ผมชอบลืมตัวไปคิดเรื่องโลก เช่น อากาศไม่มีที่สิ้นสุด แผ่นดินไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งที่รู้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ยังจะพยายามคิดหาความสิ้นสุดให้ได้ จนทำให้ตัวเองจิตเสียและมีปัญหาทางด้านจิตใจตามมา รู้สึกเป็นทุกข์ใจไม่อยากรับรู้อะไร เสียความเป็นตัวเอง แล้วอาการความคิดเช่นนี้ก็เป็นอยู่เรื่อยๆ ส่วนตัวผมเองก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย ผมควรทำเช่นไร
ขอบพระคุณที่ช่วยเหลือครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปัญหา มี เพราะ อกุศล เพราะฉะนั้น ทุกข์ใจเพราะ กิเลส เพราะ โลภะที่อยากรู้คำตอบ อยากให้เป็นไปอย่างนั้น หนทางการแก้ไข คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก นั่นคือ ยอมรับความจริงว่า สิ่งที่เราไม่รู้ ก็ไม่สามารถรู้ได้ คิดไปก็เท่านั้น เพราะว่า เราไม่มีปัญญา ที่จะรู้ความจริงในสิ่งที่คิดว่าเป็นอย่างไร และ สิ่งที่อยากจะรู้ มีโลกมีที่สุดหรือไม่ รู้ไปก็ไม่ได้เป็นประโยชน์กับตนเองเลย เพราะ แม้จะรู้ไป ก็ไม่ทำให้กิเลสลดลง ซึ่งหนทางที่ถูก คือ การสะสมความคิดใหม่ ที่เป็นความคิดที่เป็นไปในทางเห็นถูก หรือ สะสมความคิดที่ดี เป็นกุศลธรรมในขณะนั้น ซึ่ง การจะสะสมความคิดที่ดี เช่นคิดให้ทาน คิดทำบุญ คิดไปในทางที่เข้าใจว่า ในขณะนี้เป็นแต่เพียงธรรม
การสะสมความคิดใหม่ที่มี สามารถสะสมใหม่ได้ ด้วยอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะ หากไม่ฟังสิ่งที่ถูก จะคิดใหม่ในสิ่งที่ถูกได้อย่างไร ก็จะต้องวนเวียนไปในความคิดที่ผิด ในสิ่งที่ไม่ควรคิด และ เมื่อคิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด หาคำตอบไม่ได้ ก็คิดวนเวียนไปด้วยอกุศล ก็ทำให้เกิดปัญหาทางจิต คือ จิตเป็นอกุศลบ่อยๆ
หนทางที่ถูก คือ ไม่ใช่การบังคับไม่ให้คิดในเรื่องเดิม มีเหตุปัจจัยก็ต้องคิดแน่นอนครับ แต่ สะสมความคิดใหม่ นั่นคือ การฟังพระธรรมในสิ่งที่ถูก ก็จะทำให้ความคิดใหม่ที่ถูก เกิดแทรกในขณะที่คิดผิด คิดในเรื่องที่ไม่ควรคิด ครับ
ซึ่งขอให้ความคิดใหม่ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ในเรื่องประเด็นนี้ครับ
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า เรื่องที่ไม่ควรคิด คือ เรื่องที่ไม่สามารถรู้คำตอบได้ เพราะ ตนเองไม่มีปัญญาที่จะรู้ได้ คือ เรื่อง จักรวาล โลกมีที่สุด หรือ ไม่ที่สิ้นสุด เป็นต้น เพราะ เมื่อคิดแล้ว ไม่ได้คำตอบ ย่อมทำให้เกิดอกุศล และความคิดเรื่องนั้นไม่เป็นประโยชน์ เพราะ ไม่สามารถละคลายกิเลสได้ ครับ
และ มีเรื่องที่พระภิกษุเข้ามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า โลกมีที่สุด หรือ ไม่มีที่สิ้นสุด
พระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบ เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่อง ไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าทรงอุปมาว่า เปรียบเหมือนคนถูกลูกศร ใกล้จะตาย มีบุคคลพาเขาไปหาหมอ ผู้ที่ถูกศร ถามหมอว่า ลูกศรที่ถูกยิง ทำจากไม้อะไร ถ้าไม่ตอบ ไม่บอก ก็จะไม่ให้รักษา บุคคลนั้น ก็คงจะต้องตายเพราะไม่ได้คำตอบ เพราะ ไม่ยอมรักษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
ผู้ที่อยากจะรู้ในสิ่งที่ไม่เป็นระโยชน์กับชีวิต คือ เรื่องโลก ทั้งๆ ที่ตัวเอง ป่วยหนัก คือ ถูกโรคกิเลสที่ทำร้ายจิตใจอยู่ แทนที่จะหาวิธีรักษาโรคร้ายแรง คือ กิเลส แต่กลับไปอยากรู้ในสิ่งที่ไม่สามารถละกิเลสได้ กลับทำให้สงสัย และ เพิ่มเกิเลสเข้าไปอีก เพราะ ไม่สามารถรู้ได้ ครับ
ดังนั้น เมื่อเข้าใจว่าเหตุที่แท้จริง คือ กิเลสที่ทำให้ทุกข์ ควรที่จะแสวงหาธรรมที่ทำให้ละกิเลสที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระรรมที่ทำให้สะสมความคิดใหม่ ครับ
คิดเป็นคิด
ไม่ว่าจะคิดเรื่องโลก
หรือ คิดเรื่องธรรม
ดังนั้น จะเข้าใจสภาพคิด
หรือจะห้ามไม่ให้คิด
... ด้วยความเป็นเรา
(ยิ่งมีเรา ยิ่งเดือดร้อนนะคะ)
ต้องรู้จักคิด รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์ คิดแล้วกุศลเจริญก็ควรคิด แต่ถ้าคิดแล้ว ไม่มีประโยชน์ อกุศลเจริญก็ไม่ควรคิด แม้ว่าจะห้ามความคิดไม่ได้ แต่ก็ค่อยๆ สะสมความคิดที่ดี ที่เป็นประโยชน์ได้ เริ่มด้วยการฟังธรรม เพราะพระธรรมทำให้เราเปลี่ยนจากความคิดที่ไม่ดีเป็นความคิดที่ดีได้ ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องของความไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสิ่งที่นับไม่ได้ เรียกว่า อนันตะ มี ๔ อย่าง คือ
- อากาศเป็นอนันตะไม่มีที่สิ้นสุด
- จักรวาลเป็นอนันตะ
- หมู่สัตว์ เป็นอนันตะ และ
- พระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอนันตะ ไม่มีที่สิ้นสุดนับไม่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้ผู้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรอง เป็นความเข้าใจของผู้ฟังเอง ขอเพียงเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม ซึ่งก็หมายถึงสิ่งที่มีจริงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เป็นธรรม เพราะในการฟัง การศึกษาพระธรรม นั้น เป็นการศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีในขณะนี้จริงๆ ซึ่งตัวสภาพธรรมจริงๆ นั้น มีลักษณะเฉพาะของตนๆ มีจริงในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย และสามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้
สิ่งสำคัญ คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นปัญญาของตนเอง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ นี้แหละคือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็คืเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ไปรู้ในสิ่งที่ไม่สามารถรู้ได้ และ แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็คิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ควรที่จะคิดเป็นไปกับด้วยกุศล ไม่ใช่ด้วยกำลังของอกุศล ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ครับเป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ เมื่อมีความคิดประเภทนี้ จิตผมเป็นอกุศลค่อนข้างรุนแรงครับ และที่ผ่านมา ผมก็ได้แต่แก้ปัญหาด้วยการพยายามไม่คิดครับ แต่ก็ไม่มีทางหนีพ้นครับ ต้องกลับมาคิดจนได้ครับทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจและไม่อยากคิดครับ เพระาเป็นอกุศลแล้วเป็นทุกข์ใจมากครับ ทั้งบั่นทอนสติปัญญา จนทำอะไรแทบไม่ได้ครับ เพราะวนเวียนอยู่กับอกุศล ครับ
ขอขอบพระคุณผู้มีความกรุณาทุกท่านครับที่เมตตาแสดงธรรมที่ถูกต้องมาตลอดครับ
การได้ฟังธรรมที่ถูกต้อง ทำให้รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งคร้บ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ความคิดก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา"
"แทนที่จะไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็คิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง
ควรที่จะคิดเป็นไปด้วยกับกุศล ไม่ใช่ด้วยกำลังของอกุศล"
"เริ่มด้วยการฟังพระธรรม เพราะพระธรรมทำให้เราเปลี่ยน
จากความคิดที่ไม่ดีเป็นความคิดที่ดีได้"
"หนทางที่ถูก คือ ไม่ใช่การบังคับไม่ให้คิดในเรื่องเดิม มีเหตุปัจจัย ก็ต้องคิดแน่นอนครับ
แต่สะสมความคิดใหม่ นั่นคือ การฟังพระธรรมในสิ่งที่ถูก ก็จะทำให้ความคิดใหม่ที่ถูกเกิด
แทรกในขณะที่คิดผิดคิดในเรื่องที่ไม่ควรคิด ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
ประโยชน์ของการฟังพระธรรมก็คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ซึ่งน่าคิดน่าพิจารณากว่าการคิดเรื่องโลก เรื่องอากาศไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องแผ่นดินไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถรู้ได้ ...
แต่สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ควรเข้าใจ เพราะมีจริงๆ คิดก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่เรื่องที่คิดเรื่องโลก เรื่องต่างๆ มากมาย แท้จริงแล้วไม่มีสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่มีใครสามารถบังคับให้คิด หรือไม่ให้คิดได้ เพราะคิดก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แต่ความเข้าใจธรรมที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จะเป็นเหตุให้แม้ขณะที่คิดก็ยังสามารถเข้าใจถึงความไม่มีสาระในสิ่งที่คิด ไม่มีอะไรที่จริงเลย
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...