ในหมู่วัยเรียนและวัยทำงานมีการนำเรื่องนี้มาล้อเลียนกันมาก เรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะตอนประสูติเกิดออกมาเดินได้ ๗ ก้าว มีดอกบัวมารับ อยากเรียนถามท่านวิทยากรว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ มีการกล่าวถึงในพระสูตรหรืออรรถกถาใดบ้างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่เหมือนกันบางอย่าง ไม่ได้หมายความว่า บางอย่างที่เหมือนกัน จึงสรุปว่า ทั้งสองสิ่งนั้นจึงเหมือนกันทั้งหมดครับ เมื่อกล่าวกันโดยสัจจะ ความจริง สัตว์โลกที่สมมติขึ้นว่าเป็น มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เทวดา เป็นต้น มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ จิต เจตสิกและรูป คือ มีขันธ์ ๕ มีสภาพธรรมเหมือนกัน มี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่เหมือนกันเหล่านั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัดสินว่า มนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัว เทวดาทั้งหมดจะเหมือนกันทุกอย่าง เพราะอะไรครับ เพราะ จิต ไม่ได้มีดวงเดียว ไม่ได้มีประเภทเดียว เจตสิกไม่ได้มีดวงเดียว ประเภทเดียว และรูปก็ไม่ได้มีรูปเดียว ประเภทเดียว ดังนั้น จิตมีหลากหลาย เจตสิกก็มีหลายหลาย รูปก็หลากหลาย ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกันไปครับ
จิตที่หลากหลาย มีทั้ง จิตที่ดีและ จิตที่ไม่ดี เป็นต้น เจตสิกที่หลากหลาย ก็มีทั้งเจตสิกที่ดีและเจตสิกที่ไม่ดี เป็นต้นและรูปที่หลากหลาย ก็มีรูปที่ประณีต และ ไม่ประณีต เป็นต้น ดังนั้น สัตว์โลกต่างกัน ตามการสะสม ตามประเภทของจิตที่เกิดต่างๆ กัน สัตว์เดรัจฉาน เมื่อเกิดขึ้น เดินได้ทันที เพราะการเดินได้ ไม่ได้ตัดสินว่า สัตว์นั้นจะประเสริฐ เพราะเดินได้เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาธรรมส่วนอื่นๆ นั่น คือ จิต เจตสิกทีเกิดขึ้น เพราะสัตว์จะประเสริฐบริสุทธิ์ ด้วยคุณธรรม ด้วย จิตที่ดี จิตที่บริสุทธิ์และเจตสิกทีดีเกิดขึ้นครับเพราะฉะนั้น สัตว์เดรัจฉาน เกิดด้วยผลของกรรมที่เป็น อกุศลวิบาก จึงเป็นสัตว์ในทุคติภูมิ ด้วยเกิดจากผลของกรรมที่ไม่ดี จึงไม่สามารถบรรลุ และอบรมปัญญาได้ ส่วนมนุษย์ ที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์
แม้จะเกิดมา แต่เดินไม่ได้ ก็ไม่ได้ตัดสินที่เดินไมได้ จึงไม่ประเสริฐ ไม่อัศจรรย์ เพราะตามที่กล่าวแล้ว สัตว์จะประเสริฐ บริสุทธิ์ได้เพราะจิตที่ดี ที่บริสุทธ์ มนุษย์เกิดด้วยผลของกุศลกรรม หากสะสมความดี จิตที่ดีและเจตสิกที่ดีมา ก็สามารถเป็นผู้ประเสริฐ เพราะสามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้ครับ นี่คือ ความต่างกันของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน แม้บางอย่างเหมือนกัน คือ มี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เหมือนกัน แต่ก็ต่างกัน ตามจิตเจตสิกทีเกิดขึ้น แตกต่างกันไป ตามการสะสมและตามผลของกรรมที่ทำให้เกิดแตกต่างกันครับ
เห็นไหมครับว่า เราคงไม่ตัดสินเพียงบางอย่างเท่านั้น แต่ธรรมเป็นเรื่องละเอียดที่จะต้องพิจารณาไปถึง สัจจะ ความจริงที่เป็นตัวปรมัตถธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูป และการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่บัญญัติว่าเป็นมนุษย์และสัตว์ครับ
คราวนี้ก็มาเปรียบเทียบประเด็นต่อไปในระหว่าง พระโพธิสัตว์ที่ประสูติก็เดินได้กับสัตว์ก็เดินได้ ดูไม่ต่างกับลูกวัว ลูกควาย ตามที่กล่าวแล้ว ในความเห็นข้างต้น สิ่งที่เหมือนกันบางอย่าง (มีจิต เจตสิก รูปเหมือนกัน) แต่ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทั้งหมดและความเห็นที่กล่าวมา แม้สัตว์เดินได้ แต่มนุษย์ทั่วไปเดินไม่ได้ สัตว์ก็ไม่ได้อัศจรรย์กว่ามนุษย์เพราะเดินได้ครับ แต่ต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วยครับ
ส่วนพระโพธิสัตว์ประสูติเดินได้ เหมือนกับสัตว์ แต่ต่างกันที่ จิตทีเกิดขึ้นของพระองค์จิตนั้นสะสมคุณความดีมามากมาย บำเพ็ญบารมีมานับไม่ถ้วน จิตนั้นจึงเป็นสิ่งที่ดี พร้อมๆ กับเจตสิกที่ดีทีเกิดขึ้น โดยเฉพาะ ปัญญาเจตสิก คือ ความเห็นถูก ที่พระองค์สะสมปัญญามามากมาย เมื่อก่อนประสูติ พระองค์ก็มีสติสัมปชัญญะ ลงมาปฏิสนธิในครรภ์ ขณะที่อยู่ในครรภ์ก็มีสติ สัมปชัญญะและเมื่ออกจากครรภ์ ขณะที่ประสูติ พระองค์ก็มี สติสัมปชัญญะ นี่คือ ความแตกต่างกันของปัญญา ของความรู้ตัว มีสติ สัมปชัญญะ ซึ่ง แม้มนุษย์ปุถุชน ก็ไม่มีสติสัมปชัญญะทั้ง ๓ กาล คือ ขณะที่เกิด (ปฏิสนธิ) ขณะที่อยู่ในครรภ์และขณะที่คลอด (ข้อความในอรรถกถา สัมปสาทนียสูตร) ไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์เดรัจฉานเลยครับ ที่เป็นภพภูมิที่ต่ำว่ามนุษย์ อันนี้แสดงให้เห็นถึงความต่างของ พระโพธิสัตว์ กับ สัตวเดรัจฉาน ที่เป็นนามธรรม ที่เป็น สติและปัญญาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ก็ตาม แต่พอที่จะเข้าใจได้ครับ
คราวนี้ มาพูดถึงสิ่งที่สามารถเห็นได้ทางตา หากเราอ่านรายละเอียดในพระธรรม ตอนที่พระโพธิสัตว์ประสูติ พระโพธิสัตว์ ไม่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก ดังเช่น มนุษย์เมื่อคลอดหรือ สัตว์เดรัจฉานคลอด จะมีสิ่งสกปรก มี น้ำคร่ำ เป็นต้น พระโพธิสัตว์ บริสุทธิ์สะอาดนี่ก็ต่างกันประการหนึ่งพระโพธิสัตว์ประสูติ ยืนลงมาทันที เหมือนพระธรรมกถึก ลงมาจากธรรมาสน์ เหมือนบุคคลเดินลงจากบันได ไม่มี ขาอ่อนแรง ต้องค่อยๆ ขยับตัว ให้ทรงตัวได้ เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่คลอดแล้ว ตัวก็ล้มลงไปก่อน ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หรือ ยืนได้ ก็ขายังไม่มั่นคงนี่ก็ต่างกันประการหนึ่ง
พระโพธิสัตว์เมื่อประสูติ พระพรหมทั้ง ๔ องค์ ก็มารองรับด้วยข่ายทอง ต่างกับสัตว์เดรัจฉาน และมนุษย์ที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ และเมื่อพระองค์ประสูติ สายธารสองสายก็ไหลลงมารด พระโพธิสัตว์ ผู้ประสูติ เพื่อบูชาพระองค์
ประวัติต่อมาก็คือ พระโพธิสัตว์มีปัญญาสะสมมามาก จึงเหลียวมองทั้ง ๑๐ ทิศ ตรวจดูด้วยปัญญาของพระองค์ ว่าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าพระองค์เลยในทิศไหนๆ จึงเสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าวเปล่งอาสภิวาจา วาจาที่เปล่ง ว่าพระองค์เป็นผู้เลิศที่สุดครับ จะเห็นนะครับว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พระองค์มีปัญญา พิจารณาใคร่ครวญตามความเป็นจริง แล้วจึงเดินด้วยเป็นพุทธประเพณีที่จะต้องเสด็จไปเจ็ดก้าวและก็เปล่ง อาสภิวาจาครับ แต่สัตว์เดรัจฉาน มากไปด้วยความไม่รู้ เดินได้ แต่ก็ไม่รู้อะไร หลงลืมสติ ปราศจากปัญญาครับนี่คือ แตกต่างกันอย่างแท้จริง และขณะที่พระโพธิสัตว์ประสูติ แผ่นดินก็ไหว บุพนิมิตนิมิตอันประเสริฐ ๓๒ ประการ มี แผ่นดินไหว เป็นต้นก็เกิดขึ้น เป็นความอัศจรรย์ของผู้มีบุญครับ ซึ่งสัตว์อื่นไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้เลย เพราะไม่ไ่ด้สะสมบุญ บารมีมาเท่าพระองค์
จะเห็นนะครับว่า การเดินได้ แม้เหมือนกัน แต่ต่างกัน ที่ความมีปัญญา สติสัมปชัญญะแม้กำลังจะเดิน แต่สัตว์เดรัจฉาน เป็นผู้หลง ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญาเหมือนพระองค์เลยครับ และ จิต เจตสิกทีเกิดขึ้น สะสมมาก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตามที่ได้อธิบายมาคนที่จะเชื่อก็ต้องสะสมศรัทธา สะสมปัญญามาจึงจะเลื่อมใส เชื่อในเหตุผลในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะพระธรรม ไม่สาธารณะกับสัตว์โลกทุกคน ส่วนผู้ที่ไม่ได้สะสมศรัทธา มีความเห็นผิด ก็ไม่มีทางเชื่อในสิ่งที่อธิบายเลยครับ แต่ความจริงไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าผู้นั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระุภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 73] พระสุตตันต ปิฎกขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม๙ ภาค๒ - หน้าที่๖๙๘
พระโพธิสัตว์ทรงเหลียวแลดูทิศทั้ง ๑๐ ทิศ ไม่เห็นผู้ที่เสมือนกับพระองค์จึงบ่ายพระพักตร์มุ่งสู่ทิศอุดร ทรงดำเนินไป ๗ ย่างก้าว และเมื่อดำเนินไปก็ดำเนินไปบนแผ่นดินนั่นแหละ มิใช่ดำเนินไปทางอากาศ ไม่มีผ้า [ปกปิด] ดำเนินไป มิใช่มีผ้าดำเนินไป เป็นทารกอ่อนดำเนินไป มิใช่ทารกอายุ๑๖ขวบดำเนินไป แต่ปรากฏแก่มหาชนเหมือนดำเนินไปทางอากาศ เหมือนประดับตกแต่งพระองค์ และเหมือนมีอายุ ๑๖ ขวบ แต่นั้น ย่างก้าวที่ ๗ ก็ทรงหยุดเมื่อทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส ดังนี้เป็นต้น ทรงเปล่งสีหนาท
พระโพธิสัตว์ผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลกนั้น ย่อมมีสิ่งที่พิเศษกว่าบุคคลอื่น ไม่เหมือนบุคคลธรรมดาทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน ทั้งความคิด การกระทำ พร้อมทั้งความเป็นไปต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระองค์ ล้วนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ทั้งสิ้น พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อที่จะตรัสรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกให้ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงเหมือนอย่างพระองค์ ทั้งเทวดา มนุษย์พรหมทั้งหลาย ต่างก็เคารพสักการะบูชาพระองค์ผู้ยิ่งด้วยพระบริสุทธิคุณพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาคุณโดยที่ไม่มีใครเปรียบเทียบได้ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เสียสละทั้งก่อนจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ตลอดระยะเวลาของการประกาศพระศาสนาเป็นเวลา ๔๕ พรรษา วันหนึ่งๆ พระองค์ทรงพักผ่อนน้อยมาก ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่าไม่มีใครแสดงพระธรรมมากเท่าพระองค์ ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกของสัตว์โลกอย่างแท้จริงจึงทำให้ผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ได้ฟังได้ศึกษา จากที่เคยเต็มไปด้วยกิเลสนานาประการมีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสตามลำดับมรรคได้ สูงสุดคือถึงความเป็นพระอรหันต์หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ถ้ายังไม่ได้บรรลุก็สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไปในภายหน้า ดังนั้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือพระธรรมคำสอนของพระองค์ พระธรรมแต่ละคำๆ นั้นมีค่ามาก เป็นวาจาสัจจ์ ที่แสดงความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริงและทั้งหมดนั้นก็มาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลา๔อสงไขยแสนกัปป์กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ ที่ควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนจะได้ศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไป ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เมื่อปุถุชน ผู้หนักหนาด้วยกิเลสบังอาจเปรียบเทียบล้อเลียนธรรมของตนกับธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีแต่การสะสมความบาปหนาสาหัสเข้าไปอีก
เขาควรมาศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์เพื่อละบาปหนานั้น
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณครับ อนุโมทนาสาธุครับ
ขออนุโมทนาครับ