ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพุธ ที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากร อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ ได้รับเชิญจากคุณนพดลและคุณวรรณี แซ่โง้ว เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ณ คอนโดพระยาภิรมย์ชาโตว์ ริเวอร์โบ้ท ตั้งอยู่ที่ปากซอยเจริญนคร ๖๐ แขวงบุคคโล เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าได้รู้จักคุณวรรณี คือการเพียงได้เห็นการเข้ามาสนทนาแสดงความเห็นทางธรรมกับผู้ที่ตั้งกระทู้ถามในกระดานสนทนาของบ้านธัมมะ ครั้งที่ข้าพเจ้าเริ่มฟังธรรมจากท่านอาจารย์ใหม่ๆ และจากความการสนทนาของท่านอื่นๆ กับคุณวรรณีในกระดานสนทนา ทำให้ทราบว่าคุณวรรณีเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ และทราบอีกว่า เธอเป็นผู้มีจิตใจงาม อาสาทำหน้าที่ให้กับทางมูลนิธิฯ โดยไม่ขอรับค่าตอบแทนใดๆ
ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเข้าไปกราบเท้าท่านอาจารย์ที่มูลนิธิฯ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ได้พบหน้าคุณวรรณีเป็นครั้งแรก แม้ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน แต่เดาว่าเป็นคุณวรรณีจากคำพรรณาต่างๆ ที่เคยทราบจากท่านอื่นๆ ในเวปบอร์ด เมื่อได้พบก็รู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรเป็นเพื่อน ผู้มีความปรารถนาดีที่คุณวรรณีมีต่อทุกคน เมื่อถามความเห็นของคุณวรรณีว่าอยากจะได้เอ็มพีสามกลับไปฟังที่บ้าน คุณวรรณีก็แนะนำปกิณณกธรรม ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ขณะนั้นมี ๑๑ แผ่น ซึ่งคุณวรรณีบอกว่า ท่านอาจารย์บอกว่าชุดนี้ฟังดีมาก ซึ่งก็ดีจริงๆ ตามท่านกล่าว เมื่อนำกลับมา ข้าพเจ้าก็ใส่ไว้ในรถแล้วเปิดฟังทุกวัน ตลอดเวลาที่ขับรถไปรับส่งลูกๆ เรียน ฟังซ้ำไปซ้ำมาจนแทบจะจำได้หมดว่า ต่อไปท่านอาจารย์จะกล่าวว่าอย่างไร ใครจะกราบเรียนท่านอาจารย์ว่าอย่างไร
สำหรับข้าพเจ้า คุณวรรณีเป็นคนน่ารักมาก พูดจาซื่อๆ จนทำให้เมื่อได้พูดคุยด้วย มักจะอดยิ้มกับความซื่อ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นของคุณวรรณีไม่ได้ คุณวรรณีเป็นคนที่ชอบแจกของต่างๆ ให้แก่ผู้อื่นเสมอๆ เจอกันครั้งใด คุณวรรณีเป็นต้องมีของแจกให้ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเต้าหู้หรือน้ำเพื่อสุขภาพต่างๆ ขนม และแผ่นซีดีธรรม การมีโอกาสได้มาฟังการสนทนาธรรมที่บ้านของคุณวรรณีในครั้งนี้ ทำให้ได้พบกับคุณนพดล สามีของคุณวรรณีเป็นครั้งแรก ดูออกถึงอุปนิสัยที่เรียบร้อย สุภาพ เหมาะสมกับคุณวรรณีมากครับ
นอกจากนี้ คุณวรรณี ยังเป็นป้าของหลานชายและหลานสาวคนเก่งอีกถึงสี่คน คือ น้องวอย วรพัชร ปกรณ์ธนภัทร หลานชายคนโต สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข ๓๑๔ (ขอเชิญคลิกอ่าน ... คุณ วรพัชร ปกรณ์ธนภัทร สอบเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราช) น้องวิน วรวุฒิ ปกรณ์ธนภัทร สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข ๒๐๔๒ น้องเวฟ วรภพ ปกรณ์ธนภัทร สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข ๒๐๔๓ (ขอเชิญคลิกอ่าน ... ขอแสดงความยินดีกับคุณวรภพ ปกรณ์ธนภัทร และ ขอแสดงความยินดีกับคุณวรภพ ปกรณ์ธนภัทร) และคนสุดท้าย หลานสาวคนเก่ง น้องวอร์ม วรวรรณ ปกรณ์ธนภัทร สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข ๒๐๔๔ ทั้งหมดนอกจากจะมาฟังธรรมเสมอๆ ที่มูลนิธิฯ แล้ว ยังผลัดกันมาช่วยงานมูลนิธิฯ ในการเป็นทีมงานบันทึกวีดีโอการสนทนาธรรมตามที่ต่างๆ อีกด้วย อนึ่ง ทั้งหมดเป็นลูกของคุณวันชัย ปกรณ์ธนภัทร (สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข ๙๔) น้องชายของคุณวรรณี ซึ่งคุณวันชัยก็เป็นผู้ที่อาสามาช่วยงานด้านการถ่ายทำบันทึกวีดีโอการสนทนาธรรมตั้งแต่เริ่มแรกด้วยเช่นกัน ขออนุโมทนาทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
คุณวรรณีเป็นผู้ที่ได้ติดตามฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยายมานานหลายสิบปีแล้ว เคยเห็นคุณวรรณีจากภาพเก่าๆ ที่คุณลุงประพันธ์ ธรรมจีรัง บันทึกไว้ สมัยที่ท่านอาจารย์บรรยายอยู่ที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร การได้พบกับพระธรรมของแต่ละท่าน แสดงให้เห็นถึงบุญที่ได้เคยสะสมไว้แต่ปางก่อน รวมถึงความเข้าใจธรรมที่มั่นคงขึ้นของบุคคลในแต่ละชาติ ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ผู้ศึกษาและเข้าใจธรรม ย่อมมีชีวิตที่เป็นไปด้วยความเป็นปกติเหมือนบุคคลโดยทั่วไป แต่ที่ต่างกับบุคคลทั่วไปก็คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยความเข้าใจธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังและศึกษาพระธรรม ซึ่งเพราะความเข้าใจธรรมนั้นเอง จะปรุงแต่งให้บุคคล มีความน้อมไปในกุศลธรรม ความดีงามทั้งหลาย มีปัญญาเป็นยอดคือเป็นกุศลธรรมสูงสุดของชีวิตในแต่ละขณะนี้เอง ประการสำคัญที่สุดคือโดยความเป็นอนัตตาด้วย นี่เป็นสิ่งที่ผู้เข้าใจธรรมถูกต้อง จะหลงลืมไม่ได้เลย
สำหรับความการสนทนาในครั้งนี้ ข้าพเจ้าใคร่ที่จะกล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัว เป็นการสนทนาครั้งยอดเยี่ยมครั้งหนึ่งสำหรับบุคคล ที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคง ในหนทางของการอบรมเจริญปัญญา หรือการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เป็นครั้งหนึ่งของการสนทนาที่หายาก ที่ท่านอาจารย์เมตตาแสดงหนทางของการอบรมเจริญปัญญาในแต่ละขั้นโดยละเอียด ชัดเจน ตามลำดับ ด้วยการสนทนากราบเรียนท่านอาจารย์โดยอาจารย์วิชัย ซึ่งเป็นไปโดยลำดับต่อเนื่องดีมากๆ ครับ เป็นครั้งหนึ่งของการสนทนาธรรม ที่ควรค่าอย่างยิ่งแก่การเก็บบันทึกการถ่ายทอดนี้ไว้ เพื่อฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้ว พิจารณาอีก ด้วยว่า ความการสนทนาครั้งนี้ ไพเราะ ซาบซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อความเข้าใจชัดเจนถูกต้องในหนทางอันเอก หนทางเดียวที่จะนำไปสู่การสิ้นทุกข์ได้ ที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ไม่มีหนทางอื่นแน่นอน ครับ
สำหรับความการสนทนาที่จะนำมาบันทึกไว้ เป็นความการสนทนาช่วงแรกของวันนี้ คุณกฤษณา สิทธิรักษ์ ซึ่งเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้ฟังและศึกษาธรรมกับท่านอาจารย์มานานหลายสิบปีแล้วเช่นกัน ได้กราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ถึงเรื่องของวิปัสสนาญานที่ท่านเคยสนใจ แต่ปัจจุบัน ท่านยอมรับว่า ท่านให้ความสำคัญกับ "ความเข้าใจในขั้นการฟัง" มากกว่า ซึ่งก็เป็นข้อความการสนทนาที่ดีมากๆ ที่จะทำให้ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังและอ่าน จะได้พิจารณาถึงแนวทางของการอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้อง ตามที่ท่านอาจารย์กล่าวบ่อยๆ (แต่ดูเหมือนฟังแล้วก็ผ่านไปโดยเผิน) ว่า ไม่ว่าจะฟังสิ่งใด "ฟังและเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง" ข้อความสั้นๆ ที่ดูเหมือนธรรมดาๆ นี้เอง แต่หารู้ไม่ว่า เมื่อเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง ความเข้าใจ (ซึ่งก็คือปัญญา) ที่มีมากขึ้น บ่อยขึ้น สะสมจนมีกำลังขึ้นนั้นเอง ที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิดการปรุงแต่งของความเข้าใจขึ้น ในขณะ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส ที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และที่คิดนึก ในทุกๆ ขณะนี้เอง ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเพราะเหตุปัจจัย โดยความเป็นอนัตตา (บังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการ มิได้) หาใช่ความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลใดเลยทั้งสิ้น หลังการสนทนากับคุณกฤษณา อาจารย์วิชัยก็ได้กราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ ถึงเรื่องวิปัสสนาญานโดยละเอียด ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น ตามคำปรารภของคุณกฤษณา ที่กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า แม้ว่าปัจจุบันท่านจะไม่สนใจแล้ว แต่ก็มีผู้สอบถามบ่อยๆ จึงเป็นที่มาของการแสดงหนทางโดยละเอียดดังได้กล่าวแล้ว ซึ่งท่านที่สนใจ สามารถติดตามฟังได้จากบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ตามลิงค์ยูทูปที่แนบไว้ให้ตอนท้ายของกระทู้นี้แล้วนะครับ
คุณวรรณี กราบท่านอาจารย์ และสวัสดีทุกคนค่ะ วันนี้หนูดีใจมาก ที่ท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่คอนโดพระยาภิรมย์ ต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์มากที่เปิดโอกาสให้หนูเจริญกุศลเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาพบกัน เกื้อกูลกันทางธรรม
ท่านอาจารย์ แล้วก็ประเสริฐสำหรับทุกคน นะคะ
คุณกฤษณา กราบท่านอาจารย์ที่เคารพ และกราบสวัสดีสมาชิกทุกๆ ท่าน ที่มาร่วมกันสนทนาธรรมในวันนี้ ณ ที่นี้ รู้สึกดีใจและขอบคุณน้องวรรณีและคุณนพดลมาก ที่กรุณาเป็นเจ้าภาพ ณ สถานที่ ที่เป็นปฏิรูปเทส ดีใจและรู้สึกว่าบรรยากาศอบอุ่นมากในวันนี้
มีคำถามที่ใคร่จะสนทนาก็คือว่า เท่าที่ได้ฟังท่านอาจารย์เมตตาเกื้อกูลทางธรรมมาโดยตลอด โดยภาพรวมทั้งหมดแล้ว ก็คือ ความสำคัญอยู่ที่ "สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ทีนี้ กว่าที่จะเข้าถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลาย ก็เหมือนกับว่า เราต้องไต่ระดับจากพื้นฐานขึ้นไป ทีละนิดเดียว นิดเดียว ซึ่งมองไม่เห็นในความนิดเดียว นิดเดียว อันนั้น
ก็เหมือนกับว่า ตอนเริ่มศึกษาธรรมใหม่ๆ ก็ยังสนใจที่จะรู้วิปัสสนาญาณเป็นอย่างไร อะไร ตามที่ได้เรียนในตำรา แต่พอฟังท่านอาจารย์มาระดับหนึ่งแล้ว เหมือนกับว่า ไม่ต้องไปสนใจเลยเรื่องวิปัสสนาญานอะไรนี่ แค่สัจจญาณ ความรู้ ความเข้าใจขั้นการฟังให้เข้าใจเสียก่อน
เพราะฉะนั้น ช่วงหลังๆ หนูก็เหมือนกับว่า ไม่ได้คิดที่จะสนใจเรื่องวิปัสสนาญาน แต่พอมีสหายธรรมหรือใครๆ มาถาม ก็ตอบไม่ได้ ก็ต้องไปเปิดปรมัตถธรรมสังเขป อะไรอย่างนี้ ก็อยากกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า สมควรไหม ที่เราจะต้องกลับไปทบทวนวิปัสสนาญานในตำราบ้าง ในหนังสือน่ะค่ะ เพราะว่า จริงๆ แล้ว ไม่อยากไปสนใจตรงนั้น เพราะว่า อยากจะให้ความสำคัญตรง "ความเข้าใจในขั้นการฟัง" แม้แต่ก่อนที่จะถึงสติปัฏฐานจะเกิด คิดว่าตรงนี้สำคัญมากกว่า ขอความกรุณาท่านอาจารย์แนะนำค่ะ
ท่านอาจารย์ ต้องขออนุโมทนานะคะ คุณกฤษณาคะ เพราะนี่เป็นสิ่งที่ยากแสนยาก ที่คนจะเข้าใจ แต่นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ว่า "ก่อนๆ นี้ ไม่ใช่เรื่องละ" กว่าจะมาถึง "การเข้าใจ พอที่จะละ" ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจ ก็คือว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ โดยความเป็นอนัตตา โดยความ "ไม่ใช่เรา ไปพากเพียรพยายาม" กว่าปัญญาของเขาจะค่อยๆ ทำหน้าที่ รู้ว่า จุดประสงค์จริงๆ คืออะไร
พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ไม่พอที่ เพียงคำสองคำ ที่จะบอกว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา "ได้ยิน" ไม่ใช่เรา แต่กว่าพระธรรม จะเรียกให้มารู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ตรงเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง ก็ต้องอาศัย การที่สะสมอกุศลมามากมายมหาศาล ไม่รู้จะเอาอะไรไปขัด ไปละ ไปทำให้ค่อยๆ หลุดไปได้ เพราะเหตุว่า ประมาณไม่ได้เลยในเรื่องของความไม่รู้ กับความเป็นตัวเรา
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ก็ต้อง ฟังด้วยความละเอียด โดยการที่รู้ว่า แท้ที่จริง ไม่ใช่ว่าใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เพียงแค่ ยี่สิบปี สามสิบปี ยิ่งไปตั้งหน้าพากเพียรที่จะรู้ ยิ่งไม่ใช่!!! เพราะเหตุว่า ขณะนั้น โลภะที่มีความไม่รู้เป็นเหตุกำลังทำหน้าที่เต็มที่ อย่างละเอียด ซึ่งไม่มีใครรู้เลย!! เช่น ขณะนี้ กำลังเห็นอย่างนี้ ใครจะรู้ว่า เพียงเห็น จิตเห็นดับไปสามขณะ โลภะเกิดแล้ว!!
เพราะฉะนั้น โลภะจะพาไปตลอด ละเอียด โดยที่ว่า ถ้าไม่มีการฟัง ไตร่ตรอง ความลึกซึ้ง เหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ทันทีที่ได้ทรงตรัสรู้ แต่เพราะเห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีจริง และคนที่ได้สะสมความรู้ความเข้าใจมาแล้ว สามารถที่จะค่อยๆ รู้ขึ้นได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย อันนี้ถูกต้องที่สุด!! ไม่มีใครสามารถที่จะเอาอะไรไปขัดเกลาเห็นซึ่งขณะนี้กำลังเห็นได้เลย ต่อให้คำทั้งหมดของพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ เพราะคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่คำของเรา ที่เป็นคำจริง ที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เหมือนเดิม ฟังสามสิบปี เห็นก็เป็นเห็นอย่างนี้ ใช่ไหม? ความเป็นเราที่จะค่อยๆ ละคลายไป ไม่ได้ปรากฏเลย!! เพราะว่า กิเลสอื่นมีมาก คอยเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ทางตาเห็นปุ๊บก็เป็นโน่นเป็นนี่ไปแล้ว!! ไม่พอ!! ไปหามาอีก!! ขวนขวายไม่รู้จบ!! แล้วเห็นทั้งวัน หาทั้งวัน!!
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แค่ทางเดียว ความไม่รู้ยังมากมาย ของเก่าก็เยอะ ของใหม่ก็มาก เพราะฉะนั้น จะแหวกว่ายออกจากวังวนของความไม่รู้นี้ ได้อย่างไร? นอกจากเป็น "เรื่องละ" เรื่องเดียว!! ที่จะต้องมั่นคงว่า พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็น "เรื่องละ" แต่ว่า ไม่ใช่ละด้วยการไปเป็น "เราพยายามพากเพียร" แต่ต้องเป็น "ละ" ด้วยการเห็นความลึกซึ้ง และ "การที่เห็นความลึกซึ้ง นี้เป็นปัญญาขั้นต้น"
พอเห็นความลึกซึ้ง แล้วจะทำอย่างไร? ก็ไม่มีหนทาง (อื่น) เพราะเครื่องพิสูจน์อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวนี้ ฟังเท่าไหร่ ยังไม่ถึงเวลา ปัญญาไม่สามารถที่จะถึงระดับที่ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้ แต่เห็นไหมว่า ถ้าไม่มีสักหนึ่งขณะ ในสังสารวัฏฏ์ ที่พระโพธิสัตว์ได้สะสมบารมี ก็จะไม่ถึงการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้หนึ่งขณะเดียว ซึ่งเรามองไม่เห็นเลย เราก็ฟังซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ใครเขาจะไปถึงไหน ไปเป็นพระอรหันต์ ไปเป็นอะไรโดยไม่รู้อะไรนั้น ก็เรื่องของเขา!! แต่ว่า ความเป็นผู้ตรง ก็รู้ว่า เดี๋ยวนี้แหละ!! ไม่มีใคร มีแต่ธรรม แค่นี้ก็ เดี๋ยวนี้ไม่มีใคร ก็มีตั้งเยอะ ใช่ไหม? เดี๋ยวนี้ไม่มีใคร มีแต่ธรรม ทีละหนึ่ง ลึกซึ้งเข้าไปอีก ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ ไม่มีใครยับยั้งได้เลย นานแสนนาน แล้วจะต่อไปอีกแสนนาน!!
เพราะฉะนั้น ระหว่างนานแสนนานที่แล้วมา กับนานแสนนานต่อไป ความไม่รู้จะเพิ่มขึ้นแค่ไหน? แต่ละคนก็ตระหนักด้วยตัวเอง ในชีวิตประจำวัน ฟังธรรมเข้าใจ แล้วต้องฟังอีก ก็เข้าใจอีก ดูเหมือนเดิมเลย!! ฟังเรื่องอะไร? ก็เรื่องเห็นนี้แหละ ไม่ใช่เรื่องอื่น เรื่องคิดนี้แหละ เรื่องจำนี้แหละ เรื่องทุกอย่างนี่แหละ ดูเหมือนเดิม แต่หารู้ไม่ว่า ปัญญาค่อยๆ ซึมไป ค่อยๆ (เจริญขึ้น) ทีละน้อยมาก จนไม่ปรากฏอาการของปัญญาเลย!! จนกว่าความรู้แต่ละระดับ จะปรากฏว่าต่างกับก่อน
เช่น ขณะนี้ สติสัมปชัญญะไม่เกิด ถูกต้องไหม? จนกว่า ถึงขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด โดยความเป็นอนัตตา!! คิดดูสิ ถ้าเราไปนั่งจ้อง จะเป็นอนัตตาหรือ? ไม่มีทางเลย!!! ก็ "เรากำลังนั่งจ้อง" จะไปเป็นอนัตตาได้อย่างไร? อนัตตาก็ต้องเหมือนอย่างนี้สิ เห็นเกิดแล้วนี่ ใครไปทำ? เพราะฉะนั้น สตินั่นแหละเกิดแล้ว ไม่มีใครทำ!! แต่มีปัจจัยที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ซึ่งปรากฏความต่างกับขณะนี้!! เขามีสติ มีศรัทธา มีวิริยะ เยอะแยะหมดเลยทุกขณะ เกิดดับสืบต่อ (แต่) ไม่ปรากฏเลย!!
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ทั้งพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม "แต่ละหนึ่ง" เกิดขึ้นทำกิจการงานตลอดเวลา ไม่หยุดเลย แล้วแต่ว่า โลภะไม่มีทางเห็น อกุศลทั้งหลายไม่มีทางรู้ แต่ปัญญาที่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจนี่แหละ จะค่อยๆ ปรุงแต่ง เพื่อการละ!! เห็นไหม? ถ้าใครไม่ใช่ "เพื่อการละ" ก็ติดกับของโลภะ!!!
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ ต้องมีปัญญา ความเข้าใจอย่างเดียว ว่า "รู้เพื่อละ" ขณะที่รู้ก็ละความไม่รู้ ขั้นฟังก็เพียงละความไม่รู้ขั้นฟัง ขั้นเข้าใจขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย จนกว่าสติจะนำมา ระลึกได้ เห็นไหม? "นำมาที่ลักษณะที่กำลังปรากฏ" ซึ่งถ้า "หวัง" ก็ไม่ใช่สติแล้ว!! โลภะก็มาพาไปอีก แค่นิดเดียว รวดเร็วมาก!! ใครจะรู้ นอกจากปัญญา!!!
คุณกฤษณา ท่านอาจารย์คะ การศึกษาธรรมก็เพื่อการละ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาย้ำเตือนบ่อยๆ ก็ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ละกิเลสทั้งหลาย ทีนี้ ความเข้าใจในระดับขั้นการฟัง ที่ต้องเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม ถ้าเข้าใจความเป็นอนัตตา ความไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนแล้ว ความเข้าใจตรงนี้ จะละคลายความติดข้อง โลภะ อะไรต่างๆ ได้อย่างไรคะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ โลภะมีมากแค่ไหน? นานเท่าไหร่
คุณกฤษณา มหาศาล
ท่านอาจารย์ ความไม่รู้มีมากเท่าไหร่?
คุณกฤษณา ก็มหาศาล
ท่านอาจารย์ แล้วเราแถมเข้าไปอีก ที่หวัง!!
คุณกฤษณา ขอประทานโทษค่ะ ไม่ใช่หวัง แต่ว่า เหมือนกับต้องการความเข้าใจที่..ต้องการก็หวังอีก.. (หัวเราะ) ก็คือว่า เป็นความเข้าใจที่จะเข้าใจความไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ความเป็นอนัตตา ความเข้าใจตรงนี้ จะละความติดข้องได้อย่างไร?
ท่านอาจารย์ อะไรจะละความติดข้องได้?
คุณกฤษณา ปัญญาค่ะ
ท่านอาจารย์ เราเรียกว่าปัญญา แต่คือ "ความเข้าใจ" ใช่ไหม? ชื่อเดียว แต่หมายความถึง สภาพธรรมที่เข้าใจถูกต้อง
คุณกฤษณา คือ ความเข้าใจนั้นน่ะค่ะ
ท่านอาจารย์ (ความเข้าใจนั้น) ก็ละความไม่รู้
คุณกฤษณา แต่ว่า ยังไม่ถึงระดับที่จะละหมด ก็ละไปทีละนิด ทีละหน่อย
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ถ้าระลึกชาติได้ แต่ละคน ฟังธรรมมาแล้วกี่ชาติ? เครื่องพิสูจน์ก็คือชาตินี้ มีความเข้าใจแค่ไหน? ใครเข้าใจเร็ว มาก ก็แสดงว่า สะสมมามาก ถ้าใครยังไม่เข้าใจ กี่ชาติที่เกิดนี่นับไม่ถ้วน สลับกันไปมา ระหว่างเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเข็ญใจ เป็นพระมหากษัตริย์ ราชาต่างๆ ได้ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง คุณความดีบ้าง อกุศลเยอะแยะบ้าง คิดดูสิ เท่าไหร่? แล้วเราคิดว่า เราจะละโลภะนี้เมื่อไหร่ ไม่ต้องคิดเลย!! ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่างเดียว!!!
คุณกฤษณา ตรงค่อยๆ เข้าใจขึ้นนั้น ก็ค่อยๆ ละ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ไง!! แน่นอน ไม่มีใครจะละความไม่รู้ได้ นอกจาก "ความเข้าใจ"
คุณกฤษณา นิดๆ หน่อยๆ ก็ละ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีหนึ่ง "ขณะ" ของ "นิด" จะมี "ขณะ" ของ "เพิ่มขึ้นๆ " ไหม?
คุณกฤษณา ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ แต่ละหนึ่งขณะ สำคัญยิ่ง!! อย่าคิดว่าน้อยแสนน้อย น้อยแสนน้อยนั้นแหละ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น!!
คุณกฤษณา ซึ่งเราไม่ค่อยจะเห็นความสำคัญของขณะนิดๆ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ใช่!! นี่คือ " วิริยารัมภกถา " กถาที่กล่าวถึง "ความเพียร" คือ ไม่ใช่ไปขมักเขม้นเพียร พระพุทธเจ้าตรัสให้เพียรก็เพียร แต่ "ความเพียร" เอง เพราะปัญญา!! ที่จะรู้ว่า ขณะใดก็ตามที่มีการเข้าใจธรรม ขณะนั้น "เพียร" เกิดร่วมด้วย จึงได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ความเพียรก็แล้วแต่ ฟังเมื่อไหร่ ความเพียรมีแล้ว ปัญญามีแล้ว น้อยแค่ไหน ก็ค่อยๆ สะสมไป จึงสามารถที่จะเข้าใจคำว่า แสนโกฏิกัปป์ แสนกัป และ กี่กัป แต่ละพระชาติ ผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบำเพ็ญบารมีถึงอย่างนั้น ปัญญาไม่ต้องเทียบ แต่สำหรับคนที่จะรู้อย่างนั้น โดยที่ปัญญาไม่ถึง ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
คุณกฤษณา กราบขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ ทั้งหมด ปลอดภัย เมื่อรู้ว่า "เพื่อละ" เพราะว่า อกุศลมีมาก พอฟังเสร็จ โลภะก็ได้ โทะสะก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ไปทั้งนั้น กี่ชาติ กี่ชาติ จนกว่า ปัญญาเกิดเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ผลของการฟัง ก็คือ ความเข้าใจ ในขณะที่ฟัง!! แล้วก็รู้ว่า เป็นเรื่องที่ มีสิ่งที่ปรากฏทุกชาติ ไม่รู้ทุกชาติ ฟังแล้วค่อยๆ รู้ ทีละนิด ทีละหน่อย ทุกชาติ!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณนพดล คุณวรรณี แซ่โง้ว
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
... ... ...
ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมครั้งนี้ ได้ที่นี่ ...
น้อมกราบบูชาคุณพระรัตนตรัย และกราบท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ สาธุๆ ๆ
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง
แม้แค่การเห็น การได้ยินก็ยังเป็นของยากที่จะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา หนทางที่จะสั่งสมความเข้าใจคือต้องเป็นเรื่องของการฟังเท่านั้น ฉะนั้นฟังเพื่อให้ความเข้าใจหรือที่เรียกว่าปัญญานั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นจนกระทั่งแจ่มชัดในที่สุด
กราบอนุโมทนาในกุศลของท่านเจ้าภาพการสนทนาธรรมในครั้งนี้ คุณนพดลและคุณวรรณีเป็นอย่างยิ่งนะครับ
ขออนุโมทนาและกราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความรู้คุณอย่างยิ่งค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาต่อท่านเจ้าภาพ และทุกท่านที่ร่วมฟังค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ