เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
พระโยคาวจรผู้กำหนดจิต โดยวิธี ๑๖ อย่าง พึงทราบว่า เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
พระโยคาวจรผู้กำหนดธรรม โดยวิธี ๕ อย่าง พึงทราบว่า เป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
ในที่นี้ท่านไม่ประสงค์เอาโลกุตรธรรม.
บทว่า ปญฺจงฺคิโก สมาธิ - สมาธิมีองค์ ๕ ได้แก่ สมาธิในจตุตถฌาน. องค์ ๕ คือ ปีติผรณตา - ปีติซาบซ่าน ๑ สุขผรณตา - ความสุขซาบซ่าน ๑ เจโตผรณตา - จิตซาบซ่าน ๑ อาโลกผรณตา - แสงสว่างแผ่ซ่าน ๑ ปัจจเวกขณนิมิต - การพิจารณาเป็นนิมิต ๑.
๑. ที. ปา. ๑๑/๒๒๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 370
ปัญญาในฌาน ๒ ชื่อว่า ปีติผรณตา เพราะแผ่ปีติเกิดขึ้น.
ปัญญาในฌาน ๓ ชื่อว่า สุขผรณตา เพราะแผ่สุขเกิดขึ้น.
เจโตปริยปัญญา - ปัญญากำหนดรู้จิต ชื่อว่า เจโตผรณตา เพราะแผ่จิตแก่คนอื่นเกิดขึ้น.
ทิพจักขุปัญญา - ปัญญาเกิดจากตาทิพย์ ชื่อว่า อาโลกผรณตา เพราะแผ่แสงสว่างเกิดขึ้น.
ปัจจเวกขณญาณ ชื่อว่า ปัจจเวกขณนิมิต. แม้ข้อนี้ท่านก็กล่าวไว้ว่า ปัญญาในฌาน ๒ ชื่อว่า ปีติผรณตา, ปัญญาในฌาน ๓ ชื่อว่า สุขผรณตา, ปรจิตตปัญญา ชื่อว่า เจโตผรณตา, ทิพจักขุปัญญา ชื่อ อาโลกผรณตา, ปัจจเวกขณญาณของผู้ออกจากสมาธินั้น ชื่อว่า ปัจจเวกขณนิมิต.
ปัจจเวกขณญาณนั้น ท่านกล่าวว่า เป็นนิมิต เพราะถือเอาอาการที่เป็นไปของผู้ออกจากสมาธิแล้ว.
อนึ่ง ในสมาธิมีองค์ ๕ นั้น ปีติผรณตา สุขผรณตา ดุจเท้าทั้งสอง, เจโตผรณตา อาโลกผรณตา ดุจมือทั้งสอง, จตุตถฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ดุจมัชฌิมกาย - กายในท่ามกลาง ปัจจเวกขณนิมิต ดุจศีรษะ. ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระแสดงสัมมาสมาธิมีองค์ ๕ เปรียบบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่.
บทว่า ฉ อนุสฺสติฏฺานานิ - อนุสสติ. สตินั่นแล เพราะเกิดขึ้นบ่อยๆ จึงเรียกว่า อนุสสติ, สติสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 371
ศรัทธา เพราะเป็นไปในฐานะที่ควรเป็นไป ชื่อว่า อนุสสติก็มี, อนุสสตินั่นแล ชื่อว่า อนุสสติฏฐานะ เพราะเป็นฐานแห่งปีติเป็นต้น.
อนุสสติ ๖ เป็นไฉน? อนุสสติ ๖ คือ พุทธานุสติ ๑ ธัมมานุสติ ๑ สังฆานุสติ ๑ สีลานุสติ ๑ จาคานุสติ ๑ เทวตานุสติ ๑.
บทว่า โพชฌงฺคา คือ เพื่อการตรัสรู้, หรือองค์แห่งการตรัสรู้. ท่านอธิบายไว้ว่า พระอริยสาวกย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคี ได้แก่ สติ ธรรมวิจยะ วีริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออันตรายไม่น้อย มีความหดหู่ ฟุ้งซ่าน ติดแน่น สะสม กามสุขัลลิกานุโยค อัตกิลมถานุโยค อุจเฉททิฏฐิ สัสสติทิฏฐิ การยึดมั่นเป็นต้น อันเกิดขึ้นในขณะแห่งโลกุตรมรรค ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า โพธิ, บทว่า พุชฺฌติ ย่อมตื่น ได้แก่ ลุกจากหลับอันเป็นสันดานกิเลส, หรือแทงตลอดอริยสัจ ๔. หรือทำนิพพานให้แจ้ง, องค์แห่งการตรัสรู้ กล่าวคือ ธรรมสามัคคีนั้น ชื่อว่า โพชฌังคา บ้าง ดุจองค์ฌานและองค์มรรคเป็นต้น. อริยสาวกตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคีมีประการดังกล่าวแล้ว ท่านเรียกว่า โพธิ, องค์แห่ง โพธิ นั้น ชื่อว่า โพชฌังคา ดุจองค์แห่งเสนาและองค์แห่งรถเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวว่า องค์แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้ ชื่อว่า โพชฌังคา. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถแห่งโพชฌงค์ โดยนัยมี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 372
อาทิว่า บทว่า โพชฺฌงฺคา ชื่อว่า โพชฌงค์ด้วยอรรถว่ากระไร? ชื่อว่า โพชฺฌงฺคา เพราะอรรถว่า ย่อมเป็นไปเพื่อการตรัสรู้
บทว่า อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค - อริยมรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่า อริยะ เพราะไกลจากกิเลสที่ถูกฆ่าด้วยมรรคนั้นๆ เพราะทำความเป็นอริยะ และเพราะทำให้ได้อริยผล. มรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่า อัฏฐังคิกะ. มรรคมีองค์ ๘ นั้นดุจเสนามีองค์ ๔, เพียงองค์เท่านั้นดุจดนตรีมีองค์ ๕, พ้นไปจากองค์แล้วย่อมไม่มี. องค์มรรคคือโพชฌงค์เป็นโลกุตระ, แม้ส่วนเบื้องต้นก็ย่อมได้โดยปริยายแห่งทสุตตรสูตร.
บทว่า นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ - องค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๙ ได้แก่ สีลวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งศีล เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ จิตตวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งจิต เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ ทิฏฐิวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งทิฏฐิ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ กังขาวิตรณวิสุทธิ- ความบริสุทธิ์แห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ มัคคามัคคญาณทัสนวิสุธิ - ความบริสุทธิ์แห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ ปฏิปทาญาณทัสนวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่ง
๑. ขุ. ป. ๓๑/๕๕๗.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 373
ญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติเป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ ญาณทัสนวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งญาณทัสนะ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ ปัญญาวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งปัญญา เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑ วิมุตติวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งวิมุตติ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ (๑) ๑.
บทว่า สีลวิสุทฺธิ ได้แก่ จตุปาริสุทธิศีล อันสามารถให้ถึงความหมดจด. สีลวิสุทธินั้น ชำระมลทิน คือ ความเป็นผู้ทุศีล.
บทว่า ปาริสุทธิปธานิยงฺคํ คือองค์เป็นประธานสูงสุดแห่งความเป็นผู้บริสุทธิ์.
บทว่า จิตฺตวิสุทฺธิ ได้แก่ สมาบัติ ๘ อันคล่องแคล่ว เป็นปทัฏฐานแห่งวิปัสสนา.
บทว่า ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ คือ การเห็นนามรูปพร้อมด้วยปัจจัย. ทิฏฐิวิสุทธินั้น ชำระมลทิน คือ สัตวทิฏฐิ - ความเห็นว่าเป็นสัตว์ให้หมดจด.
บทว่า กงฺขาวิตรณวสุทฺธิ คือ ความรู้ปัจจยาการ. พระโยคาวจรเมื่อเห็นว่าธรรมทั้งหลาย ย่อมเป็นไปด้วยสามารถปัจจัยในอัทธา - กาลอันยืดยาว ๓ ด้วยกังขาวิตรณวิสุทธินั้น ข้ามมลทิน คือ ความสงสัย ๗ ในอัทธาแม้ ๓ ย่อมบริสุทธิ์.
๑. ที. ปา. ๑๑/๔๕๖.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 374
บทว่า มคฺคามคฺคณาณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ คือ :-
โอภาส - แสงสว่าง ๑
ญาณ - ความรู้ ๑
ปีติ - ความอิ่มใจ ๑
ปัสสัทธิ - ความสงบ ๑
สุข - ความสุข ๑
อธิโมกข์ - ความน้อมใจเชื่อ ๑
ปัคคหะ - ความเพียร ๑
อุปัฏฐาน - ความตั้งมั่น ๑
อุเบกขา - ความวางเฉย ๑
นิกันติ - ความใคร่ ๑
เกิดขึ้นในขณะ อุทยัพพยานุปัสสนา - พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ, มิใช่ทาง, อุทยัพพยญาณปฏิบัติไปตามวิถี เป็นทาง ด้วยเหตุนั้นชื่อว่า มัคคามัคคญาณ - ญาณในทางและมิใช่ทาง ด้วยประการฉะนี้จึงยังมลทินอันมิใช่ทางให้หมดจดด้วยญาณนั้น.
บทว่า ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ ๙ เหล่านี้ คือ :-
อุทยัพพยานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดทั้งความดับ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 375
ภังคานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นความดับ ๑
ภยตูปัฏฐานานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ๑
อาทีนวานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นโทษ ๑
นิพพิทานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงถึงด้วยความเบื่อหน่าย ๑
มุญจิตุกัมยตาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย ๑
ปฏิสังขานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยพิจารณาหาทาง ๑
สังขารุเปกขาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยความวางเฉยในสังขาร ๑
สัจจานุโลมิกญาณ - ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ ๑.
วิปัสสนาญาณเหล่านั้น ย่อมชำระมลทินมีความสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้น.
บทว่า าณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ ปัญญาในอริยมรรค ๔. อริยมรรคปัญญานั้น ย่อมชำระมลทินคือกิเลสที่ถูกฆ่าด้วยมรรคของตนๆ โดยเด็ดขาด.
บทว่า ปุญฺาวิสุทฺธิ ได้แก่ ปัญญาในอรหัตตผล.
บทว่า วิมุตฺตีวิสุทฺธิ ได้แก่ วิมุตติในอรหัตตผล.
บทว่า ทส กสิณายตนานิ - กสิณ ๑๐ ท่านกล่าวถึงกสิณ ๑๐ ไว้อย่างนี้ คือ ท่านหนึ่งรู้พร้อมปฐวีกสิณ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 376
ขวาง ไม่มีสอง ไม่มีประมาณ, ท่านหนึ่งรู้พร้อมอาโปกสิณ ฯลฯ ท่านหนึ่งรู้พร้อมเตโชกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมวาโยกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมนีลกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมปีตกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมโลหิตกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมโอทาตกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมอากาสกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมวิญญาณกสิณ เบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง ไม่มีประมาณ (๑). ชื่อว่า กสิณ เพราะอรรถว่าแผ่ไปทั่ว, อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเขต หรือเป็นที่ตั้งของธรรมอันมีกสิณนั้นเป็นอารมณ์.
บทว่า อุทฺธํ คือ มุ่งเฉพาะท้องฟ้าเบื้องบน. บทว่า อโธ คือ มุ่งเฉพาะภาคพื้นเบื้องล่าง.
บทว่า ติริยํ คือ กำหนดไว้โดยรอบดุจบริเวณของพื้นที่. เพราะบางท่านเจริญกสิณเบื้องบน, บางท่านเบื้องต่ำ, บางท่านโดยรอบ หรือว่าแม้ท่านหนึ่งประสงค์จะเห็นรูป ดุจประสงค์จะเห็นแสงสว่าง ย่อมขยายออกไปอย่างนี้ด้วยเหตุนั้นๆ. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ท่านหนึ่งรู้พร้อมปฐวีกสิณ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง.
บทว่า อทฺวยํ นี้ ท่านกล่าวเพื่อไม่ให้กสิณอย่างหนึ่งถึงความเป็นอย่างอื่น. ปฐวีกสิณย่อมเป็นปฐวีกสิณเท่านั้น ปฐวีกสิณนั้นไม่มี
๑. อํ. ทสก. ๒๔/๒๕
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 377
กสิณอื่นปะปนเหมือนเมื่อคนลงไปสู่น้ำ น้ำเท่านั้นย่อมมีในทิศทั้งปวงมิใช่อื่น. ในบททั้งปวงมีนัยอย่างนี้.
บทว่า อปฺปมาณํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการแผ่ไปของกสิณนั้นๆ ไม่มีกำหนด. จริงอยู่ กสิณนั้น เมื่อแผ่ไปทางใจ ชื่อว่า แผ่ไปทั่ว, มิได้กำหนดว่า นี้เป็นเบื้องต้น นี้เป็นท่ามกลาง ของกสิณนั้น.
บทว่า อากาสกสิณํ ได้แก่ อากาศที่เพิกกสิณ และอากาศกสิณที่กำหนดไว้.
บทว่า วิญฺาณกสิณํ ได้แก่ วิญญาณอันเป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณ. ในวิญญาณกสิณนั้น พึงทราบความเป็นเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ในอากาศที่เพิกกสิณ ด้วยอำนาจกสิณ ในวิญญาณอันเป็นไปแล้ว ในวิญญาณกสิณนั้น ด้วยอำนาจอากาศที่เพิกกสิณ, พึงทราบด้วยสามารถกสิณนั้น เพราะแม้อากาสกสิณที่กำหนดไว้ก็ควรเจริญดังนี้บ้าง.
๖๘] บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรเมื่อจะแสดงประเภทของภาวนา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เทฺว ภาวนา - ภาวนา ๒.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า เทฺว ภาวนา ดังต่อไปนี้ วัฏฏะ ท่านกล่าวว่า โลก เพราะอรรถว่าแตกสลายไป. ชื่อว่า โลกิยา เพราะอรรถว่าประกอบแล้วในโลก ด้วยความเกี่ยวเนื่องกันในวัฏฏะนั้น,
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 378
การเจริญธรรมอันเป็นโลกิยะ ชื่อว่า โลกิยา. แม้ท่านจะกล่าวว่า การเจริญธรรมโดยโวหารก็จริง, ถึงดังนั้น ก็ไม่มีการเจริญแยกออกจากธรรมเหล่านั้น. เพราะท่านเจริญธรรมเหล่านั้นนั่นเอง จึงเรียกว่า ภาวนา.
บทว่า อุตฺติณฺณา แปลว่า ข้าม. ชื่อว่า โลกุตฺตรา เพราะอรรถว่า ข้ามไปจากโลกด้วยความไม่เกี่ยวข้องโลก.
ชื่อว่า รูปาวจรา เพราะอรรถว่า ท่องเที่ยวไปในรูปอันได้แก่ รูปภพ.
กุสล ศัพท์ ในบทว่า รูปาวจรกุสลานํ นี้ ย่อมปรากฏในความไม่มีโรค ไม่มีโทษ ฉลาดและสุขวิบาก. ปรากฏในความไม่มีโรค ในบทมีอาทิว่า กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ, กจฺจิ โภโต อนามยํ (๑) - พระคุณเจ้าสบายดีหรือ, มีอนามัยดีหรือ. ปรากฏในความไม่มีโทษ ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็กายสมาจารเป็นกุศล เป็นไฉน? มหาบพิตรกายสมาจารไม่มีโทษ (๒) แลเป็นกุศล และในบทมีอาทิว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมในกุศลธรรม (๓) นั่นเป็น อนุตริยะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า. ปรากฏในความฉลาด ในบทมีอาทิว่า ข้าแต่ราชกุมาร พระองค์เป็นผู้ฉลาด ทรงสำคัญส่วนน้อยใหญ่ของรถเป็นอย่างไร, (๔) และในบทมีอาทิว่า หญิงมีความสามารถ มีความสำเหนียก เป็นหญิงฉลาด การฟ้อนและการ
๑. ขุ.ชา. ๒๗/๒๑๓๓. ๒. ม.ม. ๑๓/๕๕๔. ๓. ที.ปา. ๑๑/๗๕. ๔. ม.ม. ๑๓/๙๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 379
ขับร้อง. (๑) ปรากฏในสุขวิบาก ในบทมีอาทิว่า บุญนี้ย่อมเจริญอย่างนี้ เพราะเหตุการสมาทานกุศลธรรม (๒) และในบทอาทิว่า เพราะทำ คือ สะสมกุศลธรรม. (๓) กุสล ศัพท์ ในที่นี้ ย่อมสมควรแม้ในความไม่มีโรค แม้ในความไม่มีโทษ แม้ในสุขวิบาก. ก็ในบทนี้มีอธิบายคำดังต่อไปนี้
กุจฺฉิเต ปาปเก ธมฺเม สลยนฺติ จลยนฺติ กมฺเปนฺติ วิทฺธํ เสนฺตีติ กุสลา - ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า กุสล เพราะอรรถว่า ป้องกัน ย่อมทำให้หวั่นไหว ย่อมทำให้สะเทือน ย่อมกำจัดธรรมอันลามก น่าเกลียด. อีกอย่างหนึ่ง บาปธรรม ชื่อว่า กุสะ เพราะอรรถว่า ย่อมนอน คือ ย่อมเป็นไปโดยอาการอันน่าเกลียด. ชื่อว่า กุสล เพราะอรรถว่า ตัด ทำลายกุสะอันน่าเกลียด อันได้แก่อกุศลเหล่านั้น, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กุสล เพราะทำสิ่งน่าเกลียดให้น้อย ให้สิ้นสุด ได้แก่ ญาณ. ชื่อว่า กุสล เพราะอรรถว่า พึงตัด พึงยึด คือ พึงให้เป็นไปด้วย กุสะ (ญาณ) นั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กุสล เพราะอรรถว่า กุศลแม้เหล่านี้ ย่อมตัดฝ่ายที่เป็นสังกิเลสที่ถึงส่วนทั้งสอง ทั้งที่เกิดและยังไม่เกิด, เหมือนหญ้าบาดมือ อันถึงส่วนทั้งสอง. เพราะฉะนั้น จึงเหมือนหญ้าคาอันบุคคลตัด ได้แก่ การเจริญรูปาวจรกุศลเหล่านั้น. ที่ชื่อว่า อรูปาวจร เพราะท่องเที่ยวไปในอรูป อันได้แก่ อรูปภพ. ชื่อว่า ปริยาปนฺนา - การนับเนื่อง เพราะอรรถว่า
๑. ขุ.ชา. ๒๘/๔๓๖. ๒. ที.ปา. ๑๑/๓๓ ๓. อภิ.สํ. ๓๔/๓๓๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 380
นับเนื่อง คือ หยั่งลงภายใน ในวัฏฏะเป็นไปในภูมิ ๓, ที่ชื่อว่า อปริยาปนฺนา - การไม่นับเนื่อง เพราะอรรถว่า ไม่นับเนื่องในวัฏฏะ เป็นไปในภูมิ ๓ นั้น จึงเป็น โลกุตระ.
หากถามว่า เพราะเหตุไรท่านจึงไม่กล่าวถึงการเจริญธรรมที่เป็นกามาวจรกุศลเล่า? ตอบว่า เพราะเมื่อการเจริญยังไม่ถึงขั้นอัปปนา ท่านประสงค์เอาการเจริญในอภิธรรม ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอภิธรรมนั้นว่า
พระโยคาวจรไม่ได้สดับจากผู้อื่น ย่อมได้เฉพาะซึ่งขันติ ทิฏฐิ รุจิ มุติ - ความรู้ เปกขะ - ความเพ่งธัมมนิชฌานักขันติ - ขันติคือความเพ่งธรรม อันเป็นอนุโลมเห็นปานนี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นกัมมสกตาญาณ หรือสัจจานุโลมิกญาณ ในกัมมายตนะ สิปปายตนะ วิทยฐานะ อันจัดไว้ด้วยโยคะ เป็นของไม่เที่ยง นี้ท่านกล่าวว่า จินตามยปัญญา. อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรได้สดับจากผู้อื่น ย่อมได้ซึ่งขันติ ทิฏฐิ รุจิ มุติ เปกขะ ธัมมนิชฌานักขันติ ในกัมมายตนะอันจัดไว้ด้วยโยคะ ฯลฯ นี้ท่านกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 381
สุตมยปัญญา. ปัญญาของผู้เข้าถึงแล้วแม้ทั้งหมด เป็นภาวนามยปัญญา (๑) .
ส่วนกามาวจรภาวนานั้น พึงทราบว่า ท่านไม่เรียกว่า ภาวนา เพราะความที่แห่งกามาวจรภาวนานั้น มีอยู่ในระหว่างอาวัชชนะและภวังค์.
ความที่อุปจารสมาธิและวิปัสสนาสมาธิ เป็นบุญสำเร็จด้วยภาวนา เป็นอันสำเร็จแล้วเพราะบุญทั้งหมดหยั่งลงภายในบุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง. แต่ในที่นี้ท่านสงเคราะห์ภาวนาเข้าในโลกิยภาวนานั่นเอง
พึงทราบในความที่รูปาวจรและอรูปาวจร มี ๓ อย่าง ดังต่อไปนี้ บทว่า หีนา คือ ลามก. ภาวนาในท่ามกลางแห่งธรรมเลวและธรรมสูงสุด ชื่อว่า มชฺฌา ปาฐะว่า มชฺฌิมา บ้าง. ชื่อว่า ปณีตา เพราะอรรถว่า นำไปสู่ความเป็นประธาน ได้แก่ สูงสุด
พึงทราบความที่ภาวนาเป็นส่วนเลว เป็นส่วนปานกลาง และเป็นส่วนประณีต ด้วยการรวบรวมมา. เพราะว่าในขณะรวบรวมมา ภาวนาที่เป็นฉันทะ วีริยะ จิตตะ วิมังสา เลว ชื่อว่า หีนา. ภาวนาที่เป็นธรรมปานกลาง ชื่อว่า มชฺฌิมา. ภาวนาที่เป็นประณีต ชื่อว่า ปณีตา. อีกอย่างหนึ่ง ภาวนาที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์อ่อน ชื่อว่า หีนา.
๑. อภิ.วิ. ๓๕/๘๐๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 382
ภาวนาที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์ปานกลาง ชื่อว่า มชฺฌิมา. ภาวนาที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์มีประมาณยิ่ง ชื่อว่า ปณีตา. ท่านกล่าวถึงความประณีตเท่านั้น เพราะภาวนาอันไม่นับเนื่อง ไม่มีส่วนเลวและส่วนปานกลาง. ภาวนานั้น ชื่อว่า ปณีตา เพราะอรรถว่าสูงสุดและเพราะอรรถว่าไม่เดือดร้อน.
๖๙] ในปฐมภาวนาจตุกกะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภาเวติิ ได้แก่ พระโยคาวจรเมื่อแทงตลอดอย่างนั้นๆ ในขณะเดียวเท่านั้น ชื่อว่า ย่อมเจริญอริยมรรค.
ในทุติยภาวนาจตุกกะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า เอสนาภาวนา ได้แก่ ภาวนาในส่วนเบื้องต้นของอัปปนา. เอสนาภาวนานั้น ท่านกล่าวว่า เอสนา เพราะเป็นเหตุแสวงหา อัปปนา.
บทว่า ปฏิลาภภาวนา ได้แก่ อัปปนาภาวนา. ปฏิลาภภาวนานั้น ท่านกล่าวว่า ปฏิลาภ เพราะได้ด้วยการแสวงหานั้น.
บทว่า เอกรสาภาวนา ได้แก่ ภาวนาในเวลาประกอบความเพียรของผู้ใคร่จะบรรลุความเป็นผู้ชำนาญในการได้เฉพาะ. เอกรสาภาวนานั้นมีรสเป็นอันเดียวกันด้วยวิมุตติรส เพราะพ้นจากกิเลสนั้นๆ ด้วย ปหานะ นั้นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เอกรสา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 383
บทว่า อาเสวนาภาวนา ได้แก่ ภาวนาในเวลาบริโภคตามความชอบใจของผู้บรรลุความชำนาญในการได้เฉพาะ. อาเสวนาภาวนานั้น ท่านกล่าวว่า อาเสวนา เพราะอรรถว่า เสพหนัก. แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาไว้ว่า อาเสวนาภาวนาเป็น วสีกรรม. เอกรสาภาวนา มีประโยชน์ทั้งหมด. พึงทราบความในจตุกวิภาคดังต่อไปนี้
บทว่า สมาธึ สมาปชฺชนฺตานํ - เมื่อพระโยคาวจรเข้าสมาธิอยู่ เป็นคำกล่าวถึงปัจจุบันใกล้ปัจจุบัน.
บทว่า ตตฺถ ชาตา ได้แก่ ธรรมทั้งหลายที่เกิดในธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้นนั้น. บทว่า เอกรสา โหนฺติ ได้แก่ เป็นธรรมมีกิจเสมอกันในการเข้าถึงอัปปนา. บทว่า สมาธึ สมาปนฺนานํ - เมื่อพระโยคาวจรเข้าสมาธิแล้ว ได้แก่ มีอัปปนาแน่นแฟ้นแล้ว.
บทว่า ตตฺถ ชาตา ได้แก่ ธรรมทั้งหลายที่เกิดในอัปปนานั้น.
บทว่า อญฺมญฺํ นาติวตฺตนฺติ - ไม่เป็นไปล่วงกันและกัน ได้แก่ ไม่ก้าวล่วงกันและกัน โดยเป็นไปเสมอกัน.
๗๐] พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อธิโมกฺขฏฺเน สทฺธินฺ- ทฺริยํ ภาวยโต - เมื่อพระโยคาวจรเจริญสัทธินทรีย์ ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อ ดังต่อไปนี้ อินทรีย์แม้ที่เหลือมีกิจของตนๆ เป็นเหตุด้วยอาศัยอินทรีย์นั้นๆ ในการทำกิจของตนๆ แห่งอินทรีย์หนึ่งๆ แม้ในขณะเดียวกัน จึงมีรสอย่างเดียวกันด้วยวิมุตติรส เพราะเหตุนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 384
จึงชื่อว่า ภาวนา เพราะอรรถว่า มีรสอย่างเดียวกันด้วยวิมุตติรสนั่นแล. แม้ในพละ โพชฌงค์ และองค์มรรคก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง บทว่า เอกรสา เป็นลิงควิปลาส.
๗๑] บทว่า อิธ ภิกฺขุ คือ ภิกษุในศาสนานี้. ชื่อว่า ภิกฺขุ เพราะอรรถว่า เห็นภัยในสงสาร.
ในบทมีอาทิว่า ปุพฺพณฺหสมยํ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยค - สิ้น, ตลอด, แต่โดยอรรถเป็นสัตตมีวิภัตติ มีความว่า ในกาลก่อนแห่งวัน คือเวลาเช้า.
บทว่า อาเสวติ ได้แก่ เสพเป็นอันมาก ซึ่งสมาธิที่ถึงความชำนาญ.
บทว่า มชฺฌนฺติกสมยํ ได้แก่ ในเวลากลางวัน คือเวลา เที่ยง.
บทว่า สายณฺหสมยํ ได้แก่ ในเวลาเย็น.
บทว่า ปฺเรภตฺตํ ได้แก่ ในเวลาก่อนภัตในตอนกลางวัน.
บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ได้แก่ในเวลาหลังภัตตอนกลางวัน.
บทว่า ปุริเมปิ ยาเม ได้แก่ ในยามต้นของราตรี.
บทว่า กาเฬ ได้แก่ ในกาฬปักษ์ - ข้างแรม.
บทว่า ชุณฺเห ได้แก่ ในศุกลปักษ์ - ข้างขึ้น.
บทว่า ปุริเมปิ วโยชนฺเธ ได้แก่ ในส่วนวัยต้น คือปฐม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 385
วัย. อนึ่งใน ๓ วัย คนมีอายุ ๑๐๐ ปี ในวัยหนึ่งๆ มีอายุ ๓๓ ปี ๔ เดือน.
๗๒ - ๗๖] พึงทราบวินิจฉัยในตติยภาวนาจตุกกะ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนฏฺเน-ภาวนาด้วยอรรถว่าไม่ก้าวล่วงกันและกัน แห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในภาวนานั้น คือ ด้วยความไม่ก้าวล่วงกันและกัน แห่งธรรมคู่กัน ได้แก่ สมาธิและปัญญาที่เกิดขึ้นในภาวนาวิเศษ มีเนกขัมมะเป็นต้นนั้น.
บทว่า อินฺทฺริยานํ เอกรสฏฺเน - ภาวนาด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีรสอย่างเดียวกัน คือ ด้วยความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้นมีรสอย่างเดียวกัน ด้วยวิมุตติรสเพราะพ้นจากกิเลสต่างๆ.
บทว่า ตทุปควีริยวาหนฏฺเน - ภาวนาด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรอันเข้าถึงธรรมนั้นๆ คือ ด้วยการนำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมนั้นมีรสเป็นอันเดียวกันไม่ก้าวล่วงกัน.
บทว่า อาเสวนฏฺเน - ภาวนาด้วยอรรถว่า เสพเป็นอันมาก คือ ด้วยการเสพเป็นอันมากของการเสพที่เป็นไปในสมัยนั้นๆ.
บทว่า รูปสญฺํ ได้แก่ รูปสัญญา กล่าวคือ รูปาวจรฌาน ๑๕ อย่าง ด้วยอำนาจกุศลวิบากกิริยา. แม้รูปาวจรฌานท่านก็กล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ - ผู้มีรูปย่อมเห็นรูป, (๑) แม้
๑. ที. มหา. ๑๐/๑๐๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 386
อารมณ์แห่งฌานนั้น ท่านก็กล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า เห็นรูปภายนอกมีผิวงามและผิวทราม. (๑) รูปาวจรฌานเป็นสัญญาในรูปด้วยหัวข้อ ว่า สัญญา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า รูปสัญญา.
บทว่า ปฏิฆสญฺํ ได้แก่ ปฏิฆสัญญา ๑๐ อย่าง คือกุศลวิบาก ๕, อกุศลวิบาก ๕. สัญญาสัมปยุตด้วยทวิปัญจวิญญาณ ท่านเรียกว่า ปฏิฆสญฺา เพราะวัตถุมีจักขุเป็นต้นและอารมณ์มีรูปเป็นต้นเกิดขึ้นด้วยการกระทบ. ชื่อของสัญญานี้ คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญาบ้าง.
บทว่า นานตฺตสญฺํ ได้แก่ นานัตตสัญญา ๔๔ อย่าง คือ กามาวจรกุศลสัญญา ๘, อกุศลสัญญา ๑๒, กามาวจรกุศลวิบากสัญญา ๑๑, อกุศลวิบากสัญญา ๒ กามาวจรกิริยาสัญญา ๑๑. นานัตตสัญญานั้นเป็นสัญญาเป็นไปในโคจร อันมีประเภท มีรูปและเสียงเป็นต้น มีความต่างกัน คือ มีสภาพต่างกัน เพราะเหตุนั้นจึงเป็น นานัตตสัญญา. อีกอย่างหนึ่ง สัญญาไม่เหมือนกัน มีความต่างกัน มีสภาพต่างกัน โดยประเภท ๔๔ อย่าง ท่านกล่าวว่า เป็น นานตฺตสญฺา แม้สัญญามีมากท่านก็ทำให้เป็นเอกวจนะด้วยชาติศัพท์.
บทว่า นิจฺจสญฺํ ได้แก่ สัญญาว่า เป็นของเที่ยง ชื่อ นิจฺจสญฺา. สุขสญฺา อตฺตสญฺา ก็อย่างนั้น.
บทว่า นนฺทึ- ความเพลิดเพลิน ได้แก่ ตัณหาอันมีความอิ่มใจ.
บทว่า ราคํ ได้แก่
๑. ที. มหา. ๑๐/๑๐๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 387
ตัณหาไม่มีความอิ่ม.
บทว่า สมุทยํ ได้แก่ เหตุเกิดราคะ. อีกอย่าง หนึ่ง อุทยํ - ความเกิดแห่งสังขารทั้งหลาย เพราะเห็นความดับด้วยภังคานุปัสนาญาณ.
บทว่า อาทานํ - ความถือมั่น คือ ถือมั่นกิเลสด้วยอำนาจความเกิด หรือถือมั่นอารมณ์อันเป็นสังขตะ เพราะยังไม่เห็นโทษ.
บทว่า ฆนสญฺํ ได้แก่ สัญญาว่า เป็นก้อนด้วยสันตติ- ความสืบต่อ.
บทว่า อายูหนํ ได้แก่ การทำความเพียรเพื่อประโยชน์แก่สังขาร.
บทว่า ธุวสญฺํ ได้แก่ สัญญาว่ามั่นคง.
บทว่า นิมิตฺตํ ได้แก่ เครื่องหมายว่าเที่ยง.
บทว่า ปณิธึ ได้แก่ ปรารถนาความสุข.
บทว่า อภินิเวสํ ได้แก่ การยึดมั่นว่า ตนมีอยู่.
บทว่า สาราทานาภินิเวสํ - ความยึดมั่นด้วยถือว่าเป็นแก่นสาร ได้แก่ ความยึดมั่นด้วยถือว่าตนมีแก่นสารเป็นนิจ.
บทว่า สมฺโมหาภินิเวสํ - ความยึดมั่นด้วยความหลงใหล ได้แก่ ความยึดมั่นด้วยความหลงใหลด้วยบทมีอาทิว่า เราได้เป็นแล้วตลอดกาลในอดีต (๑) และด้วยบทมีอาทิว่า สัตวโลกเกิดจากพระผู้เป็นใหญ่.
บทว่า อาลยาภินิเวสํ - ความยึดมั่นด้วยความอาลัย ได้แก่ ยึดมั่นว่า นี้ควรยึดให้แน่นเพราะยังไม่เห็นโทษ.
๑. สํ.นิ. ๑๖/๖๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 388
บทว่า อปฺปฏิสงฺขํ - ความไม่พิจารณา ได้แก่ การไม่ถืออุบาย.
บทว่า สญฺโคาภินิเวสํ - การยึดมั่นด้วยกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ ได้แก่ ความเป็นไปแห่งกิเลสมีกามโยคะเป็นต้น.
บทว่า ทิฏฺเกฏฺเ - กิเลสที่ตั้งรวมกับทิฏฐิ ได้แก่ ชื่อว่า ทิฏเกฏฺา เพราะอรรถว่า ตั้งในที่เดียวกันกับทิฏฐิ. ซึ่งกิเลสที่ตั้งรวมกันกับทิฏฐินั้น.
ชื่อว่า กิเลสา เพราะกิเลสทำให้เศร้าหมอง ให้เดือดร้อน ให้ลำบาก. กิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกัน ๒ อย่าง คือ ตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยการละ ๑ อยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน ๑. ชื่อว่า ตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยการละเพราะละทิฏฐิ ๖๓ มีสักกายทิฏฐิเป็นประธานด้วยโสดาปัตติมรรค. อธิบายว่า กิเลสทั้งหลายตั้งอยู่ในบุคคลคนเดียว. บทนี้ท่านประสงค์เอาในที่นี้. ในกิเลส ๑๐ อย่าง ในที่นี้ หมายถึง กิเลสคือทิฏฐิเท่านั้น. ก็ในกิเลสที่เหลือ กิเลส ๙ อย่าง คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ วิจิกิจฉา ๑ ถีนะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อหิริกะ ๑ อโนตตัปะ ๑ เป็นกิเลสทำสัตว์ให้ไปสู่อบาย ตั้งอยู่ในที่เดียวกันกับทิฏฐิ ละได้ด้วยโสตาปัตติมรรค, กิเลสทั้งหมดนำสัตว์ไปสู่อบาย. อีก อย่างหนึ่ง บรรดากิเลส ๑,๕๐๐ มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นประธาน เมื่อละทิฏฐิได้ด้วยโสดาปัตติมรรค กิเลสทั้งหมดนำสัตว์ไปสู่อบายพร้อมกับทิฏฐิ ย่อมละได้ด้วยการตั้งอยู่ในที่เดียวกัน ด้วยปหานะ, ในกิเลสตั้งอยู่ในทีเดียวกันโดยการเกิดร่วมกัน มีอธิบายว่า กิเลส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 389
ทั้งหลายตั้งอยู่ในจิตดวงเดียวกันกับด้วยทิฏฐิ. เมื่อละจิตอันเป็นอสังขาริกะ สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๒ อย่าง ด้วยโสดาปัตติมรรคได้ กิเลสเหล่านี้ คือ โลภะ โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ เกิดร่วมกันกับจิตเหล่านั้น ย่อมละได้ด้วยอำนาจกิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกันโดยการเกิดร่วมกัน. เมื่อละจิตอันเป็นสสังขาริกที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๒ อย่างได้ กิเลสเหล่านี้ คือ โลภะ โมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ เกิดร่วมกับจิตเหล่านั้น ย่อมละได้ด้วยอำนาจกิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกัน โดยการเกิดร่วมกัน.
บทว่า โอฬาริเก กิเลเส - กิเลสอย่างหยาบ ได้แก่ กามราคะ พยาบาทอันเป็นกิเลสอย่างหยาบ.
บทว่า อณุสหคเต กิเลเส - กิเลสอย่างละเอียด ได้แก่ กามราคะ พยาบาทอันเป็นกิเลสอย่างละเอียด.
บทว่า สพฺพกิเลเส ได้แก่ กิเลสที่เหลือละได้ด้วยมรรคที่ ๓.
บทว่า วีริยํ วาเหติ - ย่อมนำไปซึ่งความเพียร ความว่า พระโยคาวจรยังความเพียรให้เป็นไป. ท่านกล่าวถึงเอสนาภาวนา ปฏิลาภเทสนา เอกรสาภาวนา อาเสวนาภาวนา ในหนหลังเพื่อแสดงถึงความต่างกันแห่งภาวนาทั้งหลายว่า ภาวนาเป็นอย่างนี้ เพื่อแสดงเหตุแห่งภาวนา ท่านจึงกล่าวคำทั้งหลายว่า ชื่อว่า ภาวนาด้วยอรรถว่า ไม่ก้าวล่วงธรรมที่เกิดในภาวนานั้น ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีรส อย่างเดียวกัน ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันเข้าถึงธรรมนั้นๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 390
ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก. ท่านกล่าวว่า ภาวนา ด้วยเหตุนี้ และด้วยเหตุนี้ แล้วกล่าวด้วยสามารถขณะต่างๆ กันว่า อาเสวนาภาวนา ในภายหลัง, ในที่นี้ ชื่อว่า ภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก เพราะเหตุนั้นจึงมีความต่างกัน ด้วยบทว่า เอกกฺขณวเสน - ด้วยสามารถขณะหนึ่ง.
ในบทมีอาทิว่า รูปํ ปสฺสนฺโต ภาเวติ พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นรูป ชื่อว่าเจริญภาวนา มีอธิบายว่า พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นรูปเป็นต้นโดยอาการที่ควรเห็น ชื่อว่า ย่อมเจริญภาวนาที่ควรภาวนา.
บทว่า เอกรสา โหนฺติิ - ภาวนามีรสเป็นอันเดียวกัน คือ มีรสเป็นอันเดียวกันด้วยวิมุตติรส หรือด้วยรสอันเป็นกิจ.
บทว่า วิมุตฺติรโส ได้แก่ สัมปัตติรส - รสคือการถึงพร้อม ชื่อว่า รส ท่าน กล่าวด้วยอรรถว่าถึงพร้อมด้วยกิจ ด้วยเหตุนั้น เป็นอันท่านกล่าวไว้แล้วแล.
จบ อรรถกถาภาเวตัพพนิทเทส
จบ อรรถกถาจตุตถภาณวาร