นันทปัญหา ... วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๖
โดย มศพ.  1 ก.ย. 2556
หัวข้อหมายเลข 23480

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺสพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ•••..... ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย .....•••
... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา (มศพ.)

พระสูตร ที่จะนำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. คือ

นันทปัญหาที่ ๗

(ว่าด้วยมุนีผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว)

จาก...


[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๙๒๔


(ภาพแสดงบรรยากาศการสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ วันอาสาฬหบูชา ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๖)

...นำสนทนาโดย...

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร

[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ หน้าที่ ๙๒๔

นันทปัญหาที่ ๗

(ว่าด้วยมุนีผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว)

[๔๓๑] นันทมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีทั้งหลายมี

อยู่ในโลก ชนทั้งหลายกล่าวบุคคลว่าเป็นมุนี

นี้ นั้น ด้วยอาการอย่างไรหนอ ชนทั้งหลาย

กล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยญาณ หรือ ผู้

ประกอบด้วยความเป็นอยู่ ว่าเป็นมุนี.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกร นันทะ ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่

กล่าวบุคคลว่าเป็นมุนี ด้วยความเห็น ด้วย-

การฟัง หรือด้วยญาณ ชนเหล่าใดกำจัด

เสนามารให้พินาศแล้ว ไม่มีความทุกข์ ไม่

มีความหวัง เที่ยวไปอยู่ เรากล่าวชนเหล่า

นั้นว่าเป็นมุนี.

นันทมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า สมณ-

พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความ

บริสุทธิ์ด้วยความเห็นบ้าง ด้วยการฟังบ้าง

ด้วยศีลและพรตบ้าง ด้วยมงคลตื่นข่าว

เป็นต้น เป็นอันมากบ้าง ข้าแต่พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าผู้นิรทุกข์ สมณพราหมณ์เหล่านั้น

ประพฤติอยู่ในทิฏฐิของตนนั้น ตามที่ตน

เห็นว่าเป็นเครื่องบริสุทธิ์ ข้ามพ้นชาติและ

ชราได้บ้างหรือไม่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์ ขอพระองค์

ตรัสบอกความข้อนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกร นันทะ สมณพราหมณ์

เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความบริสุทธิ์ด้วย

ความเห็นบ้าง ด้วยการฟังบ้าง ด้วยศีลและ

พรตบ้าง ด้วยมงคลตื่นข่าวเป็นต้นเป็นอัน

มากบ้าง สมณพราหมณ์เหล่านั้นประพฤติ

อยู่ในทิฏฐิของตนนั้น ตามที่ตนเห็นว่าเป็น

เครื่องบริสุทธิ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เรากล่าว

ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ข้ามพ้นชาติและ

ชราไป ไม่ได้.

นันทมาณพ ทูลถามปัญหาว่า

สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง

กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยการเห็นบ้าง ด้วยการ

ฟังบ้าง ด้วยศีลและพรตบ้าง ด้วยมงคล

ตื่นข่าวเป็นต้นเป็นอันมากบ้าง ข้าแต่

พระองค์ผู้เป็นมุนี ถ้าพระองค์ตรัสว่า

สมณพราหมณ์เหล่านั้นข้ามโอฆะไม่ได้แล้ว

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้

ใครเล่าในเทวโลกและมนุษยโลก ข้ามพ้น

ชาติและชราได้แล้วในบัดนี้ ข้าแต่พระผู้มี

พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์

ขอพระองค์จงตรัสบอกความข้อนั้นแก่ข้า-

พระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพยากรณ์ว่า

ดูกร นันทะ เราไม่กล่าวว่า

สมณพราหมณ์ทั้งหมดเป็นผู้อันชาติและชรา

หุ้มห่อไว้แล้ว แต่เรากล่าวว่า คนเหล่าใดใน

โลกนี้ละเสียซึ่งรูปที่ได้เห็นแล้วก็ดี เสียงที่

ได้ฟังแล้วก็ดี อารมณ์ที่ได้ทราบแล้วก็ดี ละ

เสียแม้ซึ่งศีลและพรตทั้งหมดก็ดี ละเสียซึ่ง

มงคลตื่นข่าวเป็นต้น เป็นอันมากทั้งหมดก็ดี

กำหนดรู้ตัณหาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้

คนเหล่านั้นแลข้ามโอฆะได้แล้ว.

นันทมาณพ กราบทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้โคดม

ข้าพระองค์ยินดียิ่งซึ่งพระดำรัสของพระองค์

ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ธรรมอันไม่มีอุปธิ

พระองค์ทรงแสดงชอบแล้ว แม้ข้าพระองค์

ก็กล่าวว่า คนเหล่าใดในโลกนี้ ละเสียซึ่ง

รูปที่ได้เห็นแล้วก็ดี เสียงที่ได้ฟังแล้วก็ดี

อารมณ์ที่ได้ทราบแล้วก็ดี ละเสียแม้ซึ่งศีล

และพรตทั้งหมดก็ดี ละเสียซึ่งมงคลตื่นข่าว

เป็นต้นเป็นอันมากทั้งหมดก็ดี กำหนดรู้

ตัณหาแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ คนเหล่านั้น

ข้ามโอฆะได้แล้ว ฉะนี้แล.

จบนันทปัญหาที่ ๗

อรรถกถานันทสูตรที่ ๗

นันทสูตร มีคำเริ่มต้นว่า สนฺติ โลเก มุนีทั้งหลายมีอยู่ในโลก ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น พึงทราบความในคาถาที่หนึ่งดังต่อไปนี้ ชนทั้งหลายมีกษัตริย์

เป็นต้น ย่อมกล่าวว่ามุนีมีอยู่ในโลก หมายถึงอาชีวกและนิครนถ์เป็นต้น. บทว่า

ตยิทํ กถํสุ ชนทั้งหลายกล่าวบุคคลว่าเป็นมุนีนั้นด้วยอาการอย่างไรหนอ คือ

ชนทั้งหลายกล่าวบุคคลผู้ประกอบด้วยญาณ เพราะญาณมีสมาปัตติญาณเป็นต้น

เกิดขึ้น หรือผู้ประกอบด้วยความเป็นอยู่กล่าวคือความเป็นอยู่ที่เศร้าหมองมีประการ

ต่างๆ ว่าเป็นมุนี.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงปฏิเสธแม้ทั้งสองอย่างแล้ว ทรงแสดง

ผู้เป็นมุนีแก่นันทมาณพนั้นจึงตรัสคาถาว่า น ทิฏฺฐิยา ไม่กล่าวว่าเป็นมุนีด้วยความเห็น

ดังนี้เป็นต้น.

บัดนี้ นันทมาณพทูลถามว่า เย เกจิเม สมณพราหมณ์เหล่าใด

เหล่าหนึ่งเป็นต้น เพื่อละความสงสัยของชนทั้งหลายผู้กล่าวว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีด้วย

ความเห็นเป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า อเนกรูเปน ได้แก่ด้วยมงคลตื่นข่าวเป็นต้น.

บทว่า ตตฺถ ยถา จรนฺตา สมณพราหมณ์ทั้งหลายประพฤติอยู่ในทิฏฐิของตนนั้น

ตามที่ตนเห็นว่าเป็นความบริสุทธิ์ คือ คุ้มครองอยู่ในทิฏฐิของตนนั้น.ลำดับนั้น พระผู้

มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความไม่มีความบริสุทธิ์ อย่างนั้น แก่นันทมาณพ จึงตรัส

คาถาที่สอง.นันทมาณพได้ฟังว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลายข้ามพ้นไปไม่ได้แล้วดังนี้

ประสงค์จะฟังถึงผู้ที่ข้ามพ้นไปได้ จึงทูลถามว่า เยเกจิเม ดังนี้เป็นต้น. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึงผู้ที่ข้ามพ้นชาติชราด้วยหัวข้อว่าโอฆติณฺณ

ข้ามพ้นโอฆะแก่นันทมาณพนั้น จึงตรัสคาถาที่สอง. ในบทเหล่านั้น บทว่า นิวุฏา

คือ อันชาติชราหุ้มห่อไว้ ร้อยรัดไว้.บทว่า เยสีธา ตัดบทเป็น เยสุ อิธ. บทว่า สุ

ในบทนี้เป็นเพียงนิบาต.บทว่า ตณฺหํ ปริญฺญาย กำหนดรู้ตัณหา คือกำหนดรู้ตัณหา

ด้วยปริญญา ๓. บทที่เหลือในบททั้งปวงชัดดีแล้ว เพราะมีนัยดังได้กล่าวไว้แล้วใน

ตอนก่อน.พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัตนั่นแล

ด้วยประการฉะนี้. ฝ่ายนันทมาณพเมื่อจบเทศนา ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า

กล่าวคาถาว่า เอตาภินนฺทามิ ข้าพระองค์ยินดียิ่งซึ่งพระดำรัสของพระองค์ดังนี้เป็นต้น.

แม้ในสูตรก็ได้มีผู้บรรลุธรรม เช่นกับที่ได้กล่าวแล้วในสูตรก่อนนั่นแล.

จบอรรถกถานันทสูตรที่ ๗



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 1 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความโดยสรุป

นันทปัญหาที่ ๗

(ว่าด้วยมุนีผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว)

นันทมาณพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลถามปัญหาว่า ผู้ที่เป็นมุนี

มีลักษณะอย่างไร

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า บุคคลไม่ได้เป็นมุนี เพราะความเห็น เพราะการได้ยิน

แต่เป็นมุนี เพราะดับกิเลสทั้งหลายได้ ไม่มีความทุกข์ สิ้นความหวัง (หมดโลภะ)

นันทมาณพ กราบทูลถามว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า ความบริสุทธิ์ มีได้

เพราะการเห็น เพราะการฟัง เพราะศีลพรต เพราะมงคลตื่นข่าว เป็นต้น แท้ที่จริงแล้ว

จะเป็นเหตุให้ข้ามพ้นชาติชราได้หรือไม่

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วไม่สามารถข้ามข้ามพ้นชาติชราได้

นันทมาณพ กราบทูลถามว่า ถ้าสมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่สามารถข้ามพ้นชาติชราได้

เมื่อเป็นเช่นนั้นใครเล่าจะสามารถข้ามพ้นได้

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ผู้ที่ละความติดข้องในกามได้ รู้ตัณหาตามความ

เป็นจริง สิ้นอาสวะ จึงข้ามโอฆะ (ห้วงน้ำคือกิเลส) ได้ ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้ข้ามพ้น

ชาติชรา นั่นเอง

เมื่อนันทมาณพได้ฟังอย่างนี้แล้ว กราบทูลชื่นชมในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเป็น

อย่างยิ่ง นันทมาณพได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมกับอันเตวาสิก ๑๐๐๐ ส่วนชนอีก

หลายพันได้เกิดดวงตาเห็นธรรม.

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

กิเลสเป็นสภาพธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ เศร้าหมอง

กิเลสตัณหา

โอฆะ...?

มาร ๕ [กิเลสมาร...ตอนที่ ๒]

มืดตื้อ เพราะถูกอวิชชาหุ้มห่อ

อนุสัย และ อาสวะ ต่างกันอย่างไร

โลภะ โทสะ โมหะ

ขณะนี้ข้ามโอฆะแล้วหรือไม่? [จวมานสูตร]

ดวงตาเห็นธรรม

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 1 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนา ครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 3 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ