พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 484 ภิกษุใด เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้วเพราะบรรลุพระอรหัต เป็นผู้ทรงร่างกายไว้เป็น ครั้งสุดท้าย ภิกษุนั้น พึงกล่าวว่า เราย่อม กล่าวดังนี้บ้าง พึงกล่าวว่า พวกเขาย่อมกล่าว กะเราดังนี้บ้าง เป็นผู้ฉลาด รู้สิ่งกำหนดรู้กัน ในโลก พึงพูดไปตามโวหารนั้น. ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า ดูก่อนจิตคฤหบดี ตถาคตพูดไปตามสิ่งที่รู้กันในโลก ภาษาของชาวโลก โวหารของชาวโลก บัญญัติของชาวโลก แต่ไม่ยึดถือด้วยทิฏฐิ. บทว่า อภิญฺา ปหานมาห พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสการละธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญาอันยิ่ง ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ความเที่ยงแห่งธรรมเหล่านั้นในบรรดาความเที่ยงเป็นต้น ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วจึงตรัสถึงการละความเที่ยง. ทรงรู้ความขาดสูญ ความเที่ยงแต่บางอย่างด้วยปัญญารู้ยิ่งแล้วจึงตรัสถึงการละความเที่ยงแต่บางอย่าง ทรงรู้รูปด้วยปัญญาอันยิ่งแล้วจึงตรัสถึงการละรูป พึงทราบความในบทนี้โดยนัยมีอาทิดังนี้แล. บทว่าปฏิสญฺจิกฺขโต เมื่อพระสารีบุตรสำเหนียกคือ เห็นตระหนัก. บทว่า อนุปาทายอาสเวหิ จิตฺตวิมุจฺจิ จิตพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น คือ จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลายอันดับแล้วด้วยความดับสนิทคือไม่เกิดอีกเพราะไม่ถือมั่น. ด้วยเหตุประมาณเท่านี้ ท่านพระสารีบุตรดุจบุคคลบริโภคอาหารที่เขาตักให้ผู้อื่นแล้ว บรรเทาความหิวลงได้ เมื่อส่งญาณไปในธรรมเทศนาที่ปรารภผู้อื่นจึงเจริญวิปัสสนา ได้บรรลุพระอรหัต แทงตลอดที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณและปัญญา ๑๖ แล้วดำรงอยู่. ส่วนทีฆนขะได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วดำรงอยู่ในสรณะทั้งหลาย.
ยินดีในกุศลจิตค่ะ