หทเย นิเธตพฺพยุตฺตกํ
(ข้อความที่ควรเก็บไว้ในหทัย)
[๕๖๓]
กิเลสเกิดมากในชีวิตประจำวัน
ทุกชีวิตก็คือการเกิดขึ้นของปรมัตถธรรม สภาพธรรมคือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้) ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้เลย และถ้าสติเกิดจริงๆ ระลึกจริงๆ ก็จะรู้ได้ทันทีว่า กิเลสหรืออกุศลธรรมเกิดขึ้นทำกิจของกิเลสและอกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลาที่วิบากจิตหรือกุศลจิตไม่เกิด
นี่จึงจะเป็นผู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นตัวเองชัด มีอะไรนอกจากกิเลสเกิด ทำกิจการงานของกิเลสตลอดเวลาที่ไม่ใช่วิบากและไม่ใช่กุศล เพราะว่าวิบากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายกระทบสัมผัส หลังจากนั้นคืออะไร กิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลสตลอดเวลา คิดดูนี่คือผู้ที่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่างๆ จริงๆ จะระลึกขณะใดจะเห็นกิเลสในขณะนั้น แม้แต่ความสนุกที่ว่าก็เป็นชีวิตจริงของทุกท่าน ซึ่งก็คือกิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลสนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาทางโลก ก็คือกิเลสเกิดขึ้นทำกิจของกิเลส จะปรุงอาหารให้อร่อย กิเลสก็เกิดขึ้นทำกิจของกิเลส จะคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนาน กิเลสก็เกิดขึ้นทำกิจของกิเลส ขณะใดที่เป็นกุศลเท่านั้น เช่น เป็นไปในทาน หรือเป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต หรือการอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ
จะเห็นได้จริงๆ ว่า ถ้ารู้ชัดในสภาพของธรรมแล้วก็จะเห็นแต่กำลังของกิเลสซึ่งมีมากเหลือเกิน เมื่อเห็นกิเลสแล้วจึงเป็นผู้ที่กระทำกิจที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมเพื่อที่จะละคลายกิเลส มิฉะนั้นแล้วไม่มีทางอื่น จะใช้หนทางอื่นวิธีอื่นที่จะดับกิเลสเป็นไปไม่ได้เลย ต้องอาศัยการฟังการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ จนกระทั่งรู้ว่าหนทางเดียวที่จะดับกิเลสได้ คือปัญญาที่เจริญจนกระทั่งสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยสภาพที่เป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... เก็บไว้ในหทัย
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ