ขณะปวดฟันจะระลึกเวทนาอย่างไร
โดย ฉีฟ่งจื้อ  13 มี.ค. 2560
หัวข้อหมายเลข 28673

เรียน ท่านวิทยากร ขอเรียนถามว่าขณะปวดฟันรู้สึกทรมานมากจะทานอาหารก็ไม่ได้ก็พยายามระลึกรู้เวทนาความรู้สึกปวดว่าไม่ใช่เราปวดเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถระลึกรู้ได้ ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรครับ ขอบพระคุณและขอขออนุโมทนาครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 13 มี.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่มีคำว่าทำอย่างไร เพราะ ทำไม่ได้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติเป็นธรรม เมื่อสติเป็นธรรมก็เป็นอนัตตาด้วย จึงไม่สามารถที่จะลือกอารมณ์ให้สติระลึกรู้ได้เลย ครับ

ท่าน อ.สุจินต์...เพราะฉะนั้น จะไม่มีทางเลยที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของสติว่า ถ้าสติระลึกแล้ว ระลึกเก่ง กว่าตัวตนที่กำลังไปพยายามกำหนด เพราะว่าไปพยายามกำหนด กำหนดอะไร รูปอย่างเดียว นามอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความละเอียดของสภาพธรรมซึ่งวิจิตรมาก ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะรู้ได้ว่า อนัตตา เลือกอารมณ์ให้ปัญญารู้ไม่ได้ เวลาที่เรากำลังเห็น แล้วเราค่อยๆ ระลึกรู้ว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เวลาที่กำลังได้ยิน ค่อยๆ ระลึกว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ยังไม่ใช่ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด เพียงแต่ว่าเป็นการปูทาง หรืออบรมเจริญปัญญาให้มีกำลังที่ว่า เมื่อถึงกาลที่วิปัสสนาญาณจะเกิด สติจะระลึกลักษณะของนามรูปซึ่งเราไม่เคยคิดหวังหรือรอคอยว่า จะต้องเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ คือไม่มีทางที่จะไปทำความเป็นอัตตาให้เกิดขึ้น เพราะว่าเรากำลังเตรียมอย่างนี้ เพราะฉะนั้น รูปนี้จึงปรากฏ เพราะเหตุว่าทั้งนามธรรมรูปธรรมเกิดดับเร็วมาก แล้วก็ตามเหตุตามปัจจัยด้วย

เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมปรุงแต่งให้สภาพธรรมใดเกิด แล้วสติระลึก คนนั้นจะรู้ทันทีว่า ไม่มีตัวเราหรือว่าไม่มีกำลัง หรือว่าไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงหรือบันดาลได้ เมื่อพร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่สัมมาสติเกิดระลึก แล้วขณะนั้นพร้อมที่จะรู้แจ้ง ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าอบรมมามากในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีความหวั่นไหวเวลาที่สัมมาสติระลึก สภาพธรรมก็ปรากฏตามความเป็นจริงได้

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรมสั้นๆ แล้วท่านสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านไม่ต้องไปที่อื่นเลย ไม่มีความหวังว่า ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะเหตุว่าปัญญาอบรมแล้วพร้อมที่เมื่อสัมมาสติจะระลึก ซึ่งเก่งมากกว่าตัวตนเหลือเกิน ตัวตนอย่าได้ไปคิดเลยว่า จะระลึกได้อย่างสติที่เป็นสัมมาสติ

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความเป็นอนัตตานี้คืออย่างนี้ แล้วการละการยึดถือสภาพธรรมและความหวังผล ก็จะต้องเป็นไปในรูปนี้ แต่ถ้าไปด้วยความหวัง ก็ไม่มีอะไรที่จะละความหวังอันนั้น แล้วโลภะก็จะติดตามไปซ่อนเร้นเหมือนอย่างทุกวัน เราเกิดมาลืมตาขึ้นมาก็เป็นไปตามโลภะ โดยไม่รู้ แล้วก็จะไปตามโลภะ ให้ไปที่โน้นที่นี้อีก ก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้น ก็ถูกโลภะจูงไปตลอดไม่มีทางที่จะหันกลับมารู้ความจริงว่า โลภะอยู่ตรงนี้ เพราะเหตุว่าให้ไปตรงนั้น แต่ถ้าโลภะไม่อยู่ตรงนี้ สติก็ระลึกตรงนี้ ปัญญาก็สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมทีละเล็กทีละน้อย


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 13 มี.ค. 2560

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ควรไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ควรอย่างยิ่งที่จะมีการเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการอบรมเจริญปัญญา จริงๆ เพราะธรรมมีจริงในขณะนี้ ทุกขณะ ไม่พ้นจากธรรม แม้แต่ขณะที่ปวด ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราที่ปวด แต่ไม่ใช่มีความจดจ้องที่จะไปรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด จึงต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะมั่นคงในความเป็นจริงของธรรมจริงๆ ว่า เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่เรา ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจหน้าที่รู้ถูกเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..


ความคิดเห็น 3    โดย ประสาน  วันที่ 14 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย wannee.s  วันที่ 14 มี.ค. 2560

ต้องมีความเข้าใจธรรมเป็นเบื้องต้นก่อน ตัวตนระลึกอย่างไรก็ไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าใจว่าธรรมะ ธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ปวดมีจริงเป็นธรรมะ จะบังคับไม่ให้ปวดก็ไม่ได้เพราะเป็นอนัตตาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย kullawat  วันที่ 15 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย kukeart  วันที่ 18 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย thilda  วันที่ 18 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย p.methanawingmai  วันที่ 21 มี.ค. 2560

สาธุค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 31 มี.ค. 2560

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ