ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เดินทางพร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิฯ ที่ปรึกษามูลนิธิฯ สหายธรรมชาวไทย เวียดนาม และกัมพูชา จำนวนทั้งสิ้น ๘๙ ท่าน เพื่อไปเผยแพร่และสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี กับชาวอินเดีย ณ เมืองลัคเนา วัดไทยเชตวันมหาวิหาร และที่ เมืองพาราณสี พร้อมกับการเดินทางไปกราบสักการะและสนทนาธรรมกับสหายธรรมชาวไทย ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย
การเดินทางไปเผยแพร่พระธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในครั้งนี้ เป็นภารกิจที่ต่อเนื่องจากการที่ท่านอาจารย์ได้เดินทางมาประดิษฐานพระธรรมกลับคืนสู่แดนพุทธภูมิอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี กับชาวอินเดีย เป็นครั้งแรก ณ เมืองลัคเนา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (คลิกอ่าน : การประดิษฐานพระธรรม ณ แดนพุทธภูมิ โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ และ พิธี มอบพระบรมสารีริกธาตุ และพระรัตนบุษยภาชน์ (จำลอง) สูงค่ายิ่ง แก่ มูลนิธิพระธรรม ประเทศอินเดีย ) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ( ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๑๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ และ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ The Revanta เมืองลัคเนา เมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ๑๑ กันยายน ๒๕๖๕ ) ในครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ถึง ๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ( การเผยแพร่พระธรรมครั้งอัศจรรย์และยาวนานที่สุด ณ แดนพุทธภูมิ ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ )
ในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาเผยแพร่พระธรรมกลับคืนสู่แดนพุทธภูมิของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เป็นครั้งที่ ๔ นับแต่ที่ท่านอาจารย์เดินทางมาประดิษฐานพระธรรมกลับคืนสู่แดนพุทธภูมิครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ โดย ในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านอาจารย์และคณะ ได้เดินทางไปสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี กับชาวอินเดียที่เดินทางมารอคอยการสนทนาธรรมในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ณ วัดไทยเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย
ข้อความบางตอน จาการสนทนา ไทย-ฮินดี ณ วัดไทยเชตวันมหาวิหาร ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ท่านอาจารย์ : ถ้าในครั้งนั้น ไม่มีใครฟังธรรมเลย จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคนในสมัยนี้ก็เหมือนในสมัยนั้น ได้เห็นพระกายของพระองค์ เสด็จบิณฑบาต แต่ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
จากคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีกิเลสมากมายมหาศาล แล้วก็สามารถที่จะหมดกิเลส ถึงความเป็นเลิศในการรู้ความจริง เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์อย่างยิ่ง ไม่ทราบว่า ได้ยินคำว่ากิเลส ทุกคนรู้จักความหมายของคำนี้หรือยัง?
ถ้าบอกว่า "ไม่ดี" รู้จักไหม? เพราะฉะนั้น ใครไม่ดีบ้าง? มีใครไม่ดีบ้าง?
ชาวอินเดีย : ไม่มีใครที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ไม่มีความไม่ดี
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ไม่ดีอย่างไร? ใครไม่ดีอย่างไร?
ชาวอินเดีย : ถ้าขับรถอยู่ แล้วเห็นคนข้างหน้าขับแบบที่ไม่อยากจะให้เป็น ก็จะเริ่มโกรธ แล้วก็เริ่มด่าในใจ
ท่านอาจารย์ : กำลังด่าในใจ กำลังโกรธ ดีไหม?
ชาวอินเดีย : เห็นคนอื่นแล้วอิจฉา ก็เป็นความไม่ดี
ท่านอาจารย์ : แต่กำลังโกรธคนที่ทำไม่ดี ขณะนั้น คนที่โกรธ ดีไหม?
ชาวอินเดีย : การโกรธคนอื่นคือทำลายตัวเอง ทั้งจิตใจและสุขภาพร่างกายด้วย
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ใครไม่ดี?
ชาวอินเดีย : ที่ยกตัวอย่างมาตั้งแต่ต้น เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า เริ่มจากตัวเอง ที่ไม่ดี
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น คนอื่นไม่ดี เราไม่ดี หรือว่า ไม่ดีเกิดเป็นไม่ดี
ชาวอินเดีย : ไม่มีบุคคลที่ไม่ดี ความไม่ดีคือไม่ดี
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรอง ความโกรธมีจริงๆ ไม่ว่าคนนี้ คนนั้น สุนัข แมว โกรธได้ทั้งหมด แต่ โกรธเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ความโกรธเกิดขึ้นและดับไป แล้วโกรธเกิดอีก ได้ไหม?
ชาวอินเดีย : ถ้ามีเหตุปัจจัย ก็เกิดขึ้นได้
ท่านอาจารย์ : ไม่รู้จบ ใช่ไหม?
ชาวอินเดีย : ความโกรธก็เกิดเรื่อยๆ แต่ถ้ามีความเข้าใจก็จะน้อยลง
ท่านอาจารย์ : แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจ?
ชาวอินเดีย : ถ้าเราศึกษาธรรมไปเรื่อยๆ แล้วเข้าใจว่าเหตุของความโกรธคืออะไร ความโกรธก็จะลดลง
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ กำลังศึกษาธรรมหรือเปล่า?
ชาวอินเดีย : ใช่ครับ
ท่านอาจารย์ : นี่คือการเริ่มต้น ทุกคำ ที่มีจริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่มีจริง ต้องไม่ลืม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม "โกรธ" เป็น "ธรรม" หรือเปล่า? โกรธ มีจริงไหม?
ชาวอินเดีย : มีจริง
ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่เกิด มีโกรธไหม?
ชาวอินเดีย : ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ : ใครทำให้โกรธเกิด?
ชาวอินเดีย : ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เหตุ-ปัจจัย เป็นธรรม เดี๋ยวนี้โกรธหรือเปล่า?
ชาวอินเดีย : ไม่
ท่านอาจารย์ : ทำไมไม่โกรธ?
ชาวอินเดีย : เพราะเวลานี้สนทนาธรรมอยู่ ไม่ได้คุยเรื่องอะไรที่ทำให้เกิดความโกรธได้
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น คนที่กำลังสนทนาธรรม เข้าใจธรรม จะโกรธไหมขณะนั้น
ชาวอินเดีย : ไม่
ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่ฟังธรรม โกรธไหม?
ชาวอินเดีย : เมื่อมีเหตุก็โกรธ
ท่านอาจารย์ : นั่นเป็นธรรม ทุกอย่างที่เกิด มีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏเป็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เกิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างที่เกิด เป็นธรรมทั้งหมด
ภายหลังจบจากการสนทนาธรรม ณ วัดไทยเชตวันมหาวิหาร ในเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. แล้ว ท่านอาจารย์และคณะ ได้เดินทางไปยังพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อกราบสักการะ ประทักษิณ และสนทนาธรรมในภาคภาษาไทยกับคณะผู้ติดตามชาวไทย
ข้อความบางตอนจากการสนทนา :
ท่านอาจารย์ : ..ว่าเราสามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง จนกระทั่งละความหวัง ที่จะไปปฏิบัติ ใช่ไหม? คุณ? แนะนำตัวหน่อยได้ไหมคะ
คุณบุษย์ : กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่เมตตา หนูก็ต้องขออนุญาต ณ วันนี้ บุษย์ถือว่าเป็นเหตุมหัศจรรย์ ที่ได้มาพบท่านอาจารย์ เพราะว่า ฟังธรรมมาตั้งนานแล้ว แต่ว่าไม่มีความเข้าใจ แล้วก็ต้องขอนุญาตว่า ทำทัวร์เส้นทางนี้ ๑๕ ปี จน ณ วันนี้ที่มานี่ ก็คือ มีครูบาอาจารย์ท่านชี้ให้เห็นถึงอริยสัจสี่ หัวใจสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ แล้วก็เทศนาโปรดแก่ท่านปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
ธรรมแรก ก็คือ อริยสัจ ๔ และธรรมที่สอง ก็คือเรื่องของ อนัตลักขณสูตร ก็คือเรื่องของ ขันธ์ ๕ ก็เพิ่งมีความเข้าใจ และด้วยความเข้าใจ เราก็พิจารณาจนเราเข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรธรรมนี้จึงมีความสำคัญ ถ้าเราหมั่นปฏิบัติ แล้วก็ขยันหมั่นเพียร เหมือนที่ท่านอาจารย์เมตตาขยันสอน พยายามชี้ให้เห็น พอนึกย้อนไปก็รู้สึกว่า ที่ผ่านมาเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่มีปัญญาที่จะรับฟังตรงนี้ได้
เราคิดว่า ที่เราทำมา เราดูอิริยาบถ เราดูโน่น ดูนี่ สุดท้าย มันไม่ใช่หัวใจที่เราจะหลุดพ้นเลย มันเป็นได้แค่สมถะ แค่ให้เราสงบ ณ ช่วงขณะหนึ่งเท่านั้น
แต่จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญก็คือการพิจารณาในเรื่องของ สมุหทัย แล้วก็ในเรื่องของการวางขันธ์ทั้ง ๕ ก็คือต้องใช้ปัญญา ถึง สติปัฏฐาน ซึ่งมันก็เกี่ยวพัน เป็นวงจรที่ขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ แล้วเราก็ต้องหมั่นเพียร ดูความรู้สึก ดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นในแต่ละขณะจิตของเรา โดยที่มันต้องใช้ความเพียร
แล้วก็ เท่าที่ตามดูอยู่ พอ ณ วันนี้ พอเราเข้าใจแล้ว เราถึงได้รู้สึกว่า วันนี้เป็นความมหัศจรรย์ที่เราได้เจอตัวแทนของพระพุทธองค์ ที่มาประกาศหัวใจสำคัญในการที่จะให้เราหลุดพ้น แล้วถือว่าเป็นกำลังใจของบุษย์ ในฐานะที่เพิ่งทำทัวร์มา แล้วมา ๔ สังเวฯ เคยพูดว่า ไม่รู้ว่าพอมาเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ทุกที่ เรารู้ว่าศักดิ์สิทธิ์หมด แต่เราไม่รู้ว่า เราจะเกิดปลื้มปีติ เราจะเห็นคนอื่นเขาดีใจที่มา
เขาดีใจอะไร เขาได้แค่มายึดสถานที่ แต่เขาไม่ได้.. แม้แต่เรา เราก็เอ๊ะ พอเห็นสภาวะอาการของเขาในแต่ละที่ มาเจอสถานที่ปรินิพพาน เขาก็ร้องไห้ น้ำตาไหล เจอทุกที่ มาต้นพระศรีมหาโพธิ์ เขาก็มายึด เราก็มาดูแล้วว่า แต่ละคนที่มา ก็ไม่เห็นได้อะไรกลับไป ได้แต่ความคาดหวัง ว่าจะได้โน่นได้นี่ ซึ่งเราก็ยังไม่ได้มีปัญญาถึงว่า เอ๊ะ แล้วตกลง มาเพื่ออะไร?
จนกระทั่งวันหนึ่ง มันคงจะเต็มที่แล้ว สำหรับ ๑๕ ปีที่เราตั้งคำถามว่า แล้วเราไม่เห็นจะตื่นเต้นเลย เรามาเห็นสถานที่ของพระพุทธองค์ สุดท้าย สิ่งที่เราเคยตื่นเต้น นั่นคือเราไปยึด แต่ถามว่าได้ปัญญาไหม? ไม่ได้!!
จนวันหนึ่ง ที่เพิ่งจะมาได้ ต้องขอบอกว่าเพิ่งจะมาได้ เพราะฟังธรรมของท่านอาจารย์ก็ไม่เข้าใจ ก็พยายามที่จะแกะไป ก็ยังรู้สึกว่า ที่อาจารย์สอนนี่ วนไป เวียนมา แต่ที่สำคัญ ตอนนี้รู้แล้วว่า ที่อาจารย์ต้องสอน วนไป เวียนมา จริงๆ แล้ว หัวใจสำคัญมันก็อยู่ตรงนั้น แค่ว่า เรายังไม่มีปัญญา ที่จะเข้าถึงซึ่งคำสอนอันสูงสุดของท่าน เท่านั้นเอง
ซึ่งก็เป็นคำสอนเดียว หัวใจเดียว กับสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน แล้วก็อยากจะให้เรา มนุษย์ทั้งหลาย หมายถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด ได้พ้นจากวัฏฏะนี้ นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่อยู่เหนือจากคำสอนของศาสนาอื่น
บุษย์ก็ไม่รู้ว่า ที่บุษย์พูดไปนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่า มันก็มาจากหัวใจ แล้วก็เมื่อกี้ขอกระดาษทิชชู่ เพราะรู้สึกว่า น้ำตามันไหลอยู่ตลอดเวลา ที่ได้เจอท่านอาจารย์ ก็รู้แต่ว่า ท่านอาจารย์ คือครูบาอาจารย์ของแท้จริงๆ ที่เป็นผู้แทนพระองค์ท่าน
วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันที่เป็นมงคล สิริมงคลกับชีวิตบุษย์ และถือว่าพระพุทธองค์ทรงเมตตาว่า สิ่งที่เราเริ่มต้นที่จะเดินต่อไปนี้ มันถูกทางแล้ว เพราะว่า ... (หยุดพูดด้วยความตื้นตันใจ) เพราะว่าวันที่เราเริ่มเดินนี่ อาจารย์มาแสดงให้เห็นแล้วว่า เดินไปเถอะ เป็นกำลังใจให้เราได้เดินไปเถอะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ : เราได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านานมาก แต่ว่า เห็นความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น "ศึกษาด้วยความลึกซึ้ง" จน "ไม่หวัง" ว่าเมื่อไหร่จะประจักษ์แจ้ง อริยสัจธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า ต้องเป็นในขณะนี้ ถ้าจะมีความเข้าใจถูก ต้องมีสิ่งที่ถูกเข้าใจความจริงของสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น แม้แต่ว่า เดี๋ยวนี้ แต่ละหนึ่งขณะ สั้นมาก แต่ "หนึ่งขณะ" นั้น มีอะไร? แล้วรู้แค่ไหน? ใช่ไหม ไม่ใช่พอฟังแล้วก็ "เหมือนรู้" อริยสัจธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ความจริงที่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้น เปลี่ยนไม่ได้เลย เป็นสัจจะ ความจริงของสิ่งนั้น เดี๋ยวนี้ เปลี่ยน "เห็น" ไม่ได้ เห็นกันทุกวัน ทุกขณะ แล้วก็รู้ว่าเป็นอริยสัจธรรมหรือยัง?
ไม่ใช่ "ชื่อ" ไม่ใช่เขาบอกว่า อริยสัจธรรม คือ เห็น ได้ยิน ซึ่งกำลังเกิด-ดับ เราคิดว่าถึงแล้ว ในความรู้ว่า แต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้เลย ว่าอะไรเป็นอริยสัจธรรม แต่พอฟัง จำชื่อได้ อริยสัจธรรม รู้หรือยัง?
คุณบุษย์ : ปัญญาน้อยนิด ก็เพิ่งเริ่มต้นรู้ค่ะ
ท่านอาจารย์ : เริ่มต้นจำชื่อ รู้ชื่อ หรือว่า เริ่มรู้ว่า ธรรมที่มีจริงๆ ความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร
คุณบุษย์ : ความจริงนั้นก็คือ สัจจะที่พระองค์ท่านตรัส ตอบไปถ้าด้อยปัญญาก็ขออนุญาตค่ะ
ท่านอาจารย์ : ทีละคำเลยค่ะ เพราะว่าพระธรรมลึกซึ้งมาก แม้ว่ากำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ กว่าจะเข้าใจ ทีละคำ ๓ รอบ หมายความว่าอะไร คำเดียว ๓ รอบ อริยสัจ ๔ อาการ ๑๒ ใช่ไหม
ได้ยินแล้วไม่ใช่รู้เพียงชื่อ แต่หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้น เท่าที่ได้ฟังมาแล้ว ความเข้าใจจริงๆ ต้องเริ่มจากรู้ว่า สิ่งที่จะเข้าใจ ไม่ไกลเลย!! กำลังมีเดี๋ยวนี้!! กำลังมีเดี๋ยวนี้!!
เพราะฉะนั้น ได้ฟังว่า มีจริงๆ แค่นี้ไม่พอ!! เพราะมีจริงๆ เป็นสิ่งซึ่งปรากฏ เมื่อมีธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น
พระวิหารเชตวัน ถ้าไม่มี "เห็น" จะเป็นพระวิหารเชตวันไหม? และ ถ้าเห็นสิ่งอื่น ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ที่มีความจำว่า ณ ที่นี้ ครั้งหนึ่ง นานแสนนานมาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ เพื่อแสดงพระธรรม ความจริงที่พระองค์บำเพ็ญเพื่อที่จะได้ตรัสรู้ มีคนมาฟัง แล้วแต่ละคนก็ "เข้าใจ" ไม่ใช่ฟังชื่อ จำชื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น อีกไกลไหม? อริยสัจธรรม รอบที่หนึ่ง ไกล เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เพียงแค่ธรรมมีจริง "เห็น" เดี๋ยวนี้ "ได้ยิน" เดี๋ยวนี้ ก็แค่บอกว่ามีจริง แล้วจะไม่ใช่เรา ได้อย่างไร มีจริงก็เรานั่นแหละ กำลังฟัง แล้วรู้ว่ามีจริง เมื่อไหร่จะหมด ที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งนี่ หลากหลายมาก "จำ" เป็น "ธรรม" หรือเปล่า?
คุณบุษย์ : "จำ" ไม่? จำหรือคะ เป็นสัญญา ถ้าจำ ไม่เป็น ไหมคะ ไม่เป็นธรรม (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ : นี่คือประโยชน์ของการสนทนาธรรม ต้องเป็นคนตรง เริ่มถอยแล้ว คิดว่าจะไปถึงการปฏิบัติ แต่ "ปฏิบัติ" คืออะไร?
คุณบุษย์ : ปฏิบัติ? อืมม..คำถามของท่านอาจารย์ น่ากลัวมาก เพราะว่าตอบไม่ถูกเลย (หัวเราะ) ปฏิบัติคืออะไร? ก็คือ ทำไปตาม ธรรมที่ควรจะเป็นหรือเปล่าคะ
ท่านอาจารย์ : ทำอะไร?
คุณบุษย์ : ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์
ท่านอาจารย์ : พระพุทธองค์ตรัสว่าอย่างไร?
คุณบุษย์ : ตรัสให้เห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ : ใครเห็น?
คุณบุษย์ : อืมมม ใครเห็น? ถ้าจะบอกว่าเราเห็น ก็จะต้องผิดอีก เพราะมันไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ : จำคำว่า ไม่มีเรา แต่กำลังเป็นเราเห็น ต้องตรง
คุณบุษย์ : เป็นเราเห็นอยู่ดี เราทำ เราเห็น เราปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ : พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้หรือเปล่า?
คุณบุษย์ : อืมมม ไม่ได้ตรัสอย่างนี้
ท่านอาจารย์ : แล้วเรา ทำไมเชื่ออย่างนี้ คิดอย่างนี้ ทำ
คุณบุษย์ : เพราะเราทำอย่างนี้มาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว
ท่านอาจารย์ : ต้องตรง ผิดคือผิด!! เพราะฉะนั้น ตั้งต้นใหม่เลย!! สิ่งที่ผิด ทิ้งไปเลย!! ไม่มีการปฏิบัติ ที่เป็นการทำ!! ถ้าเราเคยทำมาแล้ว เพราะฉะนั้น ถูกหรือผิด?
คุณบุษย์ : ผิดค่ะ
ท่านอาจารย์ : ผิด ต้องทิ้งไหม?
คุณบุษย์ : ต้องให้เห็น ท่านอาจารย์ต้องแนะนำแล้วค่ะ
ท่านอาจารย์ : ไม่แนะนำให้ปฏิบัติเลย!! แต่ให้รู้ว่า ปฏิบัติคืออะไร
คุณบุษย์ : คือตามดู?
ท่านอาจารย์ : ไม่ได้พูดอย่างนั้น!! ดิฉันไม่เคยพูดว่าปฏิบัติคือ ตามดู!!
คุณบุษย์ : เพราะว่า ที่บุษย์รู้มา ก็คือ ตามดูอารมณ์
ท่านอาจารย์ : รู้อย่างไร? รู้จากไหน? คิดขึ้นมาเอง? หรือ ใครบอก?
คุณบุษย์ : คำสอนนี้ใช่ไหมคะ ครูบาอาจารย์บอก
ท่านอาจารย์ : ครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์สอน แล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร?
คุณบุษย์ : ให้เห็น ให้เห็น
ท่านอาจารย์ : พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้เห็นหรือ?
คุณบุษย์ : (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ฟังแต่คำครูบาอาจารย์ ใครบอกว่าครูบาอาจารย์ถูก ก็คิดว่าถูก แต่ว่า ต้องไตร่ตรองว่า เป็นคำของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า? ทุกคำ ละเอียดมาก
คุณบุษย์ : นี่แหละค่ะ ที่บุษย์ยังไม่เข้าถึง รู้แต่ว่าเรื่องของ ขันธ์ ๕ มันมีอะไรบ้าง แล้วมันจะทำงานอย่างไร เท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวนี้มีไหม ขันธ์ ๕ เอาทีละขันธ์ เอาทีละขันธ์
คุณบุษย์ : ตอนนี้ขันธ์ ... เวทนาก็เป็นสุข ที่ได้เจออาจารย์
ท่านอาจารย์ : เวทนา คืออะไร?
คุณบุษย์ : เวทนาก็คือรู้ว่า นี่ทุกข์-สุข เป็นทุกข์ เป็นสุข หรือ เฉยๆ
ท่านอาจารย์ : ผิดหมดเลย
คุณบุษย์ : ผิดอีกแล้ว วันนี้เป็นตัวอย่างที่ผิดให้ทุกคนแล้วกัน (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ : ยินดีมากที่มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง ที่จะรู้ว่า ผิดเป็นผิด!! ถูกไม่ได้!!
คุณบุษย์ : ยินดีค่ะ ยินดีมากที่สุด
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ก็เคยฟังเรื่อง แนวทางเจริญวิปัสสนา ไหม?
คุณบุษย์ : อาจารย์ต้องนำมาก่อน เพราะไม่รู้ว่าบุษย์เคยฟังหรือเปล่า เพราะปนกันหมด (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ถ้าปนๆ มา ก็ไม่รู้เลยสักอย่าง เพราะปนหมด ต้องรู้ทีละอย่าง เต็มใจที่จะทิ้ง ปนๆ ไหม?
คุณบุษย์ : เต็มใจที่สุดเลยค่ะ
ท่านอาจารย์ : ศึกษาทีละคำ เพราะฉะนั้น ที่มูลนิธิฯ เรามีตั้งแต่ต้น แนวทางเจริญวิปัสสนา แล้วก็ ปกิณณกธรรม สองอันนี้จะช่วยทำให้เราตั้งต้นใหม่ แล้วจะได้มีการสนทนากันว่า ที่เราเคยเข้าใจนี่ ตรงไหนผิด ตรงไหนถูก ดีไหม ต้องเริ่มฟัง
คุณบุษย์ : ค่ะ ดีมากค่ะ
ในวันศุกร์ที่ ๒๔ และวันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี ที่ โรงแรม Revanta เมืองลัคเนา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย
ข้อความบางตอนจากการสนทนา :
ท่านอาจารย์ : วันนี้เป็นวันที่ปีติอย่างยิ่ง ที่ได้พบชาวพุทธ ที่มีความสนใจที่จะได้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลึกซึ้ง ประมาทไม่ได้เลย ต้องฟังด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของทุกคำของพระองค์
ถ้าเราไม่มาพบกัน ถ้าเราไม่ร่วมกันระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาคำที่พระองค์ตรัสไว้ เพื่อที่จะรู้คุณที่สูงยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตลอดชีวิตที่เกิดมา ทุกวันก็ผ่านไป และต่อไปข้างหน้า สิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น เหมือนวันนี้ มีเห็น มีได้ยิน แล้วทุกอย่างก็ผ่านไป!! จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต!!
ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าวันไหน ทราบว่า มารดาของท่านผู้หนึ่ง ซึ่งคิดที่จะมาฟังธรรม แล้วมารดาของท่านผู้นั้นก็จากไป แต่ท่านก็ยังคงมาฟังธรรม
ทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ อาจจะเป็นวันนี้ หรือเดี๋ยวนี้ ก็ได้!!
เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตคือ มีโอกาสได้รู้ความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา
ก่อนที่พระองค์จะทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งทรงแสดงให้เรารู้ด้วย พระองค์ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ เมื่อได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะได้รู้ความจริง เมื่อถึงเวลาที่จะได้ตรัสรู้ความจริง พระองค์จึงได้ตรัสรู้ความจริงซึ่งลึกซึ้งมาก
เพราะฉะนั้น วันนี้ เป็นวันที่มีค่าสูงสุดในชีวิต ที่จะได้รู้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญและตรัสรู้ และทรงแสดงนั้น สมควรที่เราจะฟัง ด้วยความเคารพในความลึกซึ้ง และสนทนากัน เพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริง ทีละเล็ก ทีละน้อย
ไม่ละเลยที่จะเพียงฟัง แต่ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ที่จะพิจารณา ให้เข้าใจความลึกซึ้งของคำนั้นๆ เมื่อเริ่มเข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏ
เพราะฉะนั้น ขอเริ่มสนทนาคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เพื่อจะได้มีความเข้าใจในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใดๆ
ก่อนได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อได้ฟังแล้ว จะรู้ได้จริงๆ ว่าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จนกว่าจะได้ยินได้ฟัง ไตร่ตรอง และค่อยๆ รู้ ในความลึกซึ้ง ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ขอเริ่มบูชาคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำ ที่แต่ละคนก็ได้ฟังมา แต่ก็ยังไม่ถึงความรู้จริงๆ คำไหนก็ได้ ที่เคยได้ฟังมาแล้ว จะสนทนาในความลึกซึ้งของนั้นได้ ขอเชิญค่ะ
ใครเคยได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง? จะได้ร่วมกันพิจารณาเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ และ วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ สนทนาธรรม ไทย-ฮินดี กับชาวอินเดียที่ โรงแรม Surabhi International เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย
(ภาพ ณ โรงแรม Radisson Hotel Varanasi)
การสนทนาธรรม ไทย-ฮินดี ที่ โรงแรม Surabhi International เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย ในครั้งนี้ มีพระภิกษุและชาวอินเดียหลากหลายอาชีพ ทั้งแพทย์ นักธุรกิจ ประชาชน จากเมืองพาราณสี และจากเมืองอื่นๆ ที่ทราบข่าวการเดินทางมาของท่านอาจารย์ ได้เดินทางไกลมาด้วยตนเองและมาพร้อมกับหมู่คณะเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อเข้าร่วมฟังและร่วมสนทนาในคราวนี้ ด้วยความตั้งใจและได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง จากการฟังและเข้าใจ อันเป็นนิมิตหมายที่ดีของพระศาสนาที่จะเจริญมั่นคงขึ้นสืบไป ในดินแดนพุทธภูมิ ที่ซึ่งครั้งหนึ่ง พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองยิ่ง
ข้อความบางตอนจากการสนทนา :
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ขอสนทนาด้วยคำถามว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : มี
ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวนี้มีธรรมอะไร? หรือถามว่า เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม? ก็ได้ จะพูดเรื่องสมาธิ แต่ไม่รู้ว่าสมาธิเป็นธรรมหรือเปล่า ก็ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร? และเดี๋ยวนี้เป็นสมาธิหรือธรรมหรือเปล่า?
ถ้าจะให้พูดเรื่องสมาธิ แต่ไม่พูดเรื่องธรรม จะมีประโยชน์ไหม?
ภันเต : ควรสนทนาเรื่องธรรม เพราะพระพุทธองค์สอนให้เข้าใจธรรม
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เราต้องเริ่มว่า ถ้าธรรมไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ แต่เมื่อพระองค์ตรัสรู้ พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีคือธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะ สิ่งที่มีจริง ต่างๆ ต่างกัน เพราะฉะนั้น สมาธิก็เป็นธรรมหนึ่ง
เราจะพูด ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เดี๋ยวนี้ "เห็น" มีจริง "เป็นธรรม" ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่สมาธิเห็น ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ เป็นธรรมทั้งหมด
เมื่อวานนี้เราพูดถึงความต่างของสิ่งที่มีจริงที่เป็นธรรมใหญ่ๆ ๒ ประเภท ธรรมที่เกิด แต่ไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลย เช่น แข็ง เย็น เป็นต้น มีจริง เกิดจริง แต่ไม่รู้อะไร เป็น "รูปธรรม"
เพราะฉะนั้น สมาธิ เป็นธรรมหรือเปล่า? สมาธิเป็นรูปธรรมหรือเปล่า? ก่อนอื่น ต้องรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริง ที่เกิดขึ้น เป็นธรรมหนึ่งใน ๒ เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็นธรรมอะไร?
ทุกคนกำลังเห็น ต้องเริ่มเข้าใจให้มั่นคง ทีละน้อย "เห็น" เกิดขึ้นเป็นเห็น ไม่ใช่นกเห็น ไม่ใช่แมลงวันเห็น ถ้าไม่มีรูปร่าง จะบอกได้ไหม ว่างูเห็น นกเห็น แมวเห็น "เห็น" มีจริง เป็นธรรม ใครทำให้ "เห็น" เกิดขึ้น? "ได้ยิน" เกิดแล้ว ใครทำให้ได้ยินเกิด?
เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็นธรรม "ได้ยิน" เป็นธรรม แล้ว เห็นอะไร? เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เห็นอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : เห็นรูปที่อยู่ข้างหน้า
ท่านอาจารย์ : เห็นคน หรือเห็นสิ่งที่กระทบตา?
ผู้ร่วมสนทนา : เห็นสิ่งที่กระทบตา
ท่านอาจารย์ : สิ่งที่ไม่กระทบตา เห็นได้ไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : ไม่ได้
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เห็นสิ่งที่กระทบตา เท่านั้น สิ่งที่กระทบตา เป็นคน เป็นนก เป็นดอกไม้ ได้ไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : เป็นได้ คนกระทบตาได้
ท่านอาจารย์ : สิ่งที่กระทบตา เหมือนจุดหนึ่งที่กระทบตา ไม่ใช่คน!!
ท่านอาจารย์ : "ได้ยิน" ได้ยินอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : เสียง
ท่านอาจารย์ : เสียง หรือ คำ
ผู้ร่วมสนทนา : เสียง
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น ธรรมละเอียดมาก ได้ยินเสียง แต่ไม่ค่อยๆ จำ ว่าเสียงนั้นหมายความถึงอะไร ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ดิฉันได้ยินเสียงภาษาฮินดี ทุกวันที่อยู่ที่นี่ แต่ไม่เข้าใจ คนที่นี่ ได้ยินเสียงภาษาไทยทุกวัน แต่ก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
เรากำลังสนทนาธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำที่ได้ฟัง ละเอียด ลึกซึ้ง ต้องค่อยๆ ไตร่ตรอง ให้เข้าใจจริงๆ
ได้ยิน "เสียง" หรือ ได้ยิน "ภาษาต่างๆ "?
ผู้ร่วมสนทนา : เสียง
ท่านอาจารย์ : แล้วเวลารู้ว่าคำนั้นหมายความว่าอะไร เป็นขณะที่ได้ยินเสียงหรือเปล่า?
ภันเต : คนละขณะ เป็นสัญญาที่เวลาคิดถึงคำพูด ไม่ใช่ได้ยิน คนละขณะ
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น "สัญญา" ต่างกับ "เห็น" ไหม?
ภันเต : ต่างกัน
ท่านอาจารย์ : ค่ะ เก่งมากนะคะ ถูกต้องค่ะ (ทุกคนปรบมือ)
ท่านอาจารย์ : "ได้ยิน" ได้ยินอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : เสียง
ท่านอาจารย์ : กำลังรู้ความหมายของเสียงที่ได้ยิน เป็นได้ยินหรือเปล่า?
ผู้ร่วมสนทนา : ต่างกัน
ท่านอาจารย์ : "แข็ง" ได้ยินไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : ไม่
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เริ่มรู้ว่า สิ่งที่มีจริง ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ อีกอย่างหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม แต่ต่างกันเป็น "นามธรรม" กับ "รูปธรรม"
ท่านอาจารย์ : เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : มี
ท่านอาจารย์ : เป็นนามธรรมอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : มีเห็น มีได้ยิน
ท่านอาจารย์ : นามธรรมเห็น นามธรรมได้ยิน เกิดพร้อมกันได้ไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : ไม่ได้
ท่านอาจารย์ : หิว เป็นธรรมอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : นามธรรม
ท่านอาจารย์ : เก่งมาก (ทุกคนปรบมือ)
ท่านอาจารย์ : นก เป็นธรรมอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : รูป
ท่านอาจารย์ : นก เห็นอะไรไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : เห็น
ท่านอาจารย์ : นกเห็น เห็นเป็นนก หรือเห็นเป็นคน?
ผู้ร่วมสนทนา : เห็นไม่ได้เป็นนก ไม่ได้เป็นคน
ท่านอาจารย์ : แล้วเห็นเป็นอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : เป็นสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ : เป็นอะไร?
ผู้ร่วมสนทนา : เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ : ค่ะ เก่งมากค่ะ (ทุกคนปรบมือ)
ท่านอาจารย์ : เห็นเป็นได้ยิน ได้ไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : ไม่ได้
ท่านอาจารย์ : ไม่มีตา เห็นได้ไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : ไม่ได้
ท่านอาจารย์ : ไม่มีตา ได้ยินได้ไหม?
ผู้ร่วมสนทนา : ได้
ท่านอาจารย์ : ค่ะ เก่งมากค่ะ (ทุกคนปรบมือ)
(ภาพ ณ Radisson Blu Plaza Hotel, Delhi Airport วันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗)
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ