[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 605
นวกนิบาตชาดก
๑. คิชฌชาดก
ว่าด้วยผู้ไม่ทําตามคําสอนย่อมพินาศ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 605
นวกนิบาตชาดก
๑. คิชฌชาดก
ว่าด้วยผู้ไม่ทำตามคำสอนย่อมพินาศ
[๑๒๐๗] ทางบนยอดเขาคิชฌกูฏ มีชื่อว่า ปริสังกุปกะ มาแต่ดึกดำบรรพ์ นกแร้งเลี้ยงดูมารดา บิดาผู้ชราอยู่ที่ทางนั้น.
[๑๒๐๘] โดยมากไปเที่ยวหามันข้นงูเหลือม มาให้มารดาบิดาเหล่านั้นกิน ฝ่ายบิดารู้ว่า นี้แร้งสุปัต มีปีกแข็ง แล้วมีกำลังมาก มักร่อนขึ้นไปสูง เที่ยวไปไกลๆ จึงได้กล่าวสอนลูกว่า.
[๑๒๐๙] แน่ะ พ่อ เมื่อใดเจ้าเห็นแผ่นดินมีทะเล ล้อมรอบกลมประหนึ่งว่ากงจักร ลอยลิบๆ อยู่ดุจใบบัวลอยอยู่ในน้ำ เจ้าจงรีบกลับเสียจากที่นั้น อย่าบินต่อจากนั้นไปอีกเลย.
[๑๒๑๐] นกแร้งสุปัต เป็นสัตว์มีร่างกายสมบูรณ์ มีกำลังมาก มีปีกแข็ง บินขึ้นไปถึงอากาศ เบื้องบนโดยกำลังเร็ว เมื่อเหลียวกลับมาแลดู
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 606
ภูเขา และป่าไม้ทั้งหลาย.
[๑๒๑๑] ก็ได้เห็นแผ่นดิน มีทะเลล้อมรอบกลม ดุจกงจักร เหมือนคำของบิดาบอกไว้.
[๑๒๑๒] นกแร้งสุปัต ก็บินล่วงเลยที่นั้น ไปเบื้องหน้าอีก ยอดลมแรงแข็งกล้า ได้ประหารนกแร้งสุปัต ผู้มีกำลังมากนั้น ให้แหลกละเอียด.
[๑๒๑๓] นกแร้งสุปัต บินเกินไป ไม่สามารถจะกลับจากที่นั้นได้อีก ตกอยู่ในอำนาจลมเวรัมพวาต ถึงความพินาศแล้ว.
[๑๒๑๔] เมื่อนกแร้งสุปัต ไม่ทำตามโอวาทของบิดา บุตรภรรยา และนกแร้งอื่นๆ ที่อาศัยเลี้ยงชีพด้วย ก็พากันถึงความพินาศไป ด้วยกันหมด.
[๑๒๑๕] แม้ในศาสนานี้ก็เหมือนกัน ผู้ใดไม่เชื่อถ้อยฟังคำของผู้ใหญ่ ผู้นั้นเป็นผู้ชื่อว่า ล่วงศาสนา ดังนกแร้งไปล่วงเขตแดน ต้องเดือดร้อน ฉะนั้น ผู้ไม่ทำตามคำสอนของผู้ใหญ่ ย่อมถึงความพินาศทั้งหมด.
จบ คิชฌชาดกที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 607
อรรถกถาชาดก
นวกนิบาต
อรรถกถาคิชฌชาดกที่ ๑
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุว่ายาก รูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปริสงฺกุปโถ นาม ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุว่ายากรูปนั้น เป็นลูกผู้ดีคนหนึ่ง แม้บวชในศาสนา ที่จะนำออกจากทุกข์ เมื่ออาจารย์อุปัชฌาย์ และเพื่อนพรหมจารี ผู้หวังดี กล่าวสอนว่า เธอพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้ มองไปข้างหน้าอย่างนี้ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างนี้ คู้เข้าอย่างนี้ เหยียดออกอย่างนี้ นุ่งอย่างนี้ ห่มอย่างนี้ ถือบาตรอย่างนี้ พึงรับภัต แต่พอยังอัตตภาพให้เป็นไป พิจารณาก่อนแล้วจึงฉัน พึงคุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรเนืองๆ พึงรู้ธรรมเนียม ต้อนรับอาคันตุกะ พึงรู้ธรรมเนียมของผู้เดินทาง พึงประพฤติด้วยดี ในขันธกวัตร ๑๔ และมหาวัตร ๘๐ พึงสมาทานธุดงคคุณ ๑๓ ดังนี้ เป็นผู้ว่ายาก ไม่อดทนต่อโอวาท ไม่ยินดีรับคำสอน กล่าวตอบว่า กระผมไม่ได้ว่าพวกท่าน เหตุไรพวกท่าน จึงว่ากระผม กระผมเท่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 608
จักทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์สำหรับตน แล้วได้ทำตัว ให้ใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้.
ได้ยินว่า พวกภิกษุรู้ว่า ภิกษุรูปนั้น เป็นผู้ว่ายาก จึงได้ประชุมกันกล่าวโทษ ในธรรมสภา พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอ ประชุมสนทนากัน ถึงเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูล ให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมา แล้วตรัสถามว่า ได้ยินว่า เธอเป็นผู้ว่ายากจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้น กราบทูลว่าจริง จึงตรัสว่า เธอบวชในศาสนาที่จะนำออกจากทุกข์ เห็นปานนี้ เหตุไรจึงไม่เชื่อคำของผู้ที่หวังดี แม้ในกาลก่อน เธอก็ไม่เชื่อคำ ต้องแหลกละเอียด ในช่องลมเวรัมพวาตมาแล้วดังนี้ แล้วทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นนกแร้ง ที่เขาคิชฌกูฏ นกแร้งนั้น มีบุตรเป็นพญาแร้ง ชื่อ สุปัต ซึ่งมีกำลังมาก มีนกแร้งหลายพันเป็นบริวาร พญาแร้งนั้น เลี้ยงดูมารดาบิดา แต่เพราะความที่ตนมีกำลังมาก จึงบินไปไกลเกินควร บิดาได้กล่าวสอน พญาแร้งนั้นว่า ลูกรัก เจ้าไม่ควรไปเกิน ที่ประมาณเท่านี้ พญาแร้งนั้น แม้รับคำว่า ดีแล้วก็จริง แต่วันหนึ่งเมื่อฝนตกใหม่ๆ ได้บินไปกับนกแร้งทั้งหลาย ทิ้งนกแร้งทั้งหลายเสีย ตนเองบินสูงเกินภูมิของนก ถึงช่องลมเวรัมพวาต ได้ถึงความเป็นผู้แหลกละเอียด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 609
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาทั้งหลายเหล่านี้ว่า :-
ทางบนยอดเขาคิชฌกูฏ มีชื่อว่า ปริสังกุปถะ มาแต่ดึกดำบรรพ์ นกแร้งเลี้ยงดูมารดาบิดา ผู้ชราอยู่ที่ทางนั้น.
โดยมากไปเที่ยวหา มันข้นงูเหลือม มาให้มารดาบิดาเหล่านั้นกิน ฝ่ายบิดารู้ว่า นกแร้งสุปัต มีปีกแข็งแล้ว มีกำลังมาก มักร่อนขึ้นไปสูง เที่ยวไปไกลๆ จึงได้กล่าวสอนลูกว่า.
แน่ะ พ่อ เมื่อใดเจ้าเห็นแผ่นดิน มีทะเลล้อมรอบกลม ประหนึ่งว่ากงจักร ลอยลิบๆ อยู่ ดุจใบบัวลอยอยู่ในน้ำ เจ้าจงรีบกลับเสียจากที่นั้น อย่าบินต่อจากนั้นไปอีกเลย.
นกแร้งสุปัต เป็นสัตว์มีร่างกายสมบูรณ์ มีกำลังมาก มีปีกแข็ง บินขึ้นไปถึงอากาศเบื้องบน โดยกำลังเร็ว เมื่อเหลียวกลับมาแลดู ภูเขา และป่าไม้ทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 610
ก็ได้เห็นแผ่นดิน มีทะเลล้อมรอบกลม ดุจกงจักร เหมือนคำของบิดาบอกไว้.
นกแร้งสุปัต ก็บินล่วงเลยที่นั้น ไปเบื้องหน้าอีก ยอดลมแรงแข็งกล้า ได้ประหารนกแร้งสุปัต ผู้มีกำลังมากนั้น ให้แหลกละเอียด.
นกแร้งสุปัต บินเกินไป ไม่สมามารถจะกลับ จากที่นั้นได้อีก ตกอยู่ในอำนาจลมเวรัมพวาต ถึงความพินาศแล้ว.
เมื่อนกแร้งสุปัต ไม่ทำตามโอวาทของบิดา บุตรกรรยา และนกแร้งอื่นๆ ที่อาศัยเลี้ยง ชีพด้วย ก็พากันถึงความพินาศไป ด้วยกันหมด.
แม้ในศาสนานี้ ก็เหมือนกัน ผู้ใดไม่เชื่อถ้อยฟังคำของผู้ใหญ่ ผู้นั้นเป็นผู้ชื่อว่า ล่วงศาสนา ดังนกแร้งไปล่วงเขตแดน ต้องเดือดร้อน ฉะนั้น ผู้ไม่ทำตามคำสอนของผู้ใหญ่ ย่อมถึงความพินาศทั้งหมด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 611
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริสงฺกุปโก คือมีชื่อว่า สังกุปถะ มนุษย์ไปหาเงินทอง ต้องตอกหลักผูกเชือก ขึ้นไปบนถิ่นนั้น เพราะเหตุนั้น ทางเดินเท้าบนคิชฌบรรพตนั้น ท่านจึงเรียกว่า สังกุปถะ.
ทางใหญ่บนยอดเขาคิชฌกูฏ ชื่อว่า คิชฺฌปโถ บทว่า สนนฺตโน แปลว่า มีมาแต่ดึกดำบรรพ์. บทว่า ตตฺราสิ ความว่า ใกล้ ทางเดินเท้าชื่อ สังกุปถะ บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้น ได้มีนกแร้งตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ นกแร้งตัวนั้น เลี้ยงดูมารดาบิดาผู้ชราแล้ว. สองบทว่า อชครํเมทํ เท่ากับ อชครเมทํ แปลว่า มันข้นงูเหลือม. บทว่า อจฺจาหาสิ คือ นำมาแล้วมากมาย. บทว่า พหุตฺตโต เท่ากับ พหุตฺตโส แปลว่า โดยมาก. บทว่า ชานํ อุจฺจํ ปปาตินํ ความว่า บิดาได้สดับว่า บุตรของท่าน โลดแล่นขึ้นสู่ที่สูงเกินไป จึงรู้ว่านกแร้งสุปัตนี้ มักร่อนขึ้นที่สูง. บทว่า เตชสึ ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยเดชของบุรุษ. บทว่า ทูรคามินํ คือ ไปไกลด้วยเดชนั้นเอง. บทว่า ปริปฺลวตฺตํ คือ ลอยลิบๆ อยู่ดุจใบบัวลอยอยู่ในน้ำ. บทว่า วิชานหิ เท่ากับ วิชานาสิ แปลว่า รู้. บทว่า จกฺกํว ปริมณฺฑลํ ความว่า บิดากล่าวสอนอย่างนี้ว่า เมื่อใดชมพูทวีป อันล้อมรอบด้วยทะเล ปรากฏแก่เจ้า ผู้ดำรงอยู่ในถิ่นนั้น ประหนึ่งว่า กงจักร เจ้าจงรีบกลับเสียจากที่นั้น. บทว่า อุทฺธํ ปตฺโตสิ ความว่า นกแร้งสุปัต ไม่กระทำตามโอวาทของบิดา วันหนึ่ง ได้บินไปกับนกแร้งทั้งหลาย ทิ้งนกแร้งเหล่านั้นเสีย ได้บินขึ้นไป ถึงที่ที่บิดาบอก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 612
แล้ว. บทว่า โอโลกยนฺโต คือ เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว มองดูข้างล่าง. บทว่า วงฺกงฺโค เท่ากับ วงฺกคีโว แปลว่า เอี้ยวคอลงมา. บทว่า ยถสฺสาสิ ปิตุสฺสุตํ ความว่า ได้แลเห็น เหมือนกับคำ ที่ตนได้ฟังมาจาก สำนักของนกแร้งผู้บิดา ฉะนั้น บาลีว่า ยถาสฺสาสิ ดังนี้ก็มี. บทว่า ปรเมว ปวตฺตถ ความว่า บินล่วงเลย จากที่ที่บิดาบอก แล้วขึ้นไปเบื้องหน้าอีก. บทว่า ตญฺจ วาตสิขา ติกฺขา ความว่า ยอดลมเวรัมพวาต อันแรงแข็งกล้า ได้ประหาร คือ ได้ขจัดนกแร้งสุปัต ผู้ไม่กระทำตามโอวาท ผู้แม้จะเป็นสัตว์ ที่มีกำลังมากนั้นแล้ว ได้แก่ ได้กระทำให้แหลกละเอียดแล้ว. บทว่า นาสกฺขาติคโต ตัดบทเป็น นาสกฺขิ อติคโต แปลว่า ไม่สามารถจะกลับจากที่นั้นได้.
สัตว์ชื่อว่า โปโส. บทว่า อโนวาทกเร ความว่า เมื่อนกแร้งสุปัตนั้น ไม่ทำตามโอวาทของบัณฑิตทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ก็พากันประสบทุกข์อันใหญ่หลวง. บทว่า อกตฺวา วุฑฺฒสาสนํ ผู้ไม่ทำตามคำสอน ของผู้ใหญ่ผู้หวังประโยชน์ ย่อมถึงความพินาศ คือ ทุกข์ใหญ่อย่างนั้น เหมือนกัน.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ฉะนั้น เธอจงอย่าเป็นเหมือนนกแร้ง จงเชื่อถ้อยคำ ของผู้ที่หวังดี ภิกษุนั้น เมื่อพระศาสดาตรัสสอน อย่างนี้แล้ว ได้เป็นผู้ว่าง่าย ตั้งแต่นั้นมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 613
พระศาสดา ครั้นทรงนำ พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า นกแร้งว่ายาก ในกาลนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายาก ในบัดนี้ ส่วนนกแร้ง ผู้เป็นบิดาในกาลนั้น ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา คิชฌชาดกที่ ๑